บทที่ 394 เรื่องไก่บินสุนัขกระโดด*
* ไก่บินสุนัขกระโดด (鸡飞狗跳) หมายถึง ความอลหม่าน ความวุ่นวาย
เค่ออวิ๋นไหลในเมืองหลวง
พวกฮวาเซียงเซียงเหมาทั้งทะเลสาบเอาไว้แล้ว ห้องส่วนตัวริมหน้าต่างไม่เพียงมองเห็นถนนเท่านั้น อีกด้านหนึ่งยังสามารถชื่นชมทะเลสาบได้ด้วย ในเวลากลางคืนมีการจุดโคมไฟดอกบัว และยังสามารถกินอาหารบนเรือได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีคนพายเรือพาแขกพายเรือเล่นในทะเลสาบ ชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามยามค่ำคืน
เนื่องจากความยิ่งใหญ่และมีลูกเล่นมากมายเช่นนี้ ประกอบกับหนังสือนิทานหลายเล่มที่จี้จือฮวนเขียนออกมา อีกทั้งยังได้เชิญนักเล่าเรื่องที่ดีที่สุดในเมืองหลวงมาเล่า เล่าเรื่องราวความรักที่โศกเศร้าจนคนฟังน้ำตาไหลอาบแก้ม บรรยายประสบการณ์วีรบุรุษผู้เก่งกล้าได้อย่างน่าตื่นเต้นทำให้คนรู้สึกฮึกเหิม ยิ่งเมื่อถึงเวลาเล่านิทานในยามบ่าย แค่การขายน้ำชาช่วงบ่ายเพียงอย่างเดียวก็คึกคักกว่าร้านอื่น ๆ แล้ว
ถนนทั้งสายนี้มีทั้งของอร่อยและของเล่นสนุก ๆ ใครจะไปที่อื่นกัน อีกทั้งภัตตาคารที่ดูแพงเพียงนั้น ของตกแต่งก็ล้วนเป็นของดี แต่กลับมีของที่ชาวบ้านทั่วไปกินไหว ทั้งยังสามารถฟังนิทานได้ด้วย จึงเป็นที่ที่ใช้ฆ่าเวลาได้เป็นอย่างดี
ในศาลาติดทะเลสาบ แม่นางกลุ่มหนึ่งสวมผ้าคลุมหน้าและถือป้ายไม้ในมือ นั่งอยู่ในศาลาเพื่อรอเรียกหมายเลข
ในศาลามีโต๊ะเครื่องหอมและปูเสื่อเอาไว้ โดยมีสาวใช้ที่อ่านออกเขียนได้แต่งตัวงดงามกำลังชงชาอยู่ข้าง ๆ และเพื่อความเป็นส่วนตัว ม่านผ้าโปร่งจึงถูกแขวนไว้ทั้งสองด้าน ดังนั้นจึงมองเห็นแค่ว่ามีคนในศาลา แต่ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัด ๆ ว่าด้านในกำลังทำอะไรกันหรือคุยอะไรกันอยู่
เว่ยเจ๋อเซิงเก็บไม้ในการคำนวณชะตาลงอย่างสุภาพ และเผยสีหน้าบางอย่างออกมา ทันใดนั้นหญิงสาวที่เอาพัดทรงกลมปิดหน้าอยู่ก็เอ่ยอย่างประหม่าขึ้นมา “ท่านเว่ย เหตุใดท่านทำสีหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ หรือครั้งนี้คุณชายต่งก็จะสอบไม่ผ่านอีกใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ความจริงแล้วที่แม่นางน้อยเหล่านี้มาทำนายดวงชะตา ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องเนื้อคู่ แต่เว่ยเจ๋อเซิงคิดว่าหากอาจารย์รู้ว่าเขานำความสามารถมาใช้หาเงินเช่นนี้ ต้องอยากจะหักขาของเขาเป็นแน่
เว่ยเจ๋อเซิงเอ่ยอย่างจริงจัง “จากการคำนวณให้แม่นาง ผู้น้อยสามารถมองเห็นอนาคตของเขาได้ อนาคตมีจำกัด หากว่าแม่นางต้องการแต่งกับคนที่มีความรู้มาก หรือคนหนุ่มที่เข้าสำนักฮั่นหลิน บุรุษท่านนี้เกรงว่าคงจะทำให้แม่นางผิดหวังแล้ว”
ประกายความสิ้นหวังพาดผ่านดวงตาของหญิงสาว “ท่านลองคำนวณอีกครั้งจะได้หรือไม่เจ้าคะ กลอนรักที่คุณชายต่งเขียนให้ข้ายอดเยี่ยมเพียงนั้น จะไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพขุนนางได้อย่างไรกัน?”
