บทที่ 318 สั่งสอนกุ้ยซื่อ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 318 สั่งสอนกุ้ยซื่อ

บทที่ 318 สั่งสอนกุ้ยซื่อ

เมื่อฉินเย่จือเห็นท่าทางเช่นนั้นของกุ้ยตงเหมยก็รู้สึกรังเกียจมากขึ้นไปอีกและอยากจะรีบไล่คนพวกนี้ออกไปให้เร็วที่สุด

“เจ้าเห็นหรือว่าเสี่ยวหวานทำร้ายเจ้า?” เสียงของฉินเย่จือเย็นชาราวกับธารน้ำแข็ง

“ไม่ ไม่…”

“เจ้าไม่เห็นว่านางทำร้าย แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยวหวานเป็นคนทำ?” แววตาของฉินเย่จือเย็นชาขึ้นไปอีก และแววตาเช่นนั้นก็ทำให้กุ้ยตงเหมยรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว

“เอ่อ…เอ่อ…” กุ้ยตงเหมยอ้ำอึ้งกล่าวอะไรไม่ออก

เมื่อกุ้ยซื่อได้ยินเช่นนั้นก็ดึงลูกสาวของตนมา และรีบกล่าวกลับไปแทน “ลูกสาวข้าออกมาจากบ้านของเจ้าก็กลายเป็นเช่นนี้ ถ้าเจ้าไม่ได้ทำ แล้วจะเป็นใครได้อีก?”

กู้เสี่ยวหวานยักไหล่ แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและกล่าวว่า “ท่านป้ากุ้ยต้องพูดด้วยเหตุผล วันนี้ข้าก็ไปที่บ้านของท่านเพื่อขอคำอธิบายเรื่องน้องสาวไม่ใช่หรือ? และเนื่องจากชุนเจียวและตงเหมยก็บอกว่าไม่มีใครผลักน้องสาวข้า เช่นนั้น พวกเรามาคืนดีกันเถอะ พวกเราเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น จะเกลียดกันไปก็คงไม่ดี”

กู้เสี่ยวหวานหยุดสักครู่แล้วกล่าวต่อ “ข้าแค่คิดว่าจะให้ผ้าเช็ดหน้าแก่นางทั้งสองด้วยเจตนาดี แต่ตงเหมยที่ไม่ระวังจนล้มลงบนพื้นถนนกลับมาใส่ร้ายข้า ข้าผิดที่ไหนกัน! ทำไมพวกเจ้าถึงมาใส่ร้ายว่าข้าเป็นคนทำกัน? หรือไม่ก็คงเป็นเพราะตงเหมยเสพติดการแย่งของผู้อื่นจนเป็นนิสัย เมื่อผู้อื่นแย่งคืนไม่ได้เลยมาทำร้าย!”

กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างอารมณ์เสีย “ตนเองทำผิดแล้วถูกผู้อื่นทำร้าย แต่กลับมาโทษข้า ช่างน่าขำ…”

การตลบตะแลงเช่นนี้ หากครอบครัวกุ้ยทำได้ กู้เสี่ยวหวานก็ทำได้เช่นเดียวกัน

ถ้าในวันนี้นางไม่ยอมรับ พวกนั้นจะทำเช่นไรได้?

เพราะอย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์

นี่เป็นการเอาคืนให้กู้เสี่ยวอี้ และยังได้กำไรมาอีกด้วย

“เจ้า…เจ้า…” กุ้ยซื่อโกรธจนกล่าวอะไรไม่ออก เดิมทียังมีคำให้ด่าอีกมาก แต่เพราะกุ้ยสวิ้นเหอที่อยู่ด้านข้างแก้ต่างให้ “ภรรยา ที่กู้เสี่ยวหวานพูดก็ไม่ผิด เพราะไม่มีผู้ใดเห็น แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตงเหมยล้มเองหรือถูกผู้อื่นทำร้าย ถึงจะถูกทำร้ายแต่ก็ไม่รู้ว่าใช่กู้เสี่ยวหวานหรือเปล่า ดังนั้นพวกเรากลับกันเถอะ อย่ามาทำให้ตนเองเสียหน้าที่นี่เลย”

