ตอนที่ 623 ข้ารับใช้ (5) ตอนที่ 624 ชักศึกเข้าบ้าน (1)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 623 ข้ารับใช้ (5) / ตอนที่ 624 ชักศึกเข้าบ้าน (1)
ตอนที่ 623 ข้ารับใช้ (5)

ฟ่านจัวมองจานอาหารที่ดูน่ากินเป็นอย่างมากที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขา สีหน้าของเขาตะลึงงันจนพูดไม่ออก เขาเงยหน้าขึ้นมองจวินอู๋เสียที่ยังคงสงบนิ่งเย็นชา แต่เห็นได้ชัดว่ามีประกายแปลกๆ อยู่ในดวงตาของนาง

คนผู้นั้นเป็นพี่ชายของจวินอู๋เสียจริงๆ น่ะหรือ

เขาไม่ใช่แค่คนรับใช้จริงๆ หรือ

เมื่อมองโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารที่แสนวิเศษ พวกมันทั้งหมดไม่ด้อยไปกว่าอาหารที่ถูกเตรียมโดยพ่อครัวที่เก่งที่สุด ฟ่านจัวอดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้

เพียงแค่มองก็ชวนน้ำลายสอแล้ว!

ถึงแม้สีหน้าของจวินอู๋เสียจะไม่ได้แสดงปฏิกิริยามากนัก แต่สายตาของนางมองไปที่จวินอู๋เย่าที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัย และดูเหมือนกำลังถามจวินอู๋เย่าว่า อาหารที่อยู่เต็มโต๊ะพวกนี้ เขาเป็นคนปรุงเองจริงๆ น่ะหรือ!

“พวกมันดูน่ากินจัง!” ฟ่านจิ่นเช็ดน้ำลาย ท้องของเขาร้องโครกครากเสียงดัง

“ข้า…ขอ…ลองชิมหน่อยได้หรือไม่” ฟ่านจิ่นมองไปที่จวินอู๋เย่า

จวินอู๋เย่ายิ้มและพยักหน้า

ฟ่านจิ่นยื่นตะเกียบออกไปทันทีและคีบอาหารสองสามอย่างมาไว้ในชามข้าวของตัวเองและเริ่มต้นกินอย่างมีความสุข

เมื่ออาหารคำแรกเข้าไปในปาก เขาก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความยินดี

“อาอ่อย…อุดๆ…อ้วกเอ้า…อองอิ…” ปากของฟ่านจิ่นเต็มไปด้วยอาหาร เขาบอกฟ่านจัวและจวินอู๋เสียให้ลองกินดู น้ำตาของเขาเอ่อคลอเต็มดวงตาด้วยซาบซึ้งกับรสชาติของอาหาร

ฟ่านจัวยิ้มเก้อและพยักหน้าให้จวินอู๋เย่าก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมา

จวินอู๋เสียลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มขยับมือ

เมื่อได้ชิมอาหาร จวินอู๋เสียก็หันขวับไปมองจวินอู๋เย่าทันที

“อร่อย!”

จวินอู๋เย่ายิ้มกว้างสดใสอย่างพึงพอใจ

หลังจากจวินอู๋เสียชมจวินอู๋เย่าในเรื่อง ‘พรสวรรค์ในการทำอาหาร’ ของเขาแล้ว เยี่ยซากับเยี่ยเม่ยที่แอบฟังอยู่นอกหน้าต่างก็แทบจะน้ำตาไหล

“คุณหนูใหญ่บอกว่าอร่อย” เยี่ยซาพูด

“ถ้าคุณหนูใหญ่ชอบ ก็หมายความว่านายท่านต้องชอบด้วย คำชมของคุณหนูใหญ่ก็คือคำชมของนายท่าน! ข้าตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อยแล้ว” เยี่ยเม่ยถูมือเข้าด้วยกัน ความสำเร็จนี้แทบจะทำให้ตัวเขาลอยขึ้นหลังคา

บุรุษทั้งสองคนที่รอนแรมไปทั่วดินแดน คร่าชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วน บัดนี้กำลังซ่อนตัวอยู่ใต้กรอบหน้าต่างพลางรู้สึกภูมิใจในพรสวรรค์ด้านการทำอาหารของพวกเขาจนหลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตัน

ตราบใดที่คุณหนูใหญ่ชอบ แค่ทำอาหารไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

ต่อให้นางบอกให้ทำงานเย็บปักถักร้อย พวกเขาก็เต็มใจน้อมรับความท้าทายนี้!

การทำให้นายท่านพึงพอใจ เป็นภารกิจที่ยากเย็นราวกับเอื้อมมือให้ถึงสวรรค์ แต่คุณหนูใหญ่นั้นทำให้ ‘พอใจ’ ได้ง่ายมาก เยี่ยซากับเยี่ยเม่ยได้ข้อสรุปเดียวกันในทันที การพยายามทำให้คุณหนูใหญ่ชื่นชอบ ดูจะได้ผลมากกว่าการพยายามทำให้นายท่านชื่นชอบตรงๆ เสียอีก!

ฟ่านจิ่นประทับใจ ‘ความสามารถในการทำอาหาร’ ของจวินอู๋เย่า เขาขอบคุณจวินอู๋เย่าอย่างมาก จวินอู๋เย่าฟังฟ่านจิ่นพูดอย่างอารมณ์ดีจนกระทั่งเขาจากไป

ฟ่านจัวยืนขึ้นทันทีด้วยความรู้สึกอับอายในตัวพี่ชายของเขา

“ข้าขออภัยแทนพี่ชายของข้าด้วย เขาค่อนข้างหัวช้า หากว่าเขาล่วงเกินท่านทางใดทางหนึ่ง ได้โปรดให้อภัยเขาด้วย”

มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่ทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิตของเขาเลย

จวินอู๋เย่าเลิกคิ้วขึ้น

“เขารู้” จวินอู๋เสียอธิบาย

จวินอู๋เย่ารู้ว่าจวินอู๋เสียพูดถึงอะไรในทันที

“ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่เสี่ยวเสียเอ๋อร์มีความสุข ก็ไม่เป็นไรหรอก” จวินอู๋เย่าหันไปมองจวินอู๋เสีย ความจริงแล้วเขาลืมสิ่งที่ฟ่านจิ่นพูดเมื่อครู่ไปหมดแล้ว

นอกจากจวินอู๋เสียแล้ว ไม่มีใครสมควรได้รับความสนใจจากเขาแม้ชั่วขณะเดียว

จวินอู๋เสียมองจวินอู๋เย่าเหมือนมีอะไรจะพูด แต่นางไม่รู้จะเริ่มพูดออกมาอย่างไรดีจึงได้ยอมล้มเลิกไป

จวินอู๋เย่าจะจัดเตรียมอาหารให้ที่ลานป่าไผ่เป็นการชั่วคราว และฟ่านจิ่นได้แจ้งเรื่องนี้แก่ฟ่านฉีเพื่อให้เขาได้อยู่ในสำนักศึกษาเฟิงหัวในฐานะคนรับใช้ส่วนตัวของจวินอู๋เสีย

เนื่องจากกฎของสำนักศึกษาเฟิงหัว พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้นำคนรับใช้ส่วนตัวเข้ามาในสำนักศึกษา

ตอนที่ 624 ชักศึกเข้าบ้าน (1)

แต่ตำแหน่งของจวินอู๋เสียในสำนักศึกษาเฟิงหัวนั้นพิเศษกว่าใคร นางเป็นศิษย์เอกของกู้หลีเซิงและเป็นศิษย์ที่เขาโปรดปรานมากที่สุด ดังนั้นสถานะของนางจึงเจิดจรัสมากกว่าใครๆ นอกจากนี้นางก็มักจะอยู่แต่ในลานป่าไผ่และไม่ได้ติดต่อกับศิษย์คนอื่นๆ มันจึงไม่น่าจะมีปัญหามากนัก

ดังนั้นฟ่านฉีจึงตกลง

ฟ่านฉีไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจในวันนี้ จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยรักษาสำนักศึกษาเฟิงหัวเอาไว้ในอนาคตอันใกล้นี้

สิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่าก็คือ สำนักศึกษาเฟิงหัวที่เพิ่งได้รับความสงบกลับคืนมา ในอนาคตอันใกล้นี้จะตกอยู่ในภัยพิบัติร้ายแรงที่จะกวาดล้างพวกเขาจนสิ้น…

……

ในห้องหนังสือของรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาเฟิงหัว ใบหน้าของหนิงรุ่ยซีดเผือดขณะที่นั่งอยู่หลังโต๊ะของเขา ตรงด้านหน้าโต๊ะของเขามีเปลหามเปื้อนเลือดวางอยู่ ผ้ากระสอบสีขาวปิดคลุมเปลทั้งหมดซ่อนร่างของมนุษย์เอาไว้ภายใน โลหิตสีแดงสดเปื้อนผ้าสีขาวจนกลายเป็นสีแดงทิ่มแทงสายตาของหนิงรุ่ย

ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงตอนนี้ หนิงรุ่ยไม่ได้ขยับไปจากโต๊ะของเขาเลย เขามองเปลเปื้อนเลือดนั้นโดยไม่เคยละสายตาจากไปสักครั้ง

หนิงซินตายแล้ว บุตรีเพียงคนเดียวของเขาตายแล้ว

นางถูกเฆี่ยนจนตายต่อหน้าต่อตาเขา ตอนที่นางตาย ร่างของนางถูกแยกออกเป็นสองส่วน กระทั่งตายนางก็ยังตายแบบร่างไม่สมบูรณ์

หลังจากกองทัพรุ่ยหลินจากไป หนิงรุ่ยก็เอาศพของหนิงซินกลับคืนมาด้วยตัวเอง และสั่งให้คนแบกเข้ามาในห้องหนังสือของเขา ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องเพียงลำพังกับศพของหนิงซิน ไม่ยอมกินทั้งน้ำและอาหาร และเอาแต่จมปลักอยู่ในความคิดที่น่าสะพรึงกลัว

เขาต้องการช่วยชีวิตหนิงซิน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

เขาได้แต่เฝ้าดูหนิงซินตายไปต่อหน้าต่อตา

“จวินอู๋เสีย กองทัพรุ่ยหลิน…อิ่นเหยียน…ฟ่านฉี…ข้าจะไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่ สักวันข้าจะให้พวกเจ้าชดใช้ชีวิตของลูกสาวข้า!” หนิงรุ่ยอดกลั้นมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็เค้นเสียงลอดไรฟันออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความโกรธและเกลียดชัง

หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ และเขาปรารถนาจะแก้แค้นให้หนิงซินได้ในทันทีนั้น

แต่เขาก็ทำไม่ได้

หนิงรุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกและยืนขึ้นทันที เขาหยิบกล่องไม้เล็กๆ ที่สลักขึ้นอย่างประณีตออกมาจากชั้นหนังสือด้านหลัง

เขาเปิดกล่องไม้ และสิ่งที่อยู่ด้านในคือแผนที่ขาดๆ ที่ทำจากหนังมนุษย์ ดวงตาของหนิงรุ่ยเปล่งประกายเยือกเย็น เขาปิดฝากล่องไม้แล้วเอามันเก็บไว้กับตัว จากนั้นก็ยกมือขึ้นดึงตำราเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ ตำราที่ถูกดึงไปกระตุ้นกลไกทำให้เกิดช่องว่างตรงกลางแถวของชั้นหนังสือ

เกิดเสียงดังคลิก แล้วชั้นหนังสือก็แยกออกไปด้านข้างช้าๆ เผยให้เห็นอุโมงค์ดำมืดด้านหลังชั้นหนังสือ

หนิงรุ่ยยกมือขึ้นจับกระเป๋าที่ใส่กล่องไม้เอาไว้แน่น แววตาเศร้าหมอง เขาจุดไฟแล้วเดินเข้าไปในอุโมงค์ที่มืดสนิท

ไม่รู้ว่าเขาเดินไปในความมืดนานเท่าไร สิ่งเดียวที่หนิงรุ่ยรู้สึกคือความโกรธและเกลียดชังในหัวใจ เขาลืมเวลาและความเหน็ดเหนื่อยไปจนหมด ในที่สุดเส้นทางยาวไกลที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดก็มีแสงสว่างที่ปลายทาง เขาก้าวออกจากอุโมงค์

ไม่มีใครรู้ว่าในห้องหนังสือของรองอาจารย์ใหญ่มีอุโมงค์ลับนำไปสู่ป่า ที่ปลายอุโมงค์ด้านหนึ่งคือห้องหนังสือของรองอาจารย์ใหญ่ ขณะที่อีกด้านนำไปสู่กระท่อมไม้หลังเล็กที่ซ่อนอยู่ในป่าลึก

“หนิงรุ่ยไม่ใช่หรือนั่น อะไรทำให้เจ้ามาถึงที่นี่วันนี้เล่า” ชายหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งนั่งยิ้มอยู่บนรั้วนอกกระท่อมไม้ รอยยิ้มบนใบหน้าเขาสว่างไสว แต่สายตาของเขาทำให้ผู้คนเย็นวาบไปทั้งสันหลัง

“นายท่านกู่อิ่ง” เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นั้น หนิงรุ่ยก็แสดงความนอบน้อมในทันที ใบหน้าของเขาจริงจังขณะทำการคารวะทักทาย

ชายหนุ่มนามว่ากู่อิ่งยกมือเท้าคางมองไปที่หนิงรุ่ย เขายกมุมปากขึ้นและถามว่า

“เจ้ามาที่นี่ทำไม”