ตอนที่ 360 อาคาล

ตอนที่ 360 อาคาล

สวี่หลิงอวิ๋นได้ยินชัดเจน และเธอก็รู้สึกอึ้งกับคำแก้ตัวพกลมผสมกับคำโกหกของไอ้พี่รองสารเลวนี่เหลือเกิน

เยี่ยมไปเลย! นายเป็นคนจากยุคสมัยใหม่แท้ ๆ แต่ทำไมถึงได้มีความคิดล้าหลังดักดานกว่าผู้คนในชาติที่แล้วของเธอเสียอีก?!

ถึงเธอจะบอกว่าไม่ได้ถูกขืนใจ หรือแม้ว่าเธอจะโดนกระทำ แต่เธอก็เป็นองค์หญิงผู้สง่างามที่ไม่หวั่นเกรงอะไรถ้าจะมีนายสนมสักแปดถึงสิบคน

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังต้องแต่งงานเข้ากับครอบครัวของใครสักคนอย่างนั้นเหรอ?!

สวี่หลิงอวิ๋นยังไม่ทันได้ตอบโต้ ทว่าสวี่เจี้ยนอวิ๋นกลับไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป!

หมัดหนักของเขาชกเข้าที่น้องชายรองจนล้มลงกับพื้น แล้วพูดก่นด่าขณะทุบตี “แกยังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า!? แกวางแผนทำร้ายน้องเล็กใช่ไหม? ทำไมถึงขโมยแผนผังป้องกันเมืองไป? แกคิดจะขายชาติอย่างนั้นเหรอ?!”

สวี่รุ่ยอวิ๋นตกตะลึงจากการถูกทุบตี เขาสวนกลับด้วยความโกรธจัด ทว่าตัวเองก็เอาชนะสวี่เจี้ยนอวิ๋นทั้งที่ร่างกายตัวเองอ่อนแออยู่ไม่ได้

จากนั้นก็ถูกจับกุมอีกครั้ง

“แกพูดบ้าอะไร!? ฉันขโมยแผนผังป้องกันเมืองไปตอนไหน?!” ดวงตาของสวี่รุ่ยอวิ๋นดูเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติกลับคืนมาหลังจากถูกสวี่เจี้ยนอวิ๋นทุบตี และร้องคำราม “ฉันจะขโมยแผนผังป้องกันเมืองไปทำไม?!”

“ทำไมอย่างนั้นเหรอ?!” สวี่เจี้ยนอวิ๋นพูดอย่างขมขื่น “ถ้าไม่ใช่เพราะแก ทหารผู้บริสุทธิ์ของจักรวรรดิชิงเหย้าจะถูกฆ่าล้มตายกันเกลื่อนแบบนี้หรืออย่างไร?! แกรู้บ้างไหมว่าแกทำให้เหล่าทหารกล้าอีกหลายคนต้องแยกจากคนที่รักของพวกเขาอย่างไม่มีวันหวนกลับ! การกระทำของแกไม่ต่างอะไรกับการขายชาติเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วตอนนี้ก็ยังจะมาโกหกหน้าด้าน ๆ อีก!”

สวี่รุ่ยอวิ๋นใช้มือกุมศีรษะของตัวเอง พยายามนึกทุกอย่างด้วยความสิ้นหวัง ทว่าเขากลับจำอะไรไม่ได้เลย!

และดูเหมือนว่าเขาจะลืมสิ่งสำคัญกว่านั้นไป!? มันคืออะไร?!

สวี่เทียนอวี๋โบกมือ “ช่างเถอะ ปล่อยเขาไปซะ!”

เขามองดูท่าทางเสียสติของลูกชายคนที่สองด้วยความรู้สึกใจสลาย

เมื่อก่อนลูกชายคนนี้ปากหวานเป็นคนตลกขบขัน และเป็นเด็กที่มีน้ำใจที่สุด ทำไมเขาถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้?!

สวี่รุ่ยอวิ๋นถูกทหารมาพาตัวออกไป ก่อนจะร้องตะโกนว่า “เสด็จพ่อ! พวกเขาจะฆ่าลูก! ช่วยลูกด้วย!”

จักรพรรดินีมองดูลูกชายถูกพาตัวออกมาโดยไร้ซึ่งคำพูด เธอลุกขึ้นยืนในเวลาต่อมา “หม่อมฉันขอตัวไปพักผ่อนที่ห้องก่อนนะเพคะ!”

