ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 25 อาคันตุกะเยือนสวนเหมันต์ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ฉินชิงฟังถึงตรงนี้ก็โกรธจนเวียนศีรษะแทบหน้ามืด ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะได้สติกลับมา เมื่อคิดจะไปสืบสาวหาความ ขันทีสองคนนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว ฉินชิงนิ่งอึ้งอยู่ที่นั่น ครุ่นคิดว่าหากองค์หญิงสมรสกับเหวยอิงหรือเซี่ยโหวหยวนเฟิง แม้นตนจะโศกเศร้าก็ยังพอยอมรับ แต่หากองค์หญิงมีใจปฏิพัทธ์กับบัณฑิตอ่อนแอผู้นั้นจริง ตนไม่มีทางยินยอมเด็ดขาด เขาครุ่นคิดไปมา องค์หญิงทรงเรียบร้อยอ่อนหวานมาตั้งแต่เล็ก จะต้องเป็นขุนนางสิ้นแผ่นดินผู้นั้นล่อลวงองค์หญิงเป็นแน่ หากมิใช่ยงอ๋องกล่าวเอาไว้ก่อน เกรงว่าเขาคงวิ่งไปต่อว่าเจียงเจ๋อแล้ว ด้วยเหตุนี้ หลังจากนั้น ไม่ว่าชมการละเล่นหรือทำสิ่งใด ฉินชิงล้วนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อถึงยามซื่อ ฉินชิงเห็นบรรดาขุนนางชั้นล่างกับชั้นกลางมากันเกือบพร้อมหน้าแล้วจึงเรียกให้องครักษ์ผู้หนึ่งนำทางไปพบเจียงเจ๋อ องครักษ์เหล่านั้นได้รับคำสั่งจากยงอ๋องมาก่อนแล้วจึงนำฉินชิงไปยังสวนเหมันต์

แม้ฉินชิงมีเพลิงโทสะสุมเต็มอก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษห้าวหาญแห่งตระกูลแม่ทัพ ในเมื่อเจียงเจ๋อผู้นี้เป็นซือหม่าประจำจวนแม่ทัพเทียนเช่อ ส่วนจ่างสื่อสืออวี้เดินทางไปโยวโจวเพื่อช่วยเหลือซื่อจื่อ ถ้าเช่นนั้นในจวนยงอ๋อง คนผู้นี้ย่อมเป็นบุคคลที่อยู่เหนือคนนับหมื่นอยู่ใต้คนผู้เดียว ทว่ายามนี้ยิ่งก้าวเดินกลับยิ่งวังเวง เสมือนกำลังเดินไปยังเรือนรับแขกอันห่างไกลยิ่งนัก ฉินชิงจึงอดมิได้ เอ่ยถามองครักษ์ผู้นำทาง เหตุใดเจียงซือหม่าจึงอาศัยอยู่ในที่ห่างไกลเช่นนี้

องครักษ์ผู้นั้นยิ้มตอบ แม่ทัพฉินอาจมิทราบ เจียงซือหม่าชมชอบความเงียบสงบ ดังนั้นจึงจงใจเลือกอาศัยในสวนเหมันต์ หากไม่มีธุระ แม้แต่ประตูสวนก็น้อยครั้งจะก้าวออกมา

ในเมื่อใจของฉินชิงเกิดความสงสัยขึ้นแล้ว ย่อมเลี่ยงที่จะคิดเหลวไหลเพ้อเจ้อไม่ได้ คนผู้นี้อาศัยอยู่ห่างไกล หรือเพราะคิดว่าจะลอบพบองค์หญิงได้สะดวก

เมื่อมาถึงสวนเหมันต์ ฉินชิงจึงพบว่าที่แห่งนี้ป้องกันกวดขันอย่างแท้จริง เท่าที่ตนเห็นก็มีองครักษ์สิบกว่านายแล้ว องครักษ์ที่นำทางตนเข้าไปแจ้งสถานการณ์กับองครักษ์หน้าประตู หลังจากองครักษ์ผู้นั้นเดินเข้าไป ครู่หนึ่งจึงออกมากล่าวว่า ท่านซือหม่าเชิญแม่ทัพฉิน

ฉินชิงก้าวเข้าไปในสวนเหมันต์ กลับเห็นว่าด้านในเงียบเหงาวังเวงดังคาด ดูท่าเจียงเจ๋อผู้นี้จะชมชอบความเงียบสงบจริงๆ เขามองปราดเดียวก็เห็นหูเวยยืนอยู่นอกประตูห้องอันงดงามบานหนึ่ง หูเวยเป็นลูกน้องคนสนิทของยงอ๋อง ฉินชิงรู้ชัดแก่ใจ ดูท่ายงอ๋องจะให้ความสำคัญกับเจียงเจ๋ออย่างยิ่งจริงๆ ไม่แน่ยงอ๋องอาจสนับสนุนเรื่องของเจียงเจ๋อกับองค์หญิงก็เป็นได้ เพลิงโทสะในอกฉินชิงยิ่งร้อนระอุ

