บทที่ 312 เป็นจักรพรรดิเซียนทั้งหมด จุดสูงสุดของมรรคกระบี่

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 312 เป็นจักรพรรดิเซียนทั้งหมด จุดสูงสุดของมรรคกระบี่

งานชุมนุมคุณสมบัติเซียนเป็นที่ตื่นตาตื่นใจมากจนสามารถจารึกลงในตำราประวัติศาสตร์ได้ นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่

หานเจวี๋ยไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเอิกเกริกครั้งนี้ และเขาก็ไม่สนใจด้วย

ชีวิตของเขามีแต่ฝึกบำเพ็ญ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ห้าสิบปีต่อมา

ตบะของหานเจวี๋ยพัฒนาขึ้นอย่างมั่นคงเรื่อยมา จักรพรรดิเซียนห้าวัฏอยู่ไม่ไกลอีกต่อไป

การแข่งขันภายในรอบใหม่ของสำนักซ่อนเร้นสิ้นสุดลงแล้ว หานเจวี๋ย จอมปีศาจคุกรัตติกาล พุทธะอาภรณ์ขาว และต้วนหงเฉินไม่ได้เข้าร่วมด้วย อันดับหนึ่งคือถูหลิงเอ๋อร์ เจดีย์บรรพชนจอมเวทแกร่งเกินไป ศิษย์คนอื่นไม่สามารถทำลายผนึกป้องกันของมันได้เลย

อันดับรองลงมาเป็นมู่หรงฉี่ แล้วค่อยเป็นลี่เหยา

อันดับของคนอื่นหานเจวี๋ยไม่สนใจ เขาจะจำแค่สามอันดับแรกเท่านั้น

สิ่งที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ อันดับของฉู่ซื่อเหรินกำลังสูงขึ้นอย่างเงียบๆ

ในที่สุดเจ้านี่ก็ถูกกระตุ้นมรรคจิต ไม่ได้ซังกะตายอีกต่อไป และเริ่มฝึกฝนพลังวิเศษแล้วเช่นกัน

ทุกคนต่างยินดีกับเรื่องนี้มาก เช่นนี้ก็ไม่กลัวจะถูกฉู่ซื่อเหรินทำให้วุ่นวายใจแล้ว

โจวหมิงเยวี่ยเป็นคนเดียวที่รู้สึกเศร้าใจ ต่อไปจะถูกอาจารย์กดดันจนน่าอนาถกว่าเดิม

ในวันนี้ หานเจวี๋ยหยุดฝึกบำเพ็ญ หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาเริ่มทำภารกิจประจำวัน

เขาสาปแช่งศัตรูไปพลาง ตรวจดูจดหมายไปพลาง

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญนิกายเจี๋ย] x1342

[หลงเฮ่าศิษย์ของท่านรู้แจ้งมหามรรค พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังวังเทพ] x18

[จักรพรรดิเทพกระบี่สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เต้าคงสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ทรงพลัง]

[หวงจุนเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญนิกายเจี๋ย] x47

[หานมิ่งสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากคำสาปลึกลับ]

[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านหยั่งรู้แก่นแท้ของฟ้าดิน รู้แจ้งพลังวิเศษ โชคชะตาเพิ่มพูน]

……

นิกายเจี๋ยเริ่มเคลื่อนไหวแล้วหรือ

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

เขาไม่ค่อยประทับใจนิกายเจี๋ยมากนัก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็เคยถูกศิษย์นิกายเจี๋ยโจมตีมาก่อน

‘ก็ไม่รู้ว่าหวงจุนเทียนอยู่กับนิกายเจี๋ยจะเป็นอย่างไรบ้าง’ หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

เขายังคงเหนื่อยใจกับหวงจุนเทียน หวงจุนเทียนแข็งแกร่งมากในโลกมนุษย์ แต่เมื่ออยู่ในแดนเซียนก็ไม่แน่

เซวียนฉิงจวินก็อยู่ที่นิกายเจี๋ยเช่นกัน แต่ดูเหมือนนางจะทำได้ดี ไม่ค่อยถูกโจมตี และมุ่งจิตใจฝึกบำเพ็ญเสมอ

หานเจวี๋ยอ่านจดหมายต่อไป อย่างมากที่สุดเขาก็สบถในใจสองสามคำ เนื้อหาของจดหมายไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตของเขา

เขาต้องยึดมั่นในความตั้งใจดั้งเดิม เก็บตัวฝึกบำเพ็ญ จนกระทั่งไร้ศัตรู

เขาอายุยังไม่ถึงสี่พันปีก็เป็นจักรพรรดิเซียนสี่วัฏแล้ว ความเร็วเช่นนี้เป็นอันดับหนึ่งในปวงสวรรค์อย่างแน่นอน นี่หมายความว่าเส้นทางที่เดินมาเมื่อครึ่งแรกของชีวิตถูกต้องยิ่งนัก เขาจะต้องคงเส้นคงวาต่อไป