ในเมื่อเว่ยเจ๋อเซิงเป็นคนของสำนักเทพพยากรณ์ สิ่งที่เห็นบนกระดานทำนายย่อมแตกต่างจากพวกนักต้มตุ๋นข้างถนนพวกนั้น เขาสามารถเห็นได้มากกว่าและแม่นยำกว่า
คุณชายต่งผู้นี้ความจริงแล้วเป็นพวกภายนอกงามดั่งทองคำงามดั่งหยก แต่ภายในเหมือนฝ้ายที่เปื่อยเน่า น่ารังเกียจและไร้ประโยชน์ อีกทั้งเส้นดอกท้อยุ่งเหยิง คาดว่าคงไม่ได้เขียนกลอนรักให้แม่นางตรงหน้าเพียงคนเดียวเป็นแน่
แต่จากประสบการณ์การถูกสาดน้ำใส่ครั้งก่อน เว่ยเจ๋อเซิงก็คลี่พัดออก แล้วจึงบอกผลลัพธ์ที่ตัวเองคำนวณออกมา
ด้านหนึ่งก็ลอบมองสีหน้าของหญิงสาวนางนั้นไปด้วย แล้วเอ่ยปลอบโยนขึ้น “ข้ามองดูใบหน้าของแม่นางแล้ว วาสนาของแม่นางยังมาไม่ถึง ชายในฝันของแม่นางแม้ว่าจะไม่ใช่คนมีความรู้ความสามารถมากนัก แต่ก็เป็นคนที่มีอารมณ์ขัน กตัญญูต่อพ่อแม่ ปฏิบัติต่อภรรยาและลูกอย่างดียิ่ง ดีกว่าคุณชายต่งร้อยเท่า หลังจากนี้ครึ่งปีพ่อแม่ของท่านจะพาเขากลับมาที่บ้านด้วย ถึงตอนนั้นท่านแค่ใส่ใจเขาให้มาก ก็จะได้แต่งงานกับคู่ครองที่ดี”
แม่นางผู้นั้นดวงตาเป็นประกาย “จริงหรือเจ้าคะ?”
“ข้าไม่เคยพูดโกหกขอรับ”
“แต่ถ้าคุณชายต่งเป็นอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ เขาเกี้ยวผู้หญิงไปทั่ว มิเท่ากับหลอกเอาเงินข้าไปหนึ่งร้อยตำลึงด้วยหรอกหรือ!? ข้าต้องหาทางเอาคืนให้ได้!” สีหน้าของแม่นางผู้นั้นบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนทันทีทันใด แต่อย่างไรเสียก็ดีกว่าเอาน้ำชามาสาดเขาก็แล้วกัน
ตอนนี้เขาต้องพึ่งพาคนอื่นเรื่องที่อยู่ที่กิน และเขาก็ไม่ได้มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนมากมายนักบราวนี่ออนไลน์
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เผยเสี่ยวเตาซึ่งกวัดแกว่งดาบเล่มใหญ่อยู่ข้างศาลาก็ตวัดดาบทันที คมดาบส่องแสงแสบตาภายใต้แสงแดด ทำให้หญิงสาวถึงกับสะอึกด้วยความตกใจ
“แม่นาง เพียงแค่ห้าตำลึงข้าสามารถฆ่าเขาทั้งครอบครัวได้เลย สนใจหรือไม่?”
“ห้าตำลึง…ถูกมากจริง ๆ แต่คงไม่ถึงกับต้องฆ่าคนทั้งครอบครัวหรอกกระมัง เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าข้าจ้างวานฆ่าหรอกหรือ และยังจะถูกฟ้องร้องด้วย”
นางเอ่ยจบ ก็มีชายหญิงคู่หนึ่งห้อยตัวลงมาจากขื่อ
เยว่พั่วหลัวสะบัดขลุ่ยกู่ “ข้าสามารถฆ่าคนโดยไม่มีใครรู้ได้ สี่ตำลึงรวมทวงหนี้”
ไป๋จิ่นสะบัดผม ก่อนจะส่งสายตาให้สตรีผู้นั้น “ไม่มีการหลอกลวง จ่ายน้อยได้มาก เพียงสองตำลึงเท่านั้น!”
เผยเสี่ยวเตากับเยว่พั่วหลัวมองหน้าเขาพร้อม ๆ กัน ในสายตามีเพียงคำสองคำเท่านั้น ต่ำช้า!
แทรกแซงราคาตลาด! ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปยังจะทำการค้าต่อได้อย่างไรกัน!
จะหาเงินค่าอาหารได้อย่างไร!?
“แม่ทัพเผยกลับมาแล้ว” มีคนตะโกนขึ้นมา ทั้งสามคนที่เมื่อครู่ยังก่อความวุ่นวายอยู่ในศาลาก็หายตัวไปทันที
สตรีผู้นั้นกะพริบตาปริบ ๆ มองดูเว่ยเจ๋อเซิงแล้วเอ่ยขึ้นมา “รวมกันแล้วข้าให้ยี่สิบตำลึง แม้แต่ไก่ที่บ้านของเขาก็อย่าให้เหลือ และต้องเอาเงินของข้าคืนมาด้วย ห้ามให้คนรู้ว่าข้าเป็นคนสั่งได้หรือไม่?”
เว่ยเจ๋อเซิงสูดลมหายใจเย็นเยียบ เขาไม่ได้ออกไปดูโลกภายนอกนาน ที่แท้สตรีบนโลกใบนี้ เบื้องหลังรอยยิ้มงดงามล้วนซ่อนอันตรายถึงชีวิตเอาไว้
“ได้ขอรับ”
…
เผยยวนที่เพิ่งกลับมาก็ดื่มน้ำไปหนึ่งอึก คนกลุ่มหนึ่งก็เบียดกันเข้ามา “ส่งกลับไปแล้วหรือ?”