ข้ากำลังอ่านตำราอย่างเพลิดเพลิน จู่ๆ หูเวยก็เข้ามารายงานว่าแม่ทัพฉินฉินชิงเดินทางมาขอพบ ข้าตะลึงไปชั่วครู่ คนผู้นี้เสียมารยาทกับข้าต่อหน้าธารกำนัล วันนี้มาพบข้าเพื่อการใด? ข้านึกอยากไม่พบ แต่ก็นึกขึ้นว่าหากมิใช่เรื่องสำคัญ ยงอ๋องจะปล่อยให้เขามาพบข้าได้เช่นไร ข้าจึงจำใจวางตำราลง แต่คร้านจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ถึงอย่างไรก็มิใช่การพบปะอย่างเป็นทางการ ใช้เวลาเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น ข้าจึงไม่คิดจะทำให้ยุ่งยาก

เพียงครู่เดียว ฉินชิงก็เดินเข้ามา เขาเดินเข้ามาแล้วจ้องมองข้านิ่งๆ ข้านึกแปลกใจจึงโบกมือให้หูเวยออกไปแล้วถามขึ้นว่า ท่านแม่ทัพมาครานี้มีธุระสำคัญประการใด โปรดอภัยที่ผู้น้อยแต่งตัวตามสบาย อยู่ในห้องหับทำตัวตามสบายจนชินเสียแล้ว เชิญท่านแม่ทัพนั่งก่อน

ฉินชิงนั่งลงเงียบๆ แล้วมองดูชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามผู้นั้น อาภรณ์สีเขียวหลวมโพรกดูสวมใส่สบาย เส้นผมยาวมิได้มัดรวบ เพียงใช้ปิ่นเกล้าไว้ สีหน้าสุขุมผ่อนคลาย ฉินชิงเกิดความรู้สึกอันแรงกล้าประการหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้ตรงหน้ามิใช่คนธรรมดาสามัญเป็นแน่แท้ เขาลอบมีความสัมพันธ์กับองค์หญิงจริงหรือ ฉินชิงครุ่นคิดในใจ

ข้าเห็นว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จาก็อดรำคาญมิได้ จึงเอ่ยอย่างเย็นชา ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดแน่ หากไม่มีธุระ โปรดอภัยที่ข้าร่างกายอ่อนแอไม่สะดวกนั่งอยู่นาน ข้าพูดจบก็ยกถ้วยชาขึ้นลิ้มรสชาเหมิงซานชั้นยอดคำหนึ่ง นี่เป็นถึงของชั้นเลิศท่ามกลางเครื่องบรรณาการ แม้แต่ยงอ๋องยังมีเพียงไม่กี่เหลี่ยง[1]เท่านั้น กระนั้นก็ยังแบ่งครึ่งหนึ่งมอบให้ข้า เป็นชาซึ่งข้าโปรดปรานที่สุด ปกติมีเพียงวันว่างเช่นนี้เท่านั้นที่ข้าจะชงสักถ้วย ใครจะรู้ว่าข้าเพิ่งจิบได้คำเดียวก็ได้ยินฉินชิงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า ท่านคบหากับองค์หญิงฉางเล่ออยู่จริงหรือ

พรูด น้ำชาในปากข้าถูกพ่นออกมาจนหมด ข้ามองฉินชิงอย่างตะลึงงัน แล้วเอ่ยถามตะกุกตะกัก แม่ทัพฉิน ท่านพูดอันใด

ฉินชิงมองข้าด้วยแววตาเย็นยะเยือกแล้วเอ่ยขึ้นว่า ข้าถามว่าท่านลักลอบมีความสัมพันธ์กับองค์หญิงฉางเล่อหรือไม่

ข้าใช้ความสามารถพิเศษของตนเองด้วยสัญชาตญาณ เยี่ยม หูเวยอยู่ไกลมากน่าจะไม่ได้ยิน ทำไมถามคำถามเช่นนี้ออกมาเล่า ข้ามองฉินชิงแล้วถามขึ้นว่า แม่ทัพฉิน อภัยที่ข้าพูดตามตรง ท่านกับองค์หญิงมีความสัมพันธ์ใดกันหรือไม่

