บทที่ 393 กิจการเฟื่องฟู
หลังจากที่จี้จือฮวนพูดจบ ก็ให้คนย้ายเซี่ยหยางเข้าไปในกรงที่นางตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อเขา
อยู่ที่นี่ชีวิตที่เหลือของเซี่ยหยางจะเลวร้ายยิ่งกว่าตายเสียอีก มีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดตลอดไป แต่จี้จือฮวนหวังว่าเขาจะอยู่จนถึงตอนที่อาฉือได้ขึ้นครองบัลลังก์ด้วยตาตัวเอง หวังว่าเขาจะสามารถทนได้จนถึงตอนนั้น นางคาดหวังว่าจะได้เห็นท่าทางคับแค้นใจและเจ็บปวดของเขาเป็นอย่างมาก
กลอุบายลักขื่อเปลี่ยนเสา เมื่อมีเยว่พั่วหลัวและเย่จิ่งฝูร่วมมือกันทั้งภายในและภายนอก ทุกคนต่างก็คิดว่าเซี่ยหยางกำลังพักฟื้นอยู่ จึงไม่มีใครเข้ามารบกวน ก็ยิ่งไม่มีทางที่จะมีใครพบพิรุธ
เมื่อพวกเขาทนไม่ไหวต้องพบเซี่ยหยางให้ได้ จางปาเหลี่ยงที่นอนกินดีอยู่ดีอยู่บนเตียง จนอ้วนขึ้นอีกเท่าตัวก็ถูกเปลี่ยนกลับมาแล้ว ส่วนคนที่นอนอยู่บนเตียงกลับเป็นทหารเกราะเหล็กที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ส่วนเรื่องของหลูโจวก็ได้รับการแก้ไขจนสมบูรณ์แบบ เพื่อหลีกเลี่ยงทั้งภัยธรรมชาติและภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น ประกอบกับคณะทูตของถู่เจียยังอยู่ในเมืองหลวง งานปีใหม่ก็ใกล้เข้ามาเต็มที ทั้งยังประจวบเหมาะกับช่วงเวลาดี ๆ ที่ทั้งสองแคว้นจะได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน ราษฎรจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
ฮ่องเต้เซี่ยเจินมีราชโองการ ช่วงเวลานี้ไม่มีการห้ามออกจากบ้านยามวิกาลอีก
และในช่วงเวลานี้ถนนวั่งพู่ที่อยู่ถัดจากถนนจูเชว่ ก็มีการเปิดร้านค้าในเครือเดียวกันตลอดหนึ่งแถวอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ของเล่นแปลกใหม่อะไรล้วนมีขายหมด
หากจูงเพื่อนมาซื้อด้วยกันยังสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกลงอีกด้วย หากซื้อแบบชุดสมาชิกก็จะได้ส่วนลด ทั้งร้านเครื่องประทินโฉม หรือแม้แต่ร้านหม้อไฟที่อยู่ข้าง ๆ ด้วย ภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดอย่างเค่ออวิ๋นไหลมาเปิดสาขาที่เมืองหลวง ร้านไอศกรีม ร้านของหวานชานม ล้วนได้รับส่วนลดถึงสองส่วน
ตอนนี้ทั้งชายหญิงเด็กคนแก่ในเมืองหลวงที่เดินบนถนน หากใครไม่ถือชานมก็จะถือว่าล้าสมัยเป็นอย่างมาก เมื่อเจอหน้ากันประโยคแรกที่เอ่ยทักทายก็คือ “เจ้าลองหรือยัง?”
“ยังขาดอีกเท่าใด?”