ระหว่างทาง เขาจำไม่ได้ว่าสหายตัวตายมรรคผลสลายไปแล้วกี่คน

เส้นทางการฝึกบำเพ็ญสายนี้เดิมก็มีอุปสรรค ตายระหว่างทางประมาณแปดเก้าในสิบส่วน

สาเหตุหนึ่งที่หานเจวี๋ยชอบอ่านจดหมายคือการเตือนตัวเอง เพราะทุกครั้งที่เขาอ่านจดหมายจะเห็นว่ามีคนกำลังถูกโจมตี

หนึ่งเดือนต่อมา

หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลงและเรียกอู้เต้าเจี้ยนเข้ามา

“มรรคกระบี่เทียมฟ้าขั้นที่สามเจ้าฝึกบรรลุแล้วหรือยัง” หานเจวี๋ยถาม

อู้เต้าเจี้ยนพยักหน้า ก่อนจะส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าใช้เป็นแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าแค่เกือบ”

มรรคกระบี่เทียมฟ้าขั้นที่สาม กระบี่เบิกบุพกาล

อู้เต้าเจี้ยนสามารถผ่าเปิดภาพลวงตาโลกาสวรรค์ได้ด้วยดาบเดียว แต่ฟ้าดินนี้ไม่แข็งแรงพอ ไม่อาจทำให้ศัตรูจมดิ่งลงไปในนั้นได้

ทุกครั้งที่นางใช้กระบวนท่านี้ในแบบจำลองการทดสอบล้วนเหมือนกับเป็นของปลอม

หานเจวี๋ยตบๆ ผิวเตียงข้างกายแล้วพูดว่า “เจ้ามานี่สิ”

อู้เต้าเจี้ยนเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย

ทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันบนตั่งเตียง

หานเจวี๋ยยกมือขึ้น ยื่นนิ้วชี้แตะลงบนหน้าผากของอู้เต้าเจี้ยน เขาถ่ายทอดความดึกดำบรรพ์ที่ตนจินตนาการไปให้อู้เต้าเจี้ยน

ความรู้ประสบการณ์ของอู้เต้าเจี้ยนน้อยเกินไป จินตนาการมีจำกัด เช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีทางที่หานเจวี๋ยจะปล่อยให้นางออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์

บรรดาศิษย์ของหานเจวี๋ยต่างตั้งตารอมหาเคราะห์ครั้งต่อไป

หลังจากผ่านพ้นมหาเคราะห์นี้ไปแล้ว เมื่อมหาเคราะห์ครั้งต่อไปมาถึง สำนักซ่อนเร้นจะต้องเป็นจักรพรรดิเซียนทั้งหมด!

แน่นอนว่าหานเจวี๋ยยังไม่ได้เผยเป้าหมายนี้กับเหล่าศิษย์ของตน เลี่ยงไม่ให้กดดันพวกเขา

……

ภูเขาแม่น้ำทอดยาวเชื่อมกัน ท้องฟ้าสูงลิ่วไร้เมฆ

เงาร่างสองร่างยืนอยู่บนยอดเขา คือหลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้านั่นเอง

ฟ้าดินทั้งแปดทิศมีร่างที่น่าสะพรึงกลัวคอยปกป้องอยู่ ทอดสายตามองออกไปก็มีร่างสูงหมื่นจั้งอยู่หลายสิบร่าง ทุกตนมีกลิ่นอายน่ากลัวที่สะเทือนฟ้าดิน ดุจดั่งเปลวไฟพลิ้วไหว

หลี่เต้าคงยกมุมปาก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ศิษย์น้อง เจ้ายังยืนหยัดไหวหรือไม่”

เมื่อเทียบกับหลี่เต้าคงที่ดูเหมือนไม่เคยผ่านการต่อสู้มา เสื้อคลุมของหลี่เสวียนเอ้าขาดวิ่น ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด

หลี่เสวียนเอ้าแค่นเสียงหยัน “เจ้ายังไม่ล้มลงเลย เหตุใดข้าจะยืนหยัดไม่ไหวกันเล่า”

เขาเตรียมจะบินไปต่อสู้ตรงขอบฟ้า แต่ผลลัพธ์กลับถูกหลี่เต้าคงขวางไว้

หลี่เสวียนเอ้ามองไปทางหลี่เต้าคงอย่างสงสัย

หลี่เต้าคงยิ้มพูดว่า “เจ้าหยุดมือได้แล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้อยากเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของศิษย์พี่อย่างข้าหรอกหรือ”