ฉินชิงฟังแล้วพลันหน้าแดงก่ำตอบว่า ไม่มี

ข้ารู้สึกว่าขนอ่อนบนร่างลุกชัน รับรู้ได้ว่าคนผู้นี้เกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว แต่ครุ่นคิดแล้ว ข้าก็ไม่อาจให้หูเวยเข้ามาได้ ข่าวลือเสียหายเช่นนี้หากกระจายออกไป เกรงว่ายงอ๋องคงปกป้องข้าไม่ไหว ข้าเอ่ยอย่างสุขุม ในเมื่อท่านแม่ทัพกับองค์หญิงมิได้มีความสัมพันธ์ประการใดกัน สอบถามเรื่องส่วนตัวขององค์หญิงเช่นนี้คงไม่เหมาะนัก แต่เมื่อท่านแม่ทัพถามมาแล้ว หากข้าไม่ตอบคงจะกลายเป็นวัวสันหลังหวะ ทว่าเรื่องเช่นนี้มีได้ครั้งหนึ่งแต่อย่าได้มีครั้งต่อไป หวังว่าท่านแม่ทัพจะใช้สมองให้มากสักหน่อยก่อนเอ่ยปากถาม

ข้าเมียงมองสีหน้าของฉินชิงแล้วรู้สึกว่ายังพูดต่อไหว จึงเอ่ยต่อว่า ตัวข้าเป็นขุนนางเชลยจากหนานฉู่ ท่านแม่ทัพดูแคลนข้าย่อมไม่ผิด แต่ข้อดีประการเดียวในชีวิตของเจียงเจ๋อคือเป็นผู้ครองตนบริสุทธิ์ นอกจากภรรยาที่เสียไปก็ไม่เคยมีสัมพันธ์กับสตรีอื่นอีก หากแม่ทัพประณามเจียงเจ๋อเรื่องยอมสวามิภักดิ์อย่างไร้ศักดิ์ศรี ไม่ว่าเจียงเจ๋อโมโหเช่นไรล้วนยอมทนฟัง แต่คำพูดสกปรกเช่นนี้ แม้ข้าปล่อยให้เป็นลมผ่านหูได้ แต่ยอมให้ท่านพูดส่งเดชไม่ได้

ฉินชิงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา เจ้ากล้าสาบานหรือไม่

ข้าหัวเราะหยันแล้วเอ่ยอย่างเฉยเมย ท่านแม่ทัพ เจียงเจ๋อผู้นี้สาบานต่อทวยเทพเทวาบนสรวงสวรรค์เบื้องบนจดปวงประชาทั้งหลายเบื้องล่าง เรื่องเช่นนี้ข้าไม่ทำ แต่ข้าจะบอกกล่าวตามตรง เจียงเจ๋อกับองค์หญิงเคยพบหน้าสนทนากันเพียงสองครั้ง ครั้งหนึ่งที่หนานฉู่ตอนข้าเข้าเฝ้าตามรับสั่ง อีกครั้งหนึ่งคือเมื่อวันก่อน พบกันโดยบังเอิญที่จวนยงอ๋อง องค์หญิงทรงเป็นสตรีสูงศักดิ์ ทั้งยังเคยเป็นพระมเหสีแห่งหนานฉู่ มีความสัมพันธ์กับเจียงเจ๋อเยี่ยงเจ้านายกับขุนนาง หากแม่ทัพฉินเห็นเรื่องนี้เป็นการลักลอบคบหา ถ้าเช่นนั้นใต้หล้าก็มิมีผู้ใดบริสุทธิ์แล้ว

ฉินชิงใจเย็นลงแล้ว เขาฟังออกว่าแม้ข้าเอ่ยวาจารุนแรงแต่ไม่มีคำลวงแม้สักคำ เมื่อคิดได้ว่าตนฟังคำเล่าลือไร้มูลจนแล่นมาเค้นเอาความแต่กลับถูกตอกกลับหน้าแตกยับเยิน แล้วจะขออภัยเจียงเจ๋อตามคำสั่งของบิดาเช่นไร เขาก็ได้แต่ประสานมือเอ่ยว่า ข้าผิดไปแล้ว เรื่องนี้ข้าได้ยินขันทีสองคนในจวนอ๋องพูดมา ขอใต้เท้าซือหม่าโปรดอภัยด้วย

หัวใจข้าพลันหนาววูบ ตะเบ็งเสียงขึ้นทันที หูเวย

หูเวยผลักประตูเข้ามาในทันใด ข้าเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก มีคนพูดเหลวไหลไร้สาระทำให้แม่ทัพฉินบันดาลโทสะ เจ้าไปนำตัวพวกเขามาพบข้าทันที แม่ทัพฉิน สองคนนี้หน้าตาเป็นเช่นไร พบพวกเขาที่ใด