“อะไรนะ ออกตัวใหม่อีกแล้วหรือ ข้าต้องรีบไปดูแล้ว”
ในร้านเบียดเสียดไปด้วยผู้คน ต่อให้จะเข้าแถวก็ไม่สามารถเบียดเข้าไปได้ ดังนั้นทางร้านจึงต้องจำกัดจำนวนคน
และไม่ว่าจะเข้าไปร้านใดก็มักจะได้ยินคำว่า “ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ/ขอรับ” โดยพร้อมเพรียง พลังและท่าทางยิ้มแย้มนั่น หากไม่ซื้อสักชิ้นสองชิ้นก็จะรู้สึกเกรงใจอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นในร้านล้วนเป็นของที่ชาวบ้านทั่วไปซื้อไหว
“ของชิ้นนี้ดี น่าเสียดายที่พ่อแม่ข้าไม่ได้ใช้ เพราะพวกเขาอยู่ไกลมาก”
จางปาเหลี่ยงจึงรีบเข้ามาใกล้ ๆ “บ้านเจ้าอยู่ที่ใดหรือ หากเป็นสมาชิกร้านเรา ส่งครั้งแรก น้ำหนักน้อยกว่ายี่สิบชั่ง ทางร้านจะส่งให้โดยไม่คิดเงิน โดยกลุ่มกองเรือจะส่งให้ถึงที่ รับรองว่าส่งถึงมือของคนที่เจ้าต้องการส่งให้อย่างแน่นอน”
“โอ๊ะ กลุ่มกองเรืออย่างนั้นหรือ พวกเจ้าพูดจริงหรือ?”
“จะโกหกได้อย่างไรกัน เจ้าดูกิจการข้าง ๆ เรานั่นสิ คิดว่าเราโกหกอย่างนั้นหรือ!”
“คะแนนที่ข้าซื้อไปครั้งก่อน ครั้งนี้จะสามารถเอามาแลกได้หรือไม่?”
“ได้เลยเจ้าค่ะ~”
บัณฑิตหลายคนมาที่ประตูร้านผินซีซีก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปข้างใน
ท่านป้าหยางที่ยุ่งจนเท้าไม่แตะพื้น กำลังคิดว่าจะไปดื่มน้ำสักอึก แต่เมื่อเห็นพวกเขาชะโงกหน้าไม่กล้าเข้ามาก็รีบเอ่ยทัก “บัณฑิตทุกท่านมาซื้อของใช่หรือไม่?”
มีบัณฑิตคนหนึ่งรวบรวมความกล้าเอ่ยถามขึ้นมา “ไม่ทราบว่าร้านนี้อาศัยแค่ใบรับรองการเข้าเรียนที่ประทับตราสำนักศึกษา ก็จะสามารถแลกรับดินสอโดยไม่คิดเงินได้ใช่หรือไม่ขอรับ?”
นับตั้งแต่ผินซีซีออกกฎเช่นนี้มา ทุกคนต่างก็พูดถึงดินสอนี้
ว่ากันว่าไม่เหมือนพู่กัน เขียนแล้วยังสามารถลบได้และใช้ซ้ำได้ สำหรับนักเรียนยากจนอย่างพวกเขาแล้ว ใช้สิ่งนี้ร่างบทความเอาไว้ จากนั้นค่อยใช้พู่กันเขียนลงบนกระดาษเสวียน สามารถช่วยประหยัดเงินได้มากจริง ๆ
“ใช่แล้ว เชิญตามข้ามาได้เลย”
เด็ก ๆ ที่มาที่นี่ก็ยิ่งเยอะเข้าไปอีก ของเล่นที่นี่พวกเขาล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน หากเป็นครอบครัวของกองทัพทหารเกราะเหล็ก หรือพ่ออยู่ในกองทัพก็จะสามารถมารับไปเปล่า ๆ ได้คนละหนึ่งชุด และยังนำกลับมาซ่อมได้ด้วย
ร้านค้าที่ทำประโยชน์ให้ผู้คนเช่นนี้ ทำให้ทุกคนเป็นกังวลว่า เถ้าแก่ทำความดี อย่าเปิดร้านแค่ครึ่งเดือนก็ปิดตัวลงเสียก่อนก็แล้วกัน แต่สุดท้ายคนเขากลับมีสินค้าจากเหนือจรดใต้มาวางขายไม่ขาดสาย ทั้งยังได้ยินว่าร้านค้าบนถนนทั้งเส้นนี้ต่างก็เป็นร้านของพวกเขาทั้งสิ้น แค่กิจการของภัตตาคารนั่นก็เพียงพอที่จะเลี้ยงชีพได้แล้ว พวกเขาจึงได้เข้าใจว่าคนเขาตั้งใจทำความดีจริง ๆ
ขณะเดียวกัน งานแต่งของจี้จือฮวนก็กำลังเตรียมการกันอย่างขะมักเขม้น พวกท่านป้าหยางรอฝึกคนในร้านเสร็จแล้ว จึงได้ตามจี้จือฮวนกลับหมู่บ้านตระกูลเฉิน
ถูลี่อยู่เที่ยวในเมืองหลวงมาครึ่งเดือนแล้ว ในฐานะพี่ใหญ่ของจี้จือฮวน จึงเสนอที่จะคุ้มกันพวกนางกลับหมู่บ้านตระกูลเฉิน ถึงเวลาจี้จือฮวนออกเรือนจากที่นี่ เขาก็จะได้แบกนางขึ้นเกี้ยวพอดี
เผยยวนก็อยากตามไปด้วย แต่ติดที่เขายังต้องอยู่ตกแต่งจวนหย่งกวานโหวในเมืองหลวง ไม่สามารถอาศัยแต่คนของกรมพิธีการได้
จึงทำได้เพียงจับมือของจี้จือฮวนเอาไว้ หางนั่นพลันลู่ลงมาแล้ว
ส่วนอู๋ซิ่วกำลังดูเรื่องสนุกอยู่ที่ประตูเมือง ทหารชั้นผู้น้อยก็นำเมล็ดแตงโมจานหนึ่งมาให้เขา “ท่านนายกอง ดูอะไรอยู่หรือขอรับ?”
อู๋ซิ่วคายเปลือกเมล็ดแตงโมออกมา “ดูเผยยวนอาลัยอาวรณ์อยู่”
ผ่านไปพักใหญ่ ทว่ากลับขยับไปเพียงสองก้าว ต้องถึงขนาดนี้เลยหรือ?! ใช่ว่าจะไม่ได้พบกันอีกเสียหน่อย มีใครไม่รู้บ้างว่าอีกสองวันก็ถึงวันแต่งงานแล้ว
ทหารชั้นผู้น้อยก็เข้ามาแทะเมล็ดแตงโมด้วย เมื่อเห็นว่าแม่ทัพเผยแม้แต่ผมหางม้าบนหัวก็ไม่สามารถสะบัดได้ ก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพเผยจะเป็นผู้ชายที่คลั่งรักเช่นนี้ด้วย ยากจะพรากจากกันจริง ๆ”
อู๋ซิ่วพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ใช่น่ะสิ เขาเป็นพวกคลั่งรัก ส่วนข้าเป็นพวกดวงซวย”
พวกคลั่งรักยืนส่งคนรักของเขา ส่วนพวกดวงซวยก็ได้แต่จ้องมองพวกเขา
ชิ ๆ ๆ การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ช่างน่าโมโหจริง ๆ
เผยยวนอยากจะกำชับนางอีกสักสองประโยค ทว่าอาชิงกลับชะโงกหน้าออกมาและเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ท่านเลิกงอแงสักทีเถอะขอรับ พวกเราต้องรีบกลับบ้านนะขอรับ ฮวาฮวากับเมี้ยวเมี้ยวที่บ้านแทบจะจำข้าไม่ได้อยู่แล้ว!”
เผยยวนคิดว่าลูกทั้งสามคนจะอาลัยอาวรณ์เขา แต่คิดไม่ถึงว่าสำหรับเจ้าเด็กนี่ ตำแหน่งของเขายังสู้ฮวาฮวาไม่ได้ด้วยซ้ำ?!