หลี่เสวียนเอ้าขมวดคิ้ว สีหน้าหงุดหงิด

เขาเข้าใจ ศิษย์พี่ของเขาเริ่มเสแสร้งอีกแล้ว

ชิ้ง…

หลี่เต้าคงชักกระบี่ออกมาจากช่วงเอว แสงกระบี่พลันส่องสะท้อนทั่วฟ้าดิน

เขาถือดาบมือเดียวชี้ไปทางฟ้า สายตามองไปยังปลายดาบ รอยยิ้มของเขาค่อยๆ เย่อหยิ่งจองหองขึ้นมา

“พวกเจ้าดูให้ดี กระบี่แกร่งที่สุดของนิกายเหรินเป็นอย่างไร!

แค่กระบี่เล่มนี้ พวกเจ้าทุกคนล้วนต้องตาย!”

หลี่เต้าคงหัวเราะลั่นอย่างเหิมเกริม เสื้อคลุมปลิวสะบัด พลานุภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งภูเขาเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมา

หลี่เสวียนเอ้ามองศิษย์พี่ของตนด้วยความประหลาดใจ ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก

“อย่าบอกนะว่า… เป็นไปไม่ได้!”

หลี่เสวียนเอ้าเบิกตากว้าง จ้องมองหลี่เต้าคงไม่วางตา เหงื่อซึมบนหน้าผากประหนึ่งฝนตก

…….

ในถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นมา อู้เต้าเจี้ยนยังคงอยู่ในโลกบุพกาลที่หานเจวี๋ยสร้างขึ้น

หานเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมองไป สายตาของเขาทะลุผ่านตัวภูเขา มองเห็นท้องฟ้าในยมโลก

เมฆดำบนท้องฟ้าปั่นป่วนรุนแรงเสมือนพายุกำลังจะพัดมา

“นายท่าน แย่แล้ว แม่น้ำมรรคกระบี่กำลังโกลาหล เหมือนว่าจะพังทลายแล้ว!”

เสียงของหลิวเป้ยดังก้องในใจหานเจวี๋ย น้ำเสียงดูร้อนรน

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เขารีบถอดจิตดั้งเดิมกระโดดลงไปในแม่น้ำมรรคกระบี่ทันที

แม่น้ำมรรคกระบี่ที่เคยสงบสุขบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ร่างของผู้ฝึกกระบี่ที่สัญจรไปมาก็พร่ามัว กะพริบหายอยู่ร่ำไป

หานเจวี๋ยรู้สึกชัดเจนว่ามีแรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่งยวดปกคลุมแม่น้ำมรรคกระบี่อยู่

“มีคนใช้พลังวิเศษหรือ”

สีหน้าของหานเจวี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสัมผัสความน่ากลัวของพลังวิเศษมรรคกระบี่นี้ได้ มันแข็งแกร่งกว่าพลังวิเศษทั้งหมดที่เขาเคยพบมา

ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ หานเจวี๋ยพลันนึกถึงร่างที่ตนเห็นเดินอยู่ตรงสุดปลายแม่น้ำมรรคกระบี่ตอนที่กำลังฝึกมรรคกระบี่

หานเจวี๋ยกัดฟันพูดว่า “เจ้ากับข้าออกกจากแม่น้ำมรรคกระบี่กันก่อน”

แม่น้ำมรรคกระบี่อาจพังถล่มได้ทุกเมื่อ หากพวกเขาอยู่ที่นี่จะได้รับบาดเจ็บหนักแน่

หลิวเป้ยพยักหน้า คล้ายยกภูเขาออกจากอก

คนทั้งสองหายไปจากแม่น้ำมรรคกระบี่ทันใด

พวกเขามาถึงห้วงอากาศว่างเปล่าผืนหนึ่ง

หลิวเป้ยถามอย่างประหม่าว่า “นายท่าน เมื่อครู่คงไม่ได้มีใครร่ายพลังวิเศษมรรคกระบี่หรอกกระมัง”

หานเจวี๋ยพยักหน้าบอก “น่าจะใช่ ตบะของฝ่ายตรงข้ามสูงจนผิดธรรมดา”

เป็นใครกันแน่

ไม่นึกเลยว่าจะมีตบะเช่นนี้!

สามารถบีบให้เขาใช้พลังวิเศษได้ คู่ต่อสู้ก็ต้องแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าจักรพรรดิเซียนอ่อนแอเหลือเกิน

ตอนที่เขาปลงอนิจจังอยู่ในใจ จู่ๆ ก็มีอักษรสามบรรทัดปรากฏขึ้นตรงหน้า

………………………………………………..