“นางพูดอะไรหรือไม่?”
“พวกเราจะไปรับได้เมื่อใด?”
“เจ้าให้นางพาทหารเกราะเหล็กไปแล้วจริงหรือ? เช่นนั้นตอนเจ้าไปรับเจ้าสาวจะพาใครไปด้วยกัน?”
เผยยวนเลิกคิ้ว “ในวังมีขบวนรับเจ้าสาวอยู่แล้ว”
อย่างไรเสียตระกูลเผยก็เป็นครอบครัวของฮวนฮวน การให้ทหารของกองทัพทหารเกราะเหล็กทั้งหมดส่งนางออกเรือนจึงจะถูกต้อง
“เช่นนั้นสองวันนี้พวกเราจะทำอะไร ข้าเห็นข้างนอกข้างในตกแต่งเกือบเสร็จแล้ว”
เผยยวนคิดไปคิดมา สุดท้ายก็มองไปที่เยว่พั่วหลัว “ให้แม่นางเยว่ไปตรวจสอบอีกทีก็แล้วกัน”
เยว่พั่วหลัวยืดอกขึ้น ดูสิ ในที่สุดก็มีคนชื่นชมนางแล้ว!
นางไม่พูดพร่ำทำเพลงผลักไป๋จิ่นออกทันที จากนั้นก็เดินออกจากเค่ออวิ๋นไหลอย่างได้ใจ ก่อนจะเดินไปทางจวนหย่งกวานโหว
ไม่รู้เพราะเหตุใดแม้ทุกคนจะมองส่งนางจากไป แต่ในใจกับจุดเทียนไว้อาลัยให้คนของกรมพิธีการเหล่านั้นแล้ว
“ข้าก็ต้องไปดูสินสอดว่าเตรียมไปถึงไหนแล้ว”
เนื่องจากเป็นสถานการณ์พิเศษ สินสอดจึงถูกเก็บไว้ในจวน ถึงเวลาของทั้งหมดก็จะมอบให้จี้จือฮวนดูแล
ทุกคนเมื่อคิดว่ามีเยว่พั่วหลัวไปตรวจสอบแล้ว คาดว่าทุกอย่างคงจะเรียบร้อย จึงได้แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองต่อ
ทำงานกันจนถึงยามโฉ่ว**เมื่อเตรียมที่จะปิดประตู ก็พบว่าตรงปลายถนนมืด ๆ มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาทางพวกเขาเหมือนกับศพเดินได้
** ยามโฉ่ว (丑时) หมายถึง ช่วงเวลา 01.00 – 03.00น.
เสี่ยวเอ้อที่เป็นคนออกมาปิดประตูตกใจอย่างแรง ก่อนจะขยี้ตาแรง ๆ “แม่จ๋า คงไม่ได้มีผีตอนดึก ๆ ดื่น ๆ หรอกกระมัง”
ฮวาเซียงเซียงกับเซียวเย่เจ๋อยังไม่กลับ ทั้งสองคนจึงชะโงกหน้าออกไปดูพร้อมกับหาวออกมา หลังจากมองดูชัด ๆ แล้วเซียวเย่เจ๋อก็เอ่ยขึ้น “ใช่ผีที่ใดกัน เป็นคนของกรมพิธีการไม่ใช่หรือไร?”
จากนั้นพวกเขาก็พบว่า เวลานี้ชุดเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่กรมพิธีการแต่ละคนมีสภาพยุ่งเหยิง พลางเดินเข้ามาด้วยสภาพจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทางด้านหลังยังมีเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มหนึ่งเดินตามมาด้วย “ยังมีของกินอยู่หรือไม่ เอาอะไรมาก็ได้”
ฮวาเซียงเซียงมองดูพวกเขา แล้วจึงดึงแขนเสื้อของเซียวเย่เจ๋อ “เหตุใดพวกเขาถึงดูราวกับถูกคนย่ำยีมาอย่างไรอย่างนั้น?”
นางไม่พูดก็แล้วไป ทว่าเมื่อนางพูดออกมาน้ำตาของคนเหล่านั้นก็ไหลลงมาทันที “ถูกคนย่ำยียังจะดีซะกว่า ในสมองของข้าเวลานี้เต็มไปด้วยความสมมาตรหมดแล้ว!!!”
“งานนี้ข้าทำต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว แม้แต่รอยยับของดอกไม้ผ้าสีแดงก็ยังต้องเหมือนกัน ทั้งชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยมัดดอกไม้ผ้าที่เหมือนกันสองดอกได้มาก่อน”
“พวกเจ้ายังไม่เท่าไร ไม้ปัดขนไก่บนชั้นวางของ มีขนไก่สองสามเส้นที่ดูไม่เหมือนกัน นางก็ใช้ให้ข้าไปที่ครัวเพื่อจับไก่มาถอนขนอีกด้วย ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ”