ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 26 ทำลายบุพเพสันนิวาส (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

หนานฉู่ รัชศกถงไท่ปีที่หนึ่ง วันที่สิบหกเดือนหนึ่ง เผยอวิ๋นแม่ทัพกองราชองครักษ์แห่งต้ายงหลงเข้ามาในสวนเหมันต์ เจียงเจ๋อชมชอบความโผงผางของเขาจึงรั้งให้ร่วมร่ำสุรา สนทนาสนิทสนมกันอยู่นาน ไม่นานหลังจากนั้นเผยอวิ๋นถอนหมั้นแล้วแต่งงานกับสตรีอื่น ผู้คนเยาะเย้ยเขาว่าขาดคุณธรรมไร้หัวใจ ต่อมาจึงได้รู้ว่าเขาชาญฉลาดที่สะบั้นความสัมพันธ์ให้เด็ดขาด ทว่าเจียงเจ๋อทำลายบุพเพสันนิวาสของผู้อื่นนับเป็นเรื่องน่าอับอายของปัญญาชนอย่างแท้จริง

…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ

ข้าหันหน้าไปมองก็เห็นบุรุษหนุ่มอาภรณ์สีเทา หน้าตาสุขุม รูปลักษณ์ไม่ธรรมดาผู้หนึ่งกำลังถูกองครักษ์สองนายขวางอยู่ ดวงตาของเขาฉายแววสงสัยคล้ายไม่เข้าใจว่าเหตุใดสถานที่ห่างไกลเช่นนี้จึงต้องมีองครักษ์คุ้มกันแน่นหนาเช่นนี้ องครักษ์สองคนนั้นชักดาบออกจากฝัก ท่าทางเคร่งเครียด พร้อมลงมือในทันที แม้องครักษ์สองนายนี้ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แต่แท้จริงเขาก็มิใช่มือสังหาร ดังนั้นจึงไม่ขัดขืน ขณะที่ข้ามอง เขากำลังเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า สหายทั้งสอง ข้าคือเผยอวิ๋น แม่ทัพกองราชองครักษ์ ครั้งนี้มาร่วมงานฉลองที่จวนอ๋อง แต่เพราะมิชมชอบเสียงเอะอะจึงเดินเล่นไปทั่ว มิมีเจตนาล่วงล้ำ โปรดอภัยด้วยที่ข้าไม่ทราบว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม

องครักษ์ทั้งสองนายสบตากัน พวกเขาต่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง กล่าวถึงบุคลิกลักษณะของคนผู้นี้ดูแล้วก็เหมือนแม่ทัพผู้หนึ่งจริงๆ บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างของเขาไม่เพียงห้าวหาญมิธรรมดา แต่การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งยังมีท่วงท่าเยี่ยงยอดฝีมือ หากคนผู้นี้มีเจตนาร้ายจริง เช่นนั้นตนจะยังมีหน้าอันใดไปรายงานองค์ชายเล่า

ข้าจำเผยอวิ๋นได้แล้ว คิดไม่ถึงว่ายงอ๋องจะชักชวนคนได้เก่งฉกาจจริงแท้ เผยอวิ๋นแม่ทัพกองราชองครักษ์แห่งค่ายอุดร เป็นเพียงแม่ทัพขั้นสี่ แม้การพิทักษ์เมืองหลวงเป็นหน้าที่สำคัญ แต่ก็ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองในจวนยงอ๋อง ฐานะเช่นเขา อย่างมากที่สุดก็ได้รับอนุญาตให้ส่งของขวัญมาสักชิ้นเท่านั้น เกรงว่าแม้กระทั่งสิทธิ์นั่งร่วมงานก็คงไม่มี ทว่ายามนี้เขากลับปรากฏตัวที่จวนอ๋อง ยงอ๋องคงจะส่งเทียบเชิญให้เป็นพิเศษกระมัง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ข้าก็แย้มรอยยิ้มเล็กน้อย ถ้าเช่นนั้นให้ข้าช่วยองค์ชายอีกแรงเถิด แทนที่จะให้เขาร่วมงานฉลองที่ห้องโถงด้านข้าง แม้แต่ยงอ๋องก็ไม่ได้พบหน้า มิสู้รั้งเขาไว้ที่นี่จะดีเสียกว่า เมื่อคิดได้ดังนี้ ข้าจึงเอ่ยด้วยเสียงอันดัง อย่าเสียมารยาท ท่านผู้นี้คือแม่ทัพเผย เผยอวิ๋นกระมัง ข้าเจียงเจ๋อ ซือหม่าประจำจวนแม่ทัพเทียนเช่อ