จี้จือฮวนยิ้มอย่างระอาออกมา “ข้าจะรอเจ้านะ”
เผยยวนรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าเป็นเจ้าสาว ไม่ต้องทำงานหนักหรอก ให้เจ้าเอี๋ยนเฉาทำงานไปก็พอแล้ว”
“นี่ ๆ ๆ ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าหน้าที่พิธีการของหมู่บ้านตระกูลเฉินแล้ว เจ้าบ่าว ท่านต้องเกรงใจข้าหน่อยนะ” เอี๋ยนเฉาทนฟังต่อไม่ไหว จึงเข้าไปแกะมือของพวกเขาสองคนออกจากกัน “ก่อนแต่งงานพบหน้ากันไม่ได้ เท่านี้ก็พอแล้ว ไปได้แล้ว!”
จี้จือฮวนขึ้นรถม้า “กลับไปเถอะ”
เผยยวนไหนเลยจะทำใจให้สบายได้ เมื่อเห็นขบวนขนาดใหญ่ของพวกเขาไกลออกไปแล้ว ก็หันกลับมาเห็นอู๋ซิ่วกำลังแทะเมล็ดแตงโมพลางดูเรื่องสนุกไปด้วย
ทั้งสองสบตากัน อู๋ซิ่วรีบก้มหน้าลง
“มองอะไร?”
อู๋ซิ่ว “…”
“ไม่ใช่สิ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดข้านะขอรับ ท่านอย่าพาลสิขอรับ ใกล้จะถึงวันมงคลแล้วอย่าโมโหไปเลยนะขอรับ”
เผยยวนแค่นเสียงเย็น รวบรวมเมล็ดแตงโมทั้งหมดบนโต๊ะแล้วโยนให้เซียวเย่เจ๋อที่ตามมาทางด้านหลัง “ไปล่ะ”
ทหารชั้นผู้น้อยถึงกับพูดไม่ออก “เมล็ดแตงโมที่ข้าซื้อ~”
อู๋ซิ่วจ้องหน้าเขา “เช่นนั้นเจ้าก็ไปเอาคืนจากเขาสิ!”
…
บนรถม้า
จี้จือฮวนพบว่ามีกล่องสีแดงขนาดใหญ่สองกล่องบนรถม้า เผยจี้ฉือจึงเอ่ยขึ้นมา “เป็นชุดแต่งงานที่เมื่อคืนท่านพ่อรีบทำจนเสร็จ ท่านแม่อย่ารังเกียจที่มันขี้เหร่เลยนะขอรับ”
จี้จือฮวนเวลานี้เข้าข้างเผยยวนเป็นอย่างมาก “จะรังเกียจได้อย่างไร ข้าคิดว่ามันสวยมากทีเดียว”
ก็แค่ปักไม่เป็นระเบียบเองไม่ใช่หรือ แต่นางชอบมันมาก สไตล์หลังสมัยใหม่ พวกเขาไม่เข้าใจหรอก!
เผยจี้ฉือพยักหน้าหงึก ๆ “ข้าคิดดีแล้ว ตามกฎของครอบครัวเรา ข้าต้องเริ่มเรียนการเย็บปักตั้งแต่ตอนนี้ ภายหน้าจะได้สามารถปักชุดให้ภรรยาโดยที่ไม่ต้องอายใคร”
อาชิงชะโงกหน้าออกมา “เช่นนั้นข้าก็ต้องเรียนด้วยหรือขอรับ ภรรยาทำเองไม่ได้หรือขอรับ?”
“พวกเราทำด้วยใจถึงจะสื่อถึงใจ ภรรยามีไว้เพื่อทะนุถนอม เจ้าดูท่านพ่อกับท่านแม่เป็นแบบอย่าง อาอิน เจ้าได้ยินหรือไม่ ต่อไปผู้ชายที่จะแต่งงานกับเจ้า หากเขาไม่ทำชุดแต่งงานให้เจ้า เจ้าก็ไม่ต้องแต่งกับเขา!”