ฉินชิงเดิมคิดจะไม่พูด แต่เมื่อเห็นแววตาเย็นเยียบในดวงตาของเจียงเจ๋อ หัวใจพลันหวาดหวั่น จึงบอกอายุกับหน้าตาของสองคนนั้น หูเวยฟังจบก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า ใต้เท้า สองคนนี้ผู้น้อยรู้จัก พวกเขาคือขันทีที่ในวังส่งมา เรียนถามใต้เท้า จะให้พาคนมาที่นี่หรือไม่

ข้าขบคิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า วันนี้องค์ชายจัดงานฉลอง มิสมควรทำให้แขกเหรื่อตื่นตกใจ เจ้าจับพวกเขาสองคนคุมขังไว้ก่อน รอองค์ชายมาจัดการ

หลังจากหูเวยเดินออกไป ข้าจึงมองฉินชิงแล้วเอ่ยอย่างเฉยชา แม่ทัพฉิน ฟังข้าแนะนำสักคำ บิดาของท่านเป็นที่โปรดปรานมาจนถึงบัดนี้ มิใช่เพราะอาศัยอำนาจข่มเหงผู้คน ได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่ฝู่หย่วนเป็นผู้เก็บงำวาจา ทั้งชีวิตลั่นวาจาแล้วต้องทำ ทำแล้วต้องสำเร็จ สิ่งที่ทำให้ผู้คนเลื่อมใสที่สุดคือแม่ทัพใหญ่ทำงานอย่างยุติธรรมและเด็ดขาด หากไร้ความผิด กระทั่งข้ารับใช้ตัวน้อยก็ไม่ดูแคลน หากมีความผิด แม้แต่พระญาติเชื้อพระวงศ์ก็ไม่ละเว้น ท่านแม่ทัพลองตรองการกระทำที่ผ่านมาหลายวันนี้ดูว่ามีสิ่งที่ควรค่าภาคภูมิบ้างหรือไม่ ข้าหามีเจตนาเอ่ยวาจาล่วงเกินไม่ แต่ทนมองทายาทของแม่ทัพใหญ่ตกต่ำมิได้จริงๆ

เดิมฉินชิงสมควรโกรธเกรี้ยว แต่เขารู้สึกว่าสิ่งที่เจียงเจ๋อกล่าวคล้ายกับความคิดที่บิดาเอ่ยเล่าในยามปกติจึงไม่กล้าโต้แย้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลายวันมานี้ถูกเพลิงโทสะกับเพลิงริษยาแผดเผาจนไร้สติ ยิ่งนึกก็ยิ่งอับอาย ตัวเขาเป็นทายาทตระกูลแม่ทัพ ถูกบิดาผู้เข้มงวดอบรมสั่งสอนมา แม้เลอะเลือนไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายมิได้มาจากกมลสันดาน เมื่อได้ขบคิด ในใจจึงพลันบังเกิดสติปัญญา เขาทรุดตัวลงคำนับด้วยความนับถือ ขอบคุณท่านเจียงที่สอนสั่ง วันวานฉินชิงล่วงเกินท่าน ขอท่านโปรดอภัยด้วย

ข้ากลับตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะรู้สำนึกและรู้จักแก้ไขเช่นนี้ ข้าประคองเขาขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า ท่านแม่ทัพคำนับเช่นนี้ ผู้น้อยรับไม่ไหว หากล่วงเกินที่ใด ขอท่านแม่ทัพโปรดอภัยด้วย

ฉินชิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ท่านเจียง เดิมทีฉินชิงอยากฟังคำสั่งสอนของท่านอีก แต่ฉินชิงรับคำสั่งให้มาร่วมแสดงความยินดี อีกประเดี๋ยวงานเลี้ยงฉลองกำลังจะเริ่มขึ้น ฉินชิงมิอาจไม่ออกไปเอ่ยคำแสดงความยินดีกับยงอ๋อง วันหน้าหากมีโอกาส ขอท่านเจียงโปรดชี้แนะอีก

เปลี่ยนหอกโล่เป็นหยกแพรพรรณได้อย่างคิดไม่ถึง ข้าอดเปรมปรีดิ์มิได้ จึงเดินมาส่งเขาออกจากสวนเหมันต์ด้วยตนเอง หลังจากมองเขาเดินจากไปไกลแล้ว จู่ๆ ก็ได้ยินคนตวาดขึ้นว่า ผู้ใดล่วงล้ำสวนเหมันต์ ยังไม่ยอมให้จับกุมเสียแต่โดยดีอีก

[1]เหลี่ยง หน่วยน้ำหนักของจีนเท่ากับ 50 กรัม

ตอนต่อไป