องครักษ์สองนายนั้นเห็นข้าเอ่ยปากจึงคำนับแล้วถอยออกไป เผยอวิ๋นเดินเข้ามาคำนับแล้วเอ่ยขึ้นว่า ขอบคุณใต้เท้าเจียงยิ่งนักที่คลี่คลายสถานการณ์ยุ่งยากให้ข้า แววตาที่เขามองข้าสงบนิ่ง นี่กลับแปลก นับตั้งแต่ข้ารับใช้ยงอ๋อง ทุกคนที่เห็นข้า ดวงตาไม่ฉายแววสงสัยใคร่รู้ก็มองประเมิน บางคนถึงขนาดดูแคลน แต่คนผู้นี้กลับมองข้าเป็นคนธรรมดาผู้หนึ่ง จึงทำให้ข้าอดใคร่รู้เกี่ยวกับเขามากขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า ท่านแม่ทัพคงไม่ชมชอบความเอะอะวุ่นวายด้านหน้าจึงเดินเล่นมาถึงด้านหลัง ข้าก็เป็นเช่นเดียวกัน จึงอาศัยอยู่ที่สวนเหมันต์ พบพานคือวาสนา ท่านแม่ทัพมานั่งเล่นในสวนสักหน่อยเป็นเช่นไร

เผยอวิ๋นเอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย งานเลี้ยงฉลองขององค์ชายกำลังจะเริ่มต้นแล้ว เกรงว่าข้าจะไม่สะดวกอยู่ที่นี่ต่อ

ข้ายิ้มจาง แม้ท่านแม่ทัพไม่เข้าร่วมก็ไม่นับว่าเสียมารยาท นั่งในงานเลี้ยงฉลองด้านนอกนั่นก็มิมีความหมายอันใด เอาเช่นนี้เถิด หากท่านแม่ทัพยินดี สุยอวิ๋นกำลังจะรับประทานอาหาร ขอเชิญท่านแม่ทัพอยู่ร่ำสุราที่นี่ ฝั่งองค์ชาย สุยอวิ๋นจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง

เผยอวิ๋นหวั่นไหว แม้การได้รับเทียบเชิญจากยงอ๋องจะเป็นเกียรติ ทว่าการเอาตัวเข้าไปอยู่ในวงขุนนางเหล่านั้นน่าอึดอัดยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าอย่างไรตนก็ทำได้เพียงร่วมงานเลี้ยงอยู่ที่โถงด้านนอก ไม่มีความหมายอันใดจริงๆ หากมิใช่เพราะเทียบเชิญของยงอ๋อง ตนเพียงส่งของขวัญมาสักชิ้นก็พอแล้ว คนผู้นี้ตรงหน้าอย่างไรก็เปิดเผยกว่าขุนนางเหล่านั้นมาก ที่พำนักของเขาป้องกันกวดขันเพียงนี้ ยงอ๋องคงให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง ถ้าเช่นนั้นหากตนรับคำเชิญก็คงไม่เสียมารยาทต่อยงอ๋อง เมื่อเปรียบเทียบแล้ว อยู่ที่สวนเหมันต์ดูเป็นความคิดที่ดี

ข้ามองสีหน้าของเผยอวิ๋นก็ทราบว่าในใจเขาตกลงแล้ว จึงเอ่ยเสียงกังวานว่า ส่งคนไปทูลองค์ชาย บอกว่าข้าเชิญแม่ทัพเผยให้อยู่เป็นเพื่อน

องครักษ์นายหนึ่งค้อมกายขานรับ ข้าก้าวเข้าไปจับแขนเผยอวิ๋นแล้วเชื้อเชิญ แม่ทัพเผยเชิญเข้ามาก่อน เจียงเจ๋อเลื่อมใสวรยุทธ์ของท่านแม่ทัพยิ่งนัก

ระหว่างที่ถูกข้าลากมาถึงเรือนบุปผา เผยอวิ๋นท่าทางขัดเขินเล็กน้อย เวลานี้ใกล้เที่ยงแล้ว ข้ารับใช้สองคนยกกับแกล้มเข้ามา ข้าสั่งให้พวกเขาออกไปอย่างเคยชิน จากนั้นจึงหยิบตะเกียบชี้โต๊ะอาหาร แม่ทัพเผย เจียงเจ๋อเป็นชาวใต้ ดังนั้นองค์ชายจึงใส่พระทัยเสาะหาพ่อครัวจากหนานฉู่มาปรุงอาหารให้เป็นพิเศษ เชิญลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่

เผยอวิ๋นมองจานใบน้อยเต็มโต๊ะ ในนั้นมีแต่กับแกล้มรสอ่อนที่ครบเครื่องด้วยสีกลิ่นรส เพียงลองลิ้มไม่กี่คำก็ต้องเอ่ยชมไม่ขาดปาก แม้เขาเป็นผู้ไม่ร่ำสุราหากขาดเนื้อ แต่กับแกล้มเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อของหนานฉู่ เขาจึงกินอย่างเพลิดเพลินยิ่งนัก ข้าเห็นเขาชมชอบจึงรินสุราให้เขาอีกหนึ่งจอกแล้วเอ่ยขึ้นว่า นี่คือหยาดน้ำค้างดอกท้อ สุราขึ้นชื่อของหนานฉู่เรา ใช้ลูกท้อผานเถา[1]หวานฉ่ำชั้นยอดของหนานฉู่จากสารทฤดูแต่ละปีหมักบ่ม เดิมข้าไม่คิดว่าจะได้ดื่มสุราชนิดนี้ที่นี่ แต่สุราไหนี้สหายเก่าคนหนึ่งของข้าตั้งใจส่งมาให้จากหนานฉู่ เมื่อวานเพิ่งส่งมาถึง

เผยอวิ๋นชิมไปหนึ่งคำพลันรู้สึกประหนึ่งดื่มน้ำค้าง สุราดีหอมอบอวล แต่เขานิสัยแข็งกร้าว ไม่นิยมสุราอ่อนเช่นนี้จึงอดขมวดคิ้วมิได้ ข้าเห็นเข้าจึงหัวเราะเบาๆ ดูท่าแม่ทัพเผยจะไม่ชอบสุรานี้สินะ ได้ยินว่าชายแดนต้ายงมีสุราชนิดหนึ่งนามว่าเพลิงดาบ รสเผ็ดร้อนยิ่งนัก ท่านแม่ทัพชอบหรือไม่ เผยอวิ๋นมีสีหน้าเบิกบานทันใด แล้วเอ่ยตอบว่า ใต้เท้ามีสุราเพลิงดาบหรือ สุราชนิดนี้ที่ฉางอันพบเห็นไม่มากนัก

ข้าเดินไปที่มุมของเรือนบุปผา ตรงนั้นมีตู้ไม้หวงหยางอยู่ใบหนึ่ง ข้าหยิบไหสุราใบน้อยไหหนึ่งออกมาจากชั้นล่าง แม้ไหสุราน้อยใบนี้จะขนาดไม่ใหญ่ แต่อย่างน้อยก็ใส่สุราไว้สิบชั่ง ถึงข้าจะไม่เปลืองเรี่ยวแรงเท่าใดแต่ก็ยกขึ้นมาไม่ง่ายนัก เผยอวิ๋นรีบเดินเข้ามารับไหสุราแล้วหิ้วไปที่โต๊ะ เขาอดเหลือบมองตู้แวบหนึ่งไม่ได้ ด้านในมีแต่ไหสุราใบน้อยกับกล่องใส่อาหารจำพวกนั้น

หลังจากเปิดโคลนที่ผนึกไว้ เผยอวิ๋นก็ได้กลิ่นหอมสุราร้อนแรงกลิ่นนั้นที่เขายากจะลืมเลือนทันที เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วรีบร้อนเทสุราใส่ชามสุราใบใหญ่ที่ข้าส่งให้ หลังจากนั้นก็ตั้งอกตั้งใจดื่มคำโต ความเผ็ดร้อนลวกลำคออันคุ้นเคยประหนึ่งพาเขาหวนคืนสู่ชายแดน เขาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะยกชามสุราขึ้นอีกครั้ง สุราไหลลื่นลงไปตามลำคอ น้ำตาเกือบจะหยดร่วงจากดวงตา หวนนึกถึงยามนั้นในสงครามชโลมเลือดที่ชายแดน อยู่ร่วมกับเหล่าทหารกล้าที่ร่วมเป็นร่วมตายช่างสุขสันต์ไร้กังวลเพียงไร ยามนี้อยู่ในเมืองหลวง แม้มีลาภยศสรรเสริญ ทว่าไร้สหายรู้ใจ นึกอยากหวนสู่ชายแดนหลายครั้ง ทว่าเมื่อคิดถึงภาพบิดาผู้ชรา เผยอวิ๋นก็ได้แต่หลับตาแน่น ฝืนกล้ำกลืนความขมขื่นทุกข์ตรมไว้ในใจ

ข้าไม่คิดว่าเผยอวิ๋นจะสะเทือนอารมณ์เช่นนี้ แต่ข้าเข้าใจจิตใจของเขาอย่างรวดเร็ว ดูท่ายอดความปรารถนาของแม่ทัพกองราชองครักษ์นายนี้คงจะเป็นการหวนกลับสู่สนามรบอีกครั้ง น่าเสียดาย เรื่องนี้ข้าเองก็ไร้หนทาง ผู้ใดก็มิอาจบังคับให้เขาทอดทิ้งบิดาผู้สูญเสียบุตรอันเป็นที่รักได้ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ลำบากใจเพราะเรื่องนี้มิใช่หรือ ทว่าเห็นเขาทุกข์ใจปานนี้ จู่ๆ ข้ากลับนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา หากเขามีทายาท ถ้าเช่นนั้นการหวนคืนสมรภูมิก็น่าจะไม่ยาก ข้าจึงเอ่ยถามขึ้นว่า แม่ทัพเผยปีนี้อายุเท่าใดแล้ว

ถึงอย่างไรเผยอวิ๋นก็เป็นลูกหลานตระกูลชื่อดัง ไม่นานจึงสงบอารมณ์ได้ เขาเงยหน้าตอบ ลำบากใต้เท้าต้องถาม ปีนี้ข้าอายุยี่สิบสามปีแล้ว

ข้าถามต่ออีกว่า แม่ทัพเผยมีครอบครัวแล้วหรือยัง

เผยอวิ๋นส่ายศีรษะอย่างขัดเขิน ท่านพ่อหมั้นหมายสตรีนางหนึ่งไว้ให้ข้า แต่ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจ จวบจนวันนี้จึงยังมิได้ตบแต่ง

ข้าถามอย่างสงสัย เพราะเหตุใดกันเล่า บิดาของท่านคงตั้งตาคอยหลานจนแทบทนไม่ไหว ในเมื่อท่านแม่ทัพกตัญญูต่อบิดามารดา ตามเหตุผลย่อมสมควรรีบแต่งงานมิใช่หรือ

เผยอวิ๋นเหลือบมองข้า แม้เผยอวิ๋นรู้สึกว่าวาจาบุรุษหนุ่มตรงหน้าล่วงเกินอยู่บ้าง แต่ไม่ทราบเหตุใดขึ้นเขาจึงรู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างประหลาด ไม่ได้รู้สึกห่างเหิน อาจเป็นเพราะสุราเพลิงดาบไหนั้น ถึงขั้นที่เขายังรู้สึกสบายใจอย่างยิ่งอีกด้วย อีกประการหนึ่ง เรื่องเหล่านี้เขาก็เก็บกดในใจมานานนักแล้ว ต้องการหาใครสักคนพูดคุยด้วย จึงเอ่ยปากเล่า ใต้เท้าอาจไม่ทราบ วรยุทธ์ที่ข้าฝึกฝน หากไม่สำเร็จถึงขั้นหนึ่งไม่สมควรตบแต่งภรรยา ทว่าต้นปีนี้อาจารย์ของข้าบอกว่าข้าแต่งงานได้แล้ว แต่นี่มิใช่สาเหตุหลัก สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ คู่หมั้นของข้ามีฐานะพิเศษ สำนักจึงไม่พอใจอย่างมาก

ในใจข้าฉุกคิดบางอย่างจึงถามขึ้นมา ขอถาม คู่หมั้นของท่านแม่ทัพคือบุตรสาวตระกูลใดหรือ

เผยอวิ๋นยิ้มเจื่อน นางคือบุตรีของผู้ช่วยเจ้ากรมโยธาธิการเซวียจวี่ เดิมสองตระกูลมีไมตรีอันดีต่อกันมาหลายรุ่น ข้ากับนางหมั้นหมายกันมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เป็นสหายกันมาตั้งแต่เล็ก นับว่าสองฝ่ายมีใจให้กัน เมื่ออายุเก้าปี ข้าขึ้นเขาซงซานร่ำเรียนวรยุทธ์ ทว่าเมื่อลงจากเขามายามอายุสิบหกปีกลับได้รู้ว่านางกราบเข้าเป็นศิษย์สำนักเฟิงอี้แล้ว หลังจากอาจารย์ล่วงรู้เคยมาตามข้ากลับเขาด้วยตนเอง อาจารย์ลุงฉือไห่ผู้ปกครองอารามวินัยบอกกับข้าเองว่าหากข้าแต่งงานกับนาง แม้ทางเส้าหลินจะไม่สะดวกขัดขวาง แต่นับจากนั้นข้าย่อมไม่อาจร่ำเรียนวรยุทธ์ชั้นสูงของเส้าหลินอีก เขาต้องการให้ข้าไตร่ตรองให้ดี ด้วยเหตุนี้ จวบจนวันนี้ข้าจึงไม่ยินยอมแต่งงานให้เสร็จสิ้น ข้าคิดจะถอนหมั้นหลายครั้ง แต่ฝ่ายนั้นไม่ยินยอม พ่อตากล่าวว่าบุตรีมิได้ประพฤติเสื่อมเสีย หากข้าจะยกเลิกการแต่งงานอย่างไร้สาเหตุก็ต้องไปตัดสินผิดถูกกันเบื้องหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ระยะนี้บิดาข้าเร่งรัดทุกวัน หากมิใช่ข้าใช้ความตายมาขู่ กลัวว่าคงถูกบังคับให้แต่งงานไปนานแล้ว

ข้าลอบคิดในใจ ดูท่าสำนักเส้าหลินจะมีความแค้นกับสำนักเฟิงอี้ลึกล้ำนัก ข่าวขององค์ชายไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้น หากเผยอวิ๋นเอ่ยออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้ ดูท่าสำนักเส้าหลินเองก็คงไม่กริ่งเกรงการเป็นปฏิปักษ์กับสำนักเฟิงอี้ กระนั้นปากของข้ากลับเอ่ยถามว่า ข้ากลับไม่เข้าใจเสียแล้ว การแต่งงานล้วนมีบิดามารดาเป็นผู้บัญชา แม่สื่อเป็นผู้แนะนำ แม่ทัพจะแต่งงานก็เป็นเรื่องที่ถูกทำนองคลองธรรม เหตุใดอาจารย์ของท่านกลับฝืนขัดขวาง นี่ไยมิใช่ผิดต่อศีลธรรม ท่านแม่ทัพเห็นยอดวรยุทธ์ของสำนักสำคัญปานนั้นเชียวหรือ

เผยอวิ๋นก้มหน้า แม้ข้าหลงใหลในวิชายุทธ์ แต่หาใช่คนลืมไมตรีไร้คุณธรรม หากนางเป็นเพียงสตรีธรรมดา แม้ข้าถูกสำนักทวงคืนวรยุทธ์ก็ไม่ขอผิดต่อนาง ทว่าเจ็ดปีก่อนเมื่อข้ากลับฉางอันไปคารวะพ่อตาครั้งแรกแล้วได้พบหน้านาง นางเปลี่ยนไปมากยิ่งนัก ไม่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนั้นเหมือนตอนยังเด็กอีกแล้ว แม้ยามนี้รูปโฉมชื่อเสียงของนางล้วนเป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางสตรีนับหมื่น อีกทั้งยังฝึกฝนวรยุทธ์จนยอดเยี่ยม แต่ข้ากลับรู้สึกว่านางอยู่ห่างไกลจากข้ายิ่ง แม้รอยยิ้มของนางอ่อนหวาน แต่กลับยากทำให้ข้าหวั่นไหว ยิ่งไปกว่านั้น นางมักจะรวมกลุ่มกับสตรีฐานะคล้ายกันออกไปท่องเที่ยวล่าสัตว์ ไม่ก็ทำตัวกำเริบเสิบสานตามอำเภอใจในนครฉางอัน แม้ข้ามิใช่คนจำพวกที่ทนมิได้หากภรรยาโดดเด่น แต่ข้าก็ยังหวังว่านางจะเกื้อหนุนสามีสั่งสอนบุตร ปรนนิบัติบุพการี ความจริงแล้วเมื่อสองปีก่อนตอนข้ากลับจากชายแดน เดิมทีไม่คิดจะก้าวหน้าทางวรยุทธ์อีกแล้ว แต่จะแต่งงานในเร็ววันให้บิดามารดาได้ถือก้อนน้ำตาลหยอกล้อหลาน แต่เมื่อข้าได้พบนางอีกครั้ง ความรู้สึกไม่พอใจกลับไม่ลดทอนลงแม้แต่น้อย นางงดงามโดดเด่น มีความสามารถเหนือผู้ใดก็จริง ทว่าสิ่งที่ข้าต้องการคือศรีภรรยาที่ยอมช่วยเหลือเกื้อกูลกันสักคน วันหน้าเมื่อแต่งงานกัน นางจะดูแลบิดามารดาแทนข้า ส่วนข้ายังอยากกลับสู่สนามรบรับใช้แว่นแคว้นอีกครั้ง แต่นางทำไม่ได้ ทุกครั้งที่พบหน้ากัน นางไม่ถกการใหญ่ของแผ่นดินก็พูดถึงเรื่องราวในยุทธภพ ข้าไม่อยากตบแต่งภรรยาเช่นนี้จริงๆ

[1]ผานเถา ลูกท้อสายพันธุ์หนึ่ง

ตอนต่อไป