จักรพรรดิพยักหน้าและหันไปมองสวี่หลิงอวิ๋น “พี่รองของลูกทำผิดมหันต์ เราไม่ใช่ราชวงศ์ที่ไร้ความรับผิดชอบ”

“ถ้าการเจรจาสิ้นสุดลงแล้วจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ยังคุกคามอยู่อีกก็ไม่ต้องกลัวไป ขอแค่เจรจากันก่อน อย่างน้อยเราก็ต้องได้ค่าตอบแทนไม่มากก็น้อย!”

สวี่หลิงอวิ๋นพยักหน้า เธอไม่ต้องการเจรจาหรืออะไรก็แล้วแต่ ควรจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญก็แล้วกัน!

เธอยังคงจำฉากการเจรจาสุดคลาสสิกในละครเรื่องหาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักรได้ดี

“…ถ้าพวกเขาแน่จริงก็ส่งกองทัพออกมาสู้กันสิ!”

อย่างไรเสีย พืชพลังงานก็อยู่ที่นี่แล้ว ยอดฝีมือระดับ 10 ดาวทั้งสามจะยืนอยู่ที่โต๊ะเจรจาเพื่อจับตาดูอีกฝ่าย!

“ลูกรัก พ่อคิดว่าลูกควรจะเข้าไปเจรจาจะดีกว่า!”

จักรพรรดิจ้องมองสวี่หลิงอวิ๋น เธอไม่ต้องการขึ้นครองบัลลังก์อย่างนั้นเหรอ? ฮึ่ม! คิดไว้สวยงามเชียว! แล้วคิดว่าประชาชนจะเห็นด้วยไหมล่ะ?!

สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว “เสด็จพ่อ ดูลูกสิเพคะ วิ่งไปเรื่อยเปื่อยอยู่ข้างนอกมานานแล้ว ให้ลูกพักสักหน่อยไม่ได้เหรอเพคะ? เสด็จพ่อดูสิ น้ำหนักลูกลดไปตั้งเยอะ!”

“ลด? ลดลงตรงไหน!? พ่อเห็นมีแต่อ้วนเอา ๆ! รีบออกไปเจรจาแทนพ่อซะ! พ่อคัดเลือกคนไปช่วยเจรจาแล้ว ลูกแค่ไปก็พอ! อย่าทำให้พ่อผิดหวังล่ะ!”

จักรพรรดิมองดูสวี่หลิงอวิ๋นด้วยสายตาดุดัน “หลังจากเจรจาเสร็จแล้ว ลูกจะไปเที่ยวเล่นกี่วันก็ตามใจ!”

“ไม่อย่างอย่างนั้น พรุ่งนี้ลูกก็มาจัดการงานการปกครองแทนพ่อ! ฮึ่ม!”

สวี่เทียนอวี๋รีบสะบัดตัวออกไป โดยไม่ปล่อยให้เธอได้ตอบโต้

“ก็ได้!” สวี่หลิงอวิ๋นมองดูผู้เป็นพ่อที่หันหลังกลับไปอย่างเด็ดขาด ปิดปากแน่นและคิดว่าเขาคงอารมณ์ไม่ดีนัก ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงหยักหน้า

ช่างเถอะ ไปเจรจากันก่อนแล้วกัน!

ณ จักรวรรดิปีกพิสุทธิ์

งานบูรณะบ้านเมืองยังคงดำเนินต่อไป

โชคดีที่หุ่นยนต์มีพละกำลังมาก หลังจากผ่านไปเพียงแค่ห้าวัน ซากปรักหักพังทั้งหมดก็ได้รับการซ่อมแซมจนเกือบเหมือนเดิม

นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นเต็นท์สำเร็จรูปได้ทุกหนทุกแห่ง เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปอยู่อาศัยอย่างสงบสุข

อีกทั้งยังมีสารอาหารที่ได้รับบริจาคจากจักรวรรดิอื่น ๆ รวมถึงช่วยเหลือผู้คนที่รอดชีวิตจากหายนะของเมืองหลวง

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้คือการดำเนินการสร้างใหม่ และปัญหาเรื่องอาหาร

อาหารที่ได้รับจัดสรรจากดาวเคราะห์ดวงอื่นมีอยู่อย่างจำกัด โชคดีที่ผู้คนที่นี่ค่อนข้างร่ำรวย การมีทรัพย์สินอยู่บนดาวเคราะห์นอกระบบจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา

ทว่าความยากลำบากกลับเป็นคำสัญญาที่ให้ไว้กับจักรวรรดิชิงเหย้า ว่าจะมอบดาวเคราะห์จำนวนยี่สิบเปอร์เซ็นต์เป็นค่าตอบแทน คำสัญญาดังกล่าวจึงเป็นที่สนใจสำหรับผู้มีอำนาจทั้งหลาย

บุคคลสำคัญคนไหนบ้างที่มีดาวเคราะห์ไว้ในครอบครองเพียงนิดเดียว? หากคำสั่งคือดาวเคราะห์จำนวนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ พวกเขาก็ต้องตัดดาวเคราะห์ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ออกไป

แล้วพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร?!

ใบหน้าของผู้สูงส่งเรียบนิ่ง ไม่มีใครเต็มใจจะพูดอะไรออกไป

องค์หญิงเหมยหมี่ขี้เกียจจะสนใจคนเหล่านี้ และพูดออกไปตามตรง “ถ้าพวกท่านไม่เต็มใจ เราก็จะไม่บังคับ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นทีหลัง อย่ามากล่าวโทษว่าเราไม่เตือนก็แล้วกัน”

“องค์หญิงเหมยหมี่หมายความว่าอย่างไร? นี่คือสิ่งที่ราชวงศ์ของท่านก่อขึ้น แต่กลับปล่อยให้พวกกระหม่อมมาชดใช้ให้ แบบนี้ดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?!”

“ไม่ดีเหรอ? ไม่ดีก็ไม่ดี” องค์หญิงเหมยหมี่กลอกตา

ตลอดช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเธอนอนไม่ค่อยหลับ นอกจากเรื่องการก่อสร้างใหม่แล้ว ยังมีแต่ชนชั้นผู้อาวุโสพวกนี้ที่ค่อยมายุ่งวุ่นวายกับเธอทุกวัน

บางคนหวังว่าพวกเขาจะไม่ต้องเสียสละดาวเคราะห์ของตัวเองเพื่อไปชดเชยให้กับจักรวรรดิชิงเหย้า บางคนเข้ามาข่มขู่ว่าจะทำอย่างไรหากผลประโยชน์ของพวกเขาถูกแตะต้อง…

และบางคนถึงกับเข้ามาเยาะเย้ยความอ่อนแอของราชวงศ์ ตระกูลทหารผู้สูงส่งที่ถูกกดขี่ข่มเหงก่อนหน้านี้ลุกขึ้นยืนหยัดและเข้ามากระทืบราชวงศ์ซ้ำในที่สุด!

จอลพลคาซีมองดูกลุ่มคนทั้งหลายที่กำลังเล่นแง่กับองค์หญิงเหมยหมี่ราวกับตัวตลก

พวกเขาคงหลงลืมไปหนึ่งสิ่งว่าต่อให้ราชวงศ์จะสุดทนแค่ไหน แต่พืชพลังงานก็ยังอยู่ในมือของราชวงศ์

พืชพลังงานที่กองทัพทหารทั้งหลายกำลังพึ่งพาอยู่เป็นการจัดทำขึ้นของราชวงศ์ทั้งนั้น

พวกเขาคิดว่าจะใช้อำนาจของตัวเองข่มเหงให้องค์หญิงเหมยหมี่ให้คลายทุกอย่างในกำมือออกมาใช่ไหม?

คิดน้อยกันเกินไปแล้ว!

อาคาลเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโอคาซี

องค์ชายอาคาลไม่ได้รับความนิยมในจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์มากเท่ากับน้องสาวที่ชาญฉลาดและมีความสามารถ เนื่องจากภาพลักษณ์ของอาคาลดูอ่อนแอเกินไป

เขามีบุคลิกที่อ่อนโยนและซื่อสัตย์ ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่างาม

บุคคลเช่นนี้เหมาะที่จะเป็นอาจารย์สอนวรรณคดีมากกว่าที่จะอยู่ต่อสู้ที่นี่

“ไม่เจอกันนะเลยนะองค์ชายอาคาล” โอคาซีขอให้อีกฝ่ายนั่งลง “ไม่คิดว่าท่านจะมาอยู่ในค่ายทหาร”

“แต่พวกเจ้าก็ยังรู้ทันกัน” อาคาลยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ไม่เต็มใจนัก

เขาเป็นคนรักสงบ ทัศนคติของเขาแตกต่างกับทัศนคติของผู้เป็นพ่ออย่างสิ้นเชิง ถึงเขาจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่ก็ไม่ได้ถูกรังเกียจ

“เราได้ยินมาว่าเสด็จพ่อสวรรคตแล้วเหรอ?” อาคาลมองดูโอคาซี “เราอยากจะถามว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม?”

“จริง” โอคาซีมองตอบเขา “อีกสองวันท่านจะได้เจอกับน้องสาว”

อาคาลพยักหน้าหลังจากได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ขอบใจ”

เขารู้ดีว่าตัวเองจะได้เผชิญหน้ากับน้องสาวในสถานะไหน อาจจะเป็นในฐานะเชลย หรือไม่ก็ตัวเลือกในการเจรจา

ไม่ว่าจะสถานะไหน เขาก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง