บทที่ 319 จิตใจไม่ได้เลวร้าย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 319 จิตใจไม่ได้เลวร้าย

บทที่ 319 จิตใจไม่ได้เลวร้าย

“ท่านพี่…” กู้หนิงผิงยังมีอะไรจะกล่าวอีก แต่กู้เสี่ยวหวานพูดขัดขึ้นมาก่อน “ข้าแค่อยากทำให้นางรู้สึกทนทุกข์ แต่ไม่ได้อยากจะทำอะไรมากกว่านั้น สองพี่น้องกุ้ยมีนิสัยเช่นเดียวกับกุ้ยซื่อ พวกเขาไม่มีเหตุผลและก้าวร้าว วันนี้ถ้าพวกนางยอมรับว่าผลักกู้เสี่ยวอี้ ข้าคงจะไม่ติดใจอะไร แต่นี่พวกนางไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองทำผิด”

กู้เสี่ยวหวานกอดกู้เสี่ยวอี้เอาไว้ในอ้อมแขน และเมื่อเห็นว่าแขนของนางมีแผลก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอีก

“เสี่ยวหวาน ไม่มีอะไรแล้ว หลังจากนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมาอีกให้บอกข้า!” ฉินเย่จือรู้สึกเศร้าเล็กน้อย เขานอนอยู่บนเตียงของตนเอง และเพราะความมืดในตอนกลางคืนจึงทำให้เห็นได้ไม่ชัดว่าฉินเย่จือมีสีหน้าอย่างไร

กู้เสี่ยวหวานตอบรับหนึ่งคำ และบอกให้ทุกคนเข้านอนได้แล้ว จากนั้นจึงเป่าตะเกียงน้ำมันให้ดับลง

ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด ฉินเย่จือลืมตามองเพดานหลังคา ในใจมีความรู้สึกซับซ้อนผสมปนเปกันอยู่มากมาย

เดิมทีรู้สึกว่าที่นี่ยังอยู่ห่างไกลจากดินแดนในอุดมคติมากนัก แต่ไม่คาดคิดว่าที่นี่จะเป็นเหมือนโถงขนาดเล็กที่คนในนั้นล้วนปากหวานก้นเปรี้ยวและพยายามหลอกกันอยู่ตลอดเวลา นอกจากความเป็นและความตาย พวกเขายังต่อสู้เพื่อทุกสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะขโมยหรือปล้น แม้แต่ต่อหน้าญาติพี่น้องของตนเองก็สามารถกระทำโหดเหี้ยมและหลอกลวงได้ นี่เป็นเพราะเดิมทีโลกใบนี้ไม่มีดินแดนในอุดมคติตั้งแต่แรก

ตราบใดที่มีผู้คน ย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ตราบใดที่มีผู้คน ย่อมมีการแข่งขันเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ฉินเย่จือก็ยิ้มออกมา การต่อสู้เคียงข้างกับหญิงคนนี้ก็สนุกมากเช่นกัน

หลังจากที่กุ้ยซื่อกลับไป นางก็ก่นด่าและระบายความโกรธลงที่กุ้ยสวิ้นเหออีกครั้ง กุ้ยสวิ้นเหอเป็นราวกับเด็กที่เชื่อฟัง เขาไม่ต่อปากต่อคำและปล่อยให้กุ้ยซื่อก่นด่าต่อไป

กุ้ยซื่อก่นด่าจนเหนื่อย แต่ก็ยังคงสาปแช่งกู้เสี่ยวหวานต่อไป ครั้นด่าไปด่ามากุ้ยซื่อก็คิดว่าสาวน้อยผู้นี้ช่างปีกกล้าขาแข็ง และยังมีคนที่อยู่เคียงข้างคอยปกป้องอีก ดังนั้นนางจึงแทบจะไม่สนใจกุ้ยซื่ออยู่ในสายตา

กุ้ยซื่อยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ลูกสาวทั้งสองของนางก็ช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน

“พวกเจ้าแย่งอะไรมาจากกู้เสี่ยวอี้กัน? แล้วหลังจากนั้นกู้เสี่ยวหวานให้อะไรกับพวกเจ้ามา?”

กุ้ยซื่อกล่าวอย่างผิดหวัง “มันเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวไม่ใช่หรือ? ไปแย่งผ้าเช็ดหน้าที่ไม่มีประโยชน์เพียงผืนเดียว ช่างขายหน้าเสียจริง”

แม้ว่ากุ้ยซื่อจะใจร้ายและตระหนี่ถี่เหนียว แต่นางก็ยังโกรธอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าลูกสาวไปขโมยของคนอื่นอย่างโจ๋งครึ่ม เมื่อสักครู่ที่ถูกกู้เสี่ยวหวานพูดเช่นนั้นใส่นาง เมื่อนางนึกขึ้นมาได้ก็ต้องการจะสั่งสอนกุ้ยชุนเจียวและกุ้ยตงเหมยเสียหน่อย

“มันไม่ใช่เพราะเจ้าหรือ ถ้าเจ้าเอาใจใส่พวกนางมากกว่านี้อีกสักนิดก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้!” กุ้ยสวิ้นเหอสูดจมูก “สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูดก็ไม่ผิด ถ้าวันหนึ่งไปแย่งของที่ไม่ควรแย่งมา จะตายไปอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดรู้”

กุ้ยตงเหมยที่ถูกทำร้ายมาก็พลันรู้สึกผิด ครั้นกลับมาก็ยังถูกบิดามารดาตำหนิอีก จึงยิ่งน้อยใจเข้าไปใหญ่ นางร้องไห้ฟูมฟาย แต่เมื่อนางอ้าปากก็รู้สึกเจ็บแผลขึ้นมา ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงสะอื้นเบา ๆ

“ของอะไร? เอาออกมาเดี๋ยวนี้” กุ้ยซื่อตะโกนเสียงดัง กุ้ยชุนเจียวตกใจจนสั่นไปทั้งตัว และหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากด้านในเสื้อ

บนผ้าเช็ดหน้าสองผืน ผืนหนึ่งปักลายหนูที่ใส่เสื้อผ้าหนึ่งตัว และอีกผืนปักด้วยเป็ดสีเหลือง

กุ้ยซื่อมองอยู่นานกว่าจะมองออกว่ามันคือตัวอะไร สัตว์พวกนี้แตกต่างจากสิ่งที่เคยเห็นอย่างสิ้นเชิง

แม้ว่ากุ้ยซื่อจะเป็นหญิงสาวในชนบท นางก็สามารถปักผ้าเช็ดหน้าเป็นรูปดอกไม้ต่าง ๆ ได้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าบนผ้าเช็ดหน้าปักเป็นรูปสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน กุ้ยซื่อจึงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก

“นี่คืออะไร?” กุ้ยซื่อถือผ้าเช็ดหน้าและพลิกไปมาเพื่อดูอย่างละเอียด ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ปักออกมาดูดีเลยทีเดียว

เมื่อกุ้ยชุนเจียวเห็นว่าผู้เป็นมารดาสนใจจึงรีบกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่อย่าดูถูกผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เชียว ผ้าเช็ดหน้านี้เป็นที่นิยมมากในเมืองหลิวเจีย ผ้าเช็ดหน้านี้ถึงมีเงินก็ซื้อไม่ได้ คนที่มีฐานะที่สุดในหมู่บ้านของเราก็มีเพียงสองผืน แต่ของนางไม่ใช่ลายพวกนี้ นางมีลายหมีและลายกระต่าย พวกนางเอาแต่ถือไปถือมาทั้งวันเพื่ออวดพวกเรา ตงเหมย เจ้าว่าเช่นนั้นไหม…”

เมื่อตงเหมยเห็นว่าพี่สาวถามตนเองจึงรีบพยักหน้า “ซี้ด…ซี้ด…”

กุ้ยซื่อไม่อยากจะเชื่อ “ผ้าเช็ดหน้านี้มีอะไรดี?”

“ท่านแม่ มันก็เหมือนกับผ้าเช็ดหน้าทั่วไป แต่ที่ไม่เหมือนคือลายปัก! และยังได้ยินมาอีกว่าในเมืองยังมีตุ๊กตาขายอีกด้วย ตุ๊กตาพวกนั้นก็มีรูปแบบเดียวกับลายปักนี้ มันดูดีมาก” กุ้ยชุนเจียวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “อีกทั้งมันยังมีราคาแพง ได้ยินว่าตัวละสิบตำลึงเงิน!”

“ว่าอย่างไรนะ! ตัวละสิบตำลึงเงิน?” กุ้ยซื่อตื่นตกใจและไม่อยากจะเชื่อ “สมองของคนผู้นั้นถูกลาเตะหรืออย่างไร ตุ๊กตาตัวละสิบตำลึงเงินเนี่ยนะ?”

“ท่านแม่…” เมื่อกุ้ยชุนเจียวเห็นว่าแม่ของตนไม่เชื่อจึงรู้สึกกังวล “ท่านแม่ ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปดูด้วยตัวเอง แต่ตุ๊กตานั่นขายหมดเร็วมาก ถึงมีเงินก็ไม่มีที่ซื้อ”

กุ้ยซื่อส่ายศีรษะอย่างไม่เชื่อ “เลิกพูดเรื่องตุ๊กตาก่อน กู้เสี่ยวอี้มีผ้าเช็ดหน้านี้ได้อย่างไร และกู้เสี่ยวหวานยังให้มาอีกถึงสองผืน?”

“ท่านแม่ เรื่องนั้นข้าจะรู้ได้อย่างไร!” กุ้ยชุนเจียวหยิบผ้าเช็ดหน้าคืนมาจากมือของกุ้ยซื่อ และเถียงกับกุ้ยตงเหมยอีกครั้งว่าผ้าเช็ดหน้าผืนไหนจะดูดีกว่ากัน

กุ้ยซื่อถอนหายใจยาว เด็กสองคนนี้ไม่มีผู้ใดกังวลใจเลยสักนิด

เมื่อกุ้ยสวิ้นเหอที่อยู่ด้านข้างเห็นกุ้ยซื่อถอนหายใจยาวจึงกล่าวว่า “ภรรยา เจ้าเป็นคนก้าวร้าวและปากไม่สร้างสรรค์ ครั้งนี้ยังดีที่ลูกสาวแค่โดนทำร้ายเล็กน้อย”

กุ้ยซื่อมีสีหน้าน่าเกลียดและบ่นพึมพำว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ”

“ก้นบึ้งจิตใจของเจ้าไม่ได้เลวร้าย เจ้าแค่ชอบการแข่งขัน และลูกสาวทั้งสองคนก็เหมือนเจ้าไม่มีผิด!” กุ้ยสวิ้นเหอกล่าวจบก็เดินเอามือไพล่หลังเข้าไปในห้อง

กุ้ยสวิ้นเหอแต่งงานกับกุ้ยซื่อมาหลายปีแล้ว และเขาก็รู้ดีว่านิสัยของกุ้ยซื่อเป็นอย่างไร กุ้ยซื่อเป็นคนเจ้าอารมณ์ และเมื่อโกรธขึ้นมา แม้แต่วัวสิบตัวก็ฉุดไว้ไม่อยู่ แต่ก้นบึ้งจิตใจนางไม่ได้เลวร้าย ไม่เช่นนั้นกุ้ยสวิ้นเหอจะยอมให้กุ้ยซื่อข่มเหงมาตลอดหลายปีได้อย่างไร และอีกอย่างกุ้ยซื่อก็เป็นพวกเกียจคร้าน ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็ไม่ใช่ภรรยาที่มีคุณธรรม แต่ที่กุ้ยสวิ้นเหอไม่ยอมหย่าร้างกับนางก็เพราะเขารู้ว่ากุ้ยซื่อไม่ได้มีนิสัยเลวร้าย

เมื่อกุ้ยซื่อได้ยินกุ้ยสวิ้นเหอกล่าวหาตนเองก็ถอนหายใจอย่างเย็นชา และเดินไปต้มน้ำในห้องครัว

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานได้สั่งสอนกุ้ยตงเหมยแล้ว นางก็รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเมื่อได้พบกับกุ้ยชุนเจียวและกุ้ยตงเหมยระหว่างทาง พี่น้องทั้งสองก็เดินเลี่ยงไปราวกับเห็นผี

กู้เสี่ยวหวานอยู่ในอารมณ์สบาย ๆ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้มารบกวนนาง นางก็ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจพวกเขา