หนานฉู่ ปีเจียซวี รัชศกถงไท่ วันที่หก เดือนหนึ่ง ปีที่หนึ่ง ยงอ๋องจัดงานเลี้ยงกับเหล่าขุนนางเพื่อเลี้ยงส่งซื่อจื่อก่อนเดินทางไกล เจียงเจ๋อมิได้ร่วมงานเลี้ยง ในงานเลี้ยงฉลอง ฉินชิงแม่ทัพหู่เวยขอเข้าพบเป็นการส่วนตัว ใช้ข่าวลือมาตำหนิเจียงเจ๋อ เจียงเจ๋อเกลี้ยกล่อมอย่างสุภาพ ฉินชิงกลับไปด้วยความละอาย
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
ข้าบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง หลายวันมานี้ข้าได้ข่าวว่ารัชทายาทติดกับแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจึงปล่อยวางเรื่องวุ่นวายลงได้ชั่วคราว จริงๆ แล้ววันนี้ทุกคนในจวนยงอ๋องล้วนยุ่งกันแทบตายเพราะซื่อจื่อใกล้จะเดินทางไปประจำการแทนยงอ๋องแล้ว ยงอ๋องจะต้องจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกับเหล่าขุนนางตามระเบียบประเพณี ข้าไม่สนใจเรื่องนี้จึงขอลางานกับองค์ชาย คิดจะอ่านตำราโบราณหลายเล่มที่ยงอ๋องส่งมาให้ข้าอยู่ที่สวนเหมันต์
องค์ชายเข้าใจดีว่าข้าไม่ชอบความครึกครื้น เนื่องจากวันนี้จะมีองค์ชายองค์หญิงและผู้สูงศักดิ์จำนวนไม่น้อยมาเข้าร่วมงานเลี้ยง เกรงว่านอกจวนยงอ๋องจะต้องวุ่นวายมากเป็นแน่ อย่างไรเสียในหมู่คนเหล่านั้นย่อมมีหลายคนที่มีคุณสมบัติมากพอจะเดินเล่นในจวนอ๋อง ขอเพียงไม่เข้าใกล้เขตหวงห้ามก็ไม่เป็นไร เพื่อมิให้ผู้อื่นรบกวนข้า องค์ชายจึงส่งคนมาเฝ้าประตูให้ข้าโดยเฉพาะ ทั้งยังไม่อนุญาตให้ผู้ใดเดินเข้าไปตามใจ
ความจริงองค์ชายมีเจตนาให้ข้าไปหลบอยู่ที่เรือนหลังด้วยซ้ำ แต่หากทำเช่นนี้จะทำให้ผู้อื่นมองไม่ดีข้าจึงไม่ได้ตอบรับ อย่างไรเสียนอกสวนเหมันต์ก็มีคนเฝ้า ข้ายังต้องกลัวอะไรอีกเล่า
เสี่ยวซุ่นจื่อรู้นิสัยข้าดี เมื่อตื่นเช้ามาจึงไปเปิดหน้าต่างขับไล่อากาศหม่นหมองยามค่ำคืนออกไป จากนั้นจึงจุดเครื่องหอมแล้วมาช่วยข้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ไปใส่ชุดยาวแขนกว้างลำลอง จากนั้นข้าก็นั่งจิบชาหอมที่เสี่ยวซุ่นจื่อเป็นคนต้ม ช่างเป็นชีวิตสุขสันต์ประหนึ่งเทพเซียนจริงๆ
หลังจากอ่านตำราไปครู่หนึ่ง ข้าก็เงยหน้าขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ เห็นเสี่ยวซุ่นจื่อถือมีดเงินเล่มหนึ่งแกะสลักหยกขาวก้อนหนึ่งอยู่ นี่คือความเคยชินที่เขาสั่งสมจนเป็นนิสัยขึ้นมาในระยะนี้ หลังจากคราวที่แล้วที่ข้าบังคับให้เขาแหะสลักตุ๊กตาไม้ให้โหรวหลัน จู่ๆ เขาก็ชอบการแกะสลักขึ้นมาเสียอย่างนั้น หากไม่มีธุระก็จะถือมีดแกะสลักมาแกะสลักสิ่งต่างๆ
ข้าเคยถามเขาแล้วว่าเหตุใดจู่ๆ จึงชอบเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาได้ เขากล่าวกับข้าด้วยสีหน้าลึกลับว่า เขาพบวิธีการฝึกวรยุทธ์อีกวิธีหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าการฝึกวรยุทธ์ของตนไม่มีความก้าวหน้า ผู้ใดจะรู้ว่าพอแกะสลักไม้ขึ้นมาจะทำให้เขาค้นพบกระบวนท่าที่ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงพบวิธีการฝึกวรยุทธ์ใหม่ๆ
แม้ข้าไม่เข้าใจว่าการแกะสลักเกี่ยวอันใดกับการฝึกฝนวรยุทธ์ แต่เมื่อใช้การเปรียบเทียบคิดดูก็ยังเข้าใจได้บ้าง ท่าทางเสี่ยวซุ่นจื่อสัมผัสได้ถึงความก้าวหน้าจากการแกะสลักที่เริ่มจากรอยสลักแข็งทื่อจนกระทั่งเป็นรูปเป็นร่างกระมัง อย่างน้อยตอนนี้สิ่งที่เขาแกะสลักก็ดูงดงามราวกับมีชีวิตแล้ว ดังนั้นข้าจึงซื้อหยกธรรมดาให้เขาจำนวนหนึ่งเพื่อให้เขาเอาไว้แกะสลักเล่น ที่ทับหนังสือบนโต๊ะหนังสือของข้าก็เป็นของที่เขาแกะสลักให้เมื่อหลายวันก่อน
ข้ามองดูเขาอยู่เช่นนั้น จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาก่อนกล่าวว่า เสี่ยวซุ่นจื่อ ถึงเจ้าจะชอบแกะสลักแต่ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนทุกวันกระมัง วันนี้องค์ชายจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขก ด้านนอกคละเคล้าไปด้วยเสียงดนตรี เจ้าก็ไปผ่อนคลายบ้างเถิด
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบกลับอย่างเฉยเมย วันนี้ด้านนอกมีคนมากไป ข้าไม่อาจวางใจปล่อยท่านไว้คนเดียวได้
ข้ายิ้มตอบ เจ้าจะระแวงเกินไปแล้ว นี่คือจวนยงอ๋อง ส่วนข้าก็เป็นเพียงขุนนางเล็กๆ คนหนึ่ง ผู้ใดจะมาสังหารข้าเล่า เอาละ เจ้าไปเถิด อย่าลืมว่าเจ้าเพิ่งอายุยี่สิบ อย่ามัวทำตัวเป็นคนแก่ทั้งวันเลย หากเป็นเช่นนั้นคงเป็นความผิดของข้าแล้ว
เสี่ยวซุ่นจื่อจ้องมองข้าครู่หนึ่ง แต่จะอย่างไรเขาก็ยังอายุน้อยจริงๆ งานรื่นเริงเหล่านั้นยังคงมีแรงดึงดูดต่อเขาอยู่มาก ทว่าก็ไม่อาจวางใจเรื่องข้าเช่นกัน ข้าจึงได้แต่ยิ้มบอก เอาเช่นนี้เถิด เจ้าก็เรียกหูเวยเข้ามา ให้เขาคุ้มครองที่นี่แทนเจ้า เช่นนี้เจ้าคงวางใจแล้วกระมัง
เสี่ยวซุ่นจื่อมองจอกชาบนโต๊ะหนังสือ แต่ต้องมีคนคอยปรนนิบัติเรื่องชาให้ท่านด้วย
ข้าได้แต่กล่าวไปอย่างจนใจ เสี่ยวซุ่นจื่อ อย่าลืมว่าข้าเป็นคนสอนเจ้าชงชา เอาละ เจ้าไปเล่นเถิด วันนี้ไม่อนุญาตให้เจ้าติดตามข้า โคมไฟก็จุดไว้สามวัน เมื่อคืนเจ้าคุ้มครองข้าแล้วก็ช่างเถิด วันนี้เจ้าก็ออกไปเดินเล่นเสียบ้าง ข้าไม่อนุญาตให้อยู่ในจวนอันหม่นหมองทั้งวัน ส่วนข้าก็จะไม่ออกไปไหน ไม่มีอันตรายหรอก
สุดท้ายเสี่ยวซุ่นจื่อจึงพยักหน้ารับ ขอรับ เช่นนั้นข้าจะไปตามคนมา คุณชายก็อ่านหนังสือไปอย่างสบายใจเถิด ข้าจะจัดการทุกอย่างให้ดี
ข้ามองแผ่นหลังของเขาพลางแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ ใช่แล้ว ชายหนุ่มอายุเพิ่งจะยี่สิบปีคนหนึ่ง เหตุใดต้องมาทำตัวราวคนแก่ด้วยเล่า ควรออกไปเที่ยวเล่นให้เบิกบานใจถึงจะถูก ถึงแม้ตอนข้าอายุยี่สิบจะต้องคิดเรื่องสอบจ้วงหยวนเพราะเจ้าเด็กนั่นขโมยเงินเดินทางของข้าไปก็ตาม แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองอัปยศเช่นนั้น
เมื่อส่งเสี่ยวซุ่นจื่อไปแล้วข้าก็จมกับหนังสือต่อไป เมื่อหูเวยมาเข้าพบก็เห็นข้าไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เขาติดตามข้ามาระยะหนึ่งแล้ว รู้ดีว่าเมื่อข้าอ่านตำราจะลืมเรื่องอื่นๆ ไปจนสิ้น ดังนั้นจึงถอยออกไปอย่างเงียบเชียบไม่ได้รบกวนข้าอีก ข้าในตอนนี้ยังไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ชีวิตข้าเข้าใกล้ความเป็นความตายที่สุดใกล้จะมาถึงแล้ว
ฉินชิงรับมือกับสหายร่วมงานข้างกายพลางขบคิดบางอย่างในใจ วันนี้เขามาร่วมงานแทนบิดา แต่เขาไม่อยากพูดคุยสนทนากับจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้น หลังจากรีบร้อนไปแสดงความยินดีกับยงอ๋องแล้วจึงวิ่งไปยังพลับพลาหลากสีที่อยู่ด้านนอกเพื่อดูการแสดงการละเล่นบนเวที ทว่าเขากลับมิอาจสนุกสนานไปกับมัน ในสมองเต็มไปด้วยเงาขององค์หญิงฉางเล่อและเจียงเจ๋อ
เมื่อปีนั้นเขานัดองค์หญิงให้หนีตามไปด้วยกันแต่กลับถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เขาที่ตอนนั้นยังหนุ่มและบุ่มบ่ามเลือกคำพูดโน้มน้าวไม่เป็นจึงได้แต่ตำหนิองค์หญิงว่าหลงลืมคุณธรรม มีใจโลภคิดอยากได้เกียรติยศของการเป็นมเหสีแห่งเจ้าแคว้นหนานฉู่ องค์หญิงจากไปพร้อมน้ำตานองหน้า ทว่าแผ่นหลังที่อัดแน่นไปด้วยความทะนงตนกลับทำให้เขาเจ็บปวดนับหมื่นเท่า เสียดายที่ไม่มีโอกาสกล่าวขออภัยออกไป
จากนั้นเขาก็ถูกบิดาตำหนิแล้วถูกส่งไปที่ค่ายทหาร เขาใช้หอกและดาบสังหารศัตรูจนได้รับตำแหน่งแม่ทัพหู่เวยขั้นสี่ เสียดายที่เขาไม่มีโอกาสทำสงครามกับหนานฉู่ที่เขาเคืองแค้นอยู่ทุกวัน ตอนนี้องค์หญิงกลับมาแล้ว เมื่อรู้เรื่องนี้เขาทั้งดีใจและโศกเศร้า ความหวังสูงสุดของเขาก็คือนำทัพเข้าโจมตีหนานฉู่ให้ดับดิ้นแล้ววิ่งไปขออภัยเบื้องหน้าองค์หญิงด้วยตนเอง แต่ตอนนี้กลับไม่มีโอกาสแล้ว
หลังจากองค์หญิงกลับมา เขาเคยขอร้องให้บิดามารดาเข้าวังไปบอกกล่าวเจตนาของตนต่อองค์หญิง ทว่าราวถูกน้ำเย็นสาดใส่ องค์หญิงไม่มีความรู้สึกอันใดต่อเขาแม้แต่น้อย เขาเจ็บเจียนตาย ได้แต่แบกความหวังสุดท้ายไปเข้าร่วมการแข่งขันประลองยุทธ์ สุดท้ายยังเสมอกับเจ้าหนุ่มหน้าขาวนั่น
แม้เขาจะทราบดีว่านี่ไม่ได้หมายความว่าตนด้อยกว่าเซี่ยโหวเหยียนเฟิง ทว่าเขาสูญเสียความหวังที่จะคืนดีกับองค์หญิงไปจนสิ้นแล้ว หลังจากการแข่งขัน เขาก็ถูกท่านพ่อส่งไปคุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษ เนื่องจากเขาไปพัวพันกับขุนนางจากหนานฉู่ผู้นั้น
ฉินชิงเคียดแค้นชิงชังหนานฉู่อย่างลึกล้ำ กระทั่งพานเกลียดชังคนหนานฉู่ไปด้วย เจียงเจ๋อ คนผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องเสเพล ทั้งๆ ที่คุกเข่ายอมจำนนแต่กลับมีคารมคมคาย ตนค่อนแคะเขาไปสักหลายประโยคจะนับเป็นอะไรได้ แต่บิดาถึงกับใช้กฎประจำตระกูลมาลงโทษเขา กระทั่งตอนนี้ฉินชิงยังคงจำเหตุการณ์ที่บิดาก่นด่าตนด้วยสีหน้าเขียวคล้ำได้อย่างดี
เดรัจฉาน ข้าไม่ตำหนิพฤติกรรมเลวร้ายในอดีตของเจ้า และไม่ได้ตำหนิที่เจ้าพานเคียดแค้นโกรธเคืองผู้อื่น แต่เจ้าถึงกับสบประมาทอัจฉริยะต่อหน้าผู้คน เมื่อเป็นเช่นนี้ตระกูลฉินของเรายังจะมีอนาคตอันใดให้พูดถึงอีก เจ้าก็รู้ดีว่านี่เป็นความผิดมหันต์ เจียงเจ๋อคนผู้นี้ไม่ใช่ธรรมดาสามัญ เมื่อตอนเขาเป็นที่ปรึกษาให้เต๋อชินอ๋อง หนานฉู่ก็ชิงเอาสู่จงไปได้อย่างง่ายดาย เขาใช้กวีเพียงบทเดียวก็ช่วงชิงชีวิตสู่อ๋องได้แล้ว หนังสือกราบบังทูลของเขาทำให้ผู้มีอุดมการณ์ในต้ายงยังต้องใจเต้นระรัว นับได้ว่าคนผู้นี้มีใจรักแว่นแคว้นเช่นกัน เจ้าถึงกับคิดทำให้เขาอัปยศด้วยเรื่องที่เขาเป็นขุนนางถูกปลด เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากคนผู้นี้มีใจคับแคบแม้เพียงนิด ในอนาคตชีวิตของเจ้าจะต้องอยู่บนมือเขาเป็นแน่
แม้เขาไม่อยากยอมรับแต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับผิดต่อบิดาที่กำลังระเบิดโทสะ จนกระทั่งเมื่อวานบิดาจึงค่อยปล่อยเขาออกมา ทั้งยังกล่าวอย่างทอดถอนใจด้วยว่า พรุ่งนี้ยงอ๋องจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง เจ้าก็ไปอวยพรซื่อจื่อแทนข้า จำไว้ว่าต้องหาโอกาสไปพบเจียงซือหม่าและขออภัยเขาให้ได้ หากคนผู้นี้แค้นเคืองเจ้า เกรงว่าสุดท้ายจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ข้าสืบรู้มาว่ายงอ๋องเห็นคนผู้นี้เป็นคนสนิท กระทั่งฉีอ๋องก็ยังให้ความสำคัญกับเขามาก องค์ชายสองพระองค์มิใช่คนสามัญ เห็นได้ชัดว่าเขาร้ายกาจเพียงใด หากเจ้าทำให้เขายกโทษให้ไม่ได้ ในอนาคตน้องๆ ของเจ้าคงถูกลากเข้าไปพัวพันด้วยแล้ว
ด้วยเหตุนี้ฉินชิงจึงเดินทางมายังจวนยงอ๋องด้วยความโกรธเกรี้ยวและเคืองแค้นที่อัดแน่นเต็มอก เดิมทีคิดว่ายอมรับผิดไปลวกๆ เป็นพอ แต่เมื่อครู่นี้เขาได้รับทราบข่าวที่ทำให้เขาโกรธจนแทบสลบ นั่นก็คือองค์หญิงฉางเล่อถึงกับมีความรู้สึกส่วนตัวกับเจ้าขุนนางถูกปลดไร้ยางอายนั่น
เขาได้รับทราบข่าวนี้โดยบังเอิญ หลังจากเข้าพบยงอ๋องก็อวยพรแทนบิดา แม้จะรู้สึกอับอายแต่ก็ยังบอกเรื่องที่ตนต้องการขออภัยเจียงเจ๋อออกไป ยงอ๋องทำเพียงยิ้มรับเงียบๆ กล่าวเพียงว่าเจียงซือหม่าร่างกายอ่อนแอ เกรงว่าต้องรอถึงยามซื่อจึงจะมาพบแขกได้ ให้เขาไปไปผ่อนคลายเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงตอบรับไปอย่างจนใจ
เขาเที่ยวชมทิวทัศน์ในจวนอ๋องพลางบ่นด่าบัณฑิตไร้ประโยชน์ผู้นั้นไปด้วย เพียงแต่เดินไปได้ไม่นานก็พบขันทีสองคนกำลังซุบซิบนินทากันอยู่หลังต้นไม้ เดิมทีเขาไม่ได้มีเจตนาแอบฟัง แต่กลับบังเอิญได้ยินประโยคหนึ่งที่ทำให้เขาต้องหยุดเดิน
ขันทีผู้หนึ่งกำลังประโคมข่าวกับสหายร่วมงานของตนด้วยท่าทีลำพองใจ กล่าวว่าตอนที่องค์หญิงฉางเล่อมาที่จวนอ๋องได้เข้าพบเจียงซือหม่าเป็นการส่วนตัว ที่แท้ทั้งสองมีความรู้สึกส่วนตัวต่อกันตั้งแต่อยู่หนานฉู่แล้ว หากไม่ใช่ว่าตนได้รับพระบัญชาให้ไปปรนนิบัติเจียงซื่อหม่า เกรงว่าคงไม่รู้เรื่องใหญ่คับฟ้านี้แล้วกระมัง ทั้งยังคุยโวด้วยว่า เจียงซือหม่าให้เงินตนมาหนึ่งพันตำลึง บอกว่าหากตนยอมปิดปากเงียบ ในอนาคตหากเขาได้เป็นราชบุตรเขย ขันทีผู้นี้จะได้มาทำหน้าที่ดูแล
ตอนต่อไป