“เจ้า…” กุ้ยซื่อที่กำลังจะก่นด่าอีกครั้งก็ชะงักพูดอะไรไม่ออก

แต่ฉินเย่จือก็กล่าวเสียงเย็นชาขัดจังหวะเสียก่อน “ถ้าจะเสียงดังก็กลับไปเสียงดังที่อื่น อย่ามารบกวนความสงบของข้าที่นี่”

“เจ้า…” กุ้ยซื่อที่กำลังหันมาจะด่าฉินเย่จือ แต่เมื่อเห็นสายตาน่ากลัวเช่นนั้น ราวกับว่าถ้านางเปิดปากเมื่อใด ฉินเย่จือก็จะกินนางเมื่อนั้น

กุ้ยซื่อกล่าวคำว่าเจ้าอยู่เป็นเวลานาน เพราะกล่าวอย่างอื่นไม่ออก

กู้เสี่ยวหวานเยาะเย้ย “พวกเจ้าสองพี่น้อง ข้าแนะนำว่าให้เลิกแย่งของผู้อื่นเถอะ ถ้าเกิดไปแย่งของที่ไม่ควรแย่งขึ้นมา ในวันนี้โดนทำร้าย ไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะถูกฆ่าก็เป็นได้ อย่าให้ต้องถึงเวลานั้นที่เจ้าตายไปโดยไม่มีผู้ใดรู้เลย”

กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเย็นชาจนจบประโยค เหลือบมองไปที่กุ้ยชุนเจียวและกุ้ยตงเหมย เมื่อทั้งสองเห็นสายตาเช่นนั้นก็หวาดกลัวจนตัวสั่นและก้าวถอยหลังอย่างเงียบ ๆ พลางดึงแขนเสื้อของกุ้ยซื่อไปด้วย

ถึงแม้กุ้ยชุนเจียวและกุ้ยตงเหมยจะโตกว่ากู้เสี่ยวหวาน แต่กู้เสี่ยวหวานตอนนี้มีวิญญาณของคนอายุสามสิบปี แม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอกว่า แต่สายตาที่น่ากลัวนี้แข็งแกร่งกว่าแน่นอน

“เจ้า กู้เสี่ยวหวานเด็กเวร เจ้าแช่งลูกสาวข้า!” ในที่สุดกุ้ยซื่อก็หาจังหวะได้จึงตะโกนด่าเสียงดัง และพุ่งมาข้างหน้าเพื่อจะทำร้ายกู้เสี่ยวหวาน

ฉินเย่จือจึงรีบดันกู้เสี่ยวหวานไปด้านหลังของตนเองเพื่อปกป้องนางทันที

เมื่อเห็นกุ้ยซื่อที่พุ่งเข้ามาเช่นนั้น ฉินเย่จือก็ไม่แม้จะเปลี่ยนสีหน้า เขาเพียงเอื้อมมือไปคว้าแขนของกุ้ยซื่อเอาไว้ มันทำให้กุ้ยซือเจ็บคนร้องออกมา

ฉินเย่จือคว้าแขนของกุ้ยซื่อและกล่าวอย่างเย็นชา “ในอนาคต ถ้าเจ้ายังมายุ่มย่ามกับครอบครัวของข้าอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน” เมื่อกล่าวจบก็สะบัดแขนกุ้ยซื่อทิ้ง นั่นทำให้นางถอยหลังไปหลายก้าว ล้มลงกับพื้นและไม่อาจลุกขึ้นมาได้

กุ้ยชุนเจียวและกุ้ยตงเหมยเห็นว่าแม่ของพวกตนถูกเหวี่ยงออกมาก็ไม่มีความคิดจะรีบไปพยุงนางขึ้น เมื่อทั้งสองเห็นว่าฉินเย่จือที่แค่สะบัดก็ทำให้แม่ของพวกนางกระเด็นออกไปไกลเช่นนั้น แต่ละคนก็มีสีหน้าตื่นตาตื่นใจ

“อย่าคิดว่าครอบครัวกู้เป็นเด็กแล้วจะมารังแกได้ ถ้าพวกเจ้ากล้ามาแตะต้องครอบครัวกู้แม้แต่เส้นผมก็อย่ามาโทษที่ข้าไร้ความปรานี” ฉินเย่จือกล่าวอย่างไร้ความปรานีและจ้องไปที่ครอบครัวกุ้ย พวกเขาทั้งหมดรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลังเพราะสายตาที่เย็นยะเยือกนั้น

กุ้ยชุนเจียวและกุ้ยตงเหมยตัวสั่นและรีบวิ่งไปช่วยพยุงกุ้ยซื่อขึ้น เมื่อกุ้ยสวิ้นเหอเห็นว่าภรรยาของตนเสียเปรียบและกุ้ยตงเหมยถูกคนทำร้ายมาเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงยอมรับ ใครใช้ให้พวกนางไปรังแกกู้เสี่ยวอี้แล้วไม่ยอมรับกันล่ะ

กุ้ยสวิ้นเหอถอนหายใจและไม่ได้กล่าวอะไร เขารีบรุดขึ้นหน้าเพื่อพยุงกุ้ยซื่อขึ้นและพากลับบ้าน

แขนของกุ้ยซื่อเจ็บมาก เมื่อสักครู่ถ้าเขาจับแรงมากกว่านี้เกรงว่ามือของนางคงจะหักไปแล้ว ในใจของกุ้ยซื่อหวาดหวั่นราวกับว่าครอบครัวนั้นมีบางอย่างที่น่ากลัวอยู่ นางไม่พูดพร่ำทำเพลงและรีบเดินออกไปอย่างคับข้องใจ

ในที่สุดเมื่อเห็นว่าครอบครัวกุ้ยกลับไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ถอนหายใจยาว และดูร่าเริงขึ้นมาทันที

เมื่อเห็นท่าทางร่าเริงของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็รู้สึกอึดอัดและเต็มไปด้วยความทุกข์

เด็กผู้นี้ทำไมถึงมีความอดทนเช่นนี้ เมื่อเผชิญกับอุปสรรคมากมายก็ยังสามารถรักษาประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดได้

ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมารังแกพวกเขาได้ นางเป็นเหมือนกับแม่ไก่ที่คอยปกป้องน้องชายน้องสาว

ฉินเย่จือยื่นมือออกมาลูบผมของกู้เสี่ยวหวาน กู้เสี่ยวหวานจึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือกำลังยิ้มให้ตนเอง กู้เสี่ยวหวานจึงอารมณ์ดีและยิ้มอย่างมีความสุข

เมื่อเข้ามาในบ้าน กู้เสี่ยวหวานก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง

หลังจากที่กู้หนิงผิงฟังจบก็ตบเตียงอย่างแรง “ท่านพี่ ตอนนั้นท่านควรให้ข้าไป ถ้าข้าไปแน่นอนว่าข้าคงจะตบนางให้ฟันร่วง”

ที่กู้เสี่ยวหวานไม่ให้กู้หนิงผิงไปก็เพราะช่วงนี้เขาเรียนศิลปะการต่อสู้มา มือเท้าค่อนข้างหนัก ในเวลานั้นถ้าเขาไปทำร้ายคนขึ้นมาก็คงไม่ใช่เรื่องดี

“เจ้าจะไปทำอะไร? มือเท้าเจ้าก็หนัก ในเวลานั้นถ้าเจ้าไปทำร้ายผู้อื่นเข้าจนเจ็บหนักก็คงไม่ดี” เมื่อกู้เสี่ยวหวานกล่าวจบ ฉินเย่จือก็พยักหน้า แต่เขารู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย ไม่รู้เพราะอะไร แต่เขามักจะคิดว่ากู้เสี่ยวหวานยังมีอะไรในใจที่ไม่ยอมเผยออกมา

นั่นทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

กู้เสี่ยวหวานเอาคืนได้ยอดเยี่ยมไปเลย คนแบบนี้ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ

ไหหม่า (海馬)