วันที่เดินทางไปร่วมงาน เกล็ดหิมะตกลงมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง คล้ายว่าเป็นหิมะและไม่ใช่หิมะ มันละลายเป็นน้ำเย็นทันทีที่ร่วงถึงพื้น
หมู่เมฆบนท้องนภาซ้อนทับเป็นชั้นๆ
เฝิงเหล่าฮูหยินตื่นนอนตั้งแต่เช้า ส่งอาฝูไปยังเรือนไห่ถังเพื่อดูว่าเจียงซื่อเตรียมตัวเป็นอย่างไร
หลังจากรอไปประมาณสองชั่วยาม เจียงซื่อก็เดินตามอาฝูเข้ามา
เฝิงเหล่าฮูหยินมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ตรวจดูที่ผมก่อนแล้วจึงดูที่เสื้อผ้า สุดท้ายแม้แต่ลวดลายของรองเท้าก็ยังไม่เว้น จากนั้นนางถึงยิ้มให้และเอ่ยถาม “เมื่อคืนนอนหลับสบายหรือไม่”
เจียงซื่อพยักหน้าเบาๆ “สบายเจ้าค่ะ”
“เวลาไปถึงพระราชวัง เจ้าต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด สิ่งใดไม่ควรมองก็อย่ามอง ไม่ควรพูดก็อย่าพูด คนอื่นทำอย่างไรเจ้าก็ทำอย่างนั้น มีหนึ่งสิ่งที่เจ้าต้องจำให้ได้ ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด…” เฝิงเหล่าฮูหยินกำชับ
หลังจากที่ผ่านพ้นความตื่นเต้นจากการได้รับหนังสือเชิญแล้ว ก็เหลือเพียงความกังวล
เฝิงเหล่าฮูหยินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหลานสาวของนางคนนี้ มีนิสัยไม่ดีพอควร ถ้าเกิดนางไปถกเถียงกับพระสนมเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ต้องแย่แน่ๆ
“เข้าใจหรือยัง”
เจียงซื่อหย่อนตาพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินกลั้นลมหายใจไว้ในลำคอ
นางพูดจนปากแทบแห้ง เจ้าหนูจะตอบมากกว่านี้อีกสักคำไม่ได้เชียวรึ!
“เอาล่ะ ไปก่อนเวลาสักหน่อยเถอะ อย่าลืมพกเตาอุ่นมือไปด้วย”
“หลานลาเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อย่อตัวน้อมทักทายให้กับเฝิงเหล่าฮูหยินเสร็จก็หันหลังเดินออกไป ตอนเดินถึงประตูเรือนฉือซิน นางได้พบกับอาหญิงโต้ว
กับอาหญิงโต้ว เจียงซื่อเพียงยิ้มให้และกล่าวทักทายออกไปก่อน
อาหญิงโต้วทักทายตอบเสร็จก็เดินเข้าไปน้อมทักทายเฝิงเหล่าฮูหยินด้านใน
ต่อหน้าอาหญิงโต้ว เฝิงเหล่าฮูหยินจะทำตัวตามสบายกว่า นางเอนกายพิงหมอนและเอ่ยถาม “เจอหนูสี่หรือ”
“บังเอิญเจอตรงด้านหน้าประตูเจ้าค่ะ”
“อาหว่าน เจ้าคิดว่าหนูสี่เป็นอย่างไร” เฝิงเหล่าฮูหยินถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
อาหญิงโต้วมีนามว่าซูหว่าน
“หนูสี่มีความโดดเด่นในทุกด้าน เป็นคนที่ยากจะพบได้เจ้าค่ะ” โต้วซูหว่านพูดเน้นทุกคำ และยังนึกถึงคำเตือนของพี่ชาย
เฝิงเหล่าฮูหยินยิ้มอย่างมีความหมาย “เจ้าเป็นคนที่ข้าวางใจ หนูสี่ยังติดนิสัยเด็ก ข้าหวังเพียงแต่ว่าต่อจากนี้ไป พวกเจ้าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมเกลียว”
โต้วซูหว่านเกิดตื่นเต้นขึ้นมา
ท่านป้าหมายความอย่างไร
แม้ว่าโต้วซูหว่านเป็นพูดน้อย แต่นางก็เข้าใจทุกอย่าง เมื่อนึกถึงหลายๆ ครั้งที่ตนกำลังพูดคุยอยู่กับเฝิงเหล่าฮูหยิน เหล่าฮูหยินพลันเรียกให้คนไปเชิญเจียงอันเฉิงเข้ามา นางเข้าใจเหล่าฮูหยินทันทีว่าคิดสิ่งใดอยู่
ท่านป้าคงมิได้คิดจะให้นางกับพี่ใหญ่…
ความคิดนี้ ทำให้หัวใจของโต้วซูหว่านก่อตัวเป็นคลื่นลูกใหญ่
พี่ใหญ่เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่นางไม่ต้องการเป็นภรรยาคนที่สองของใคร ที่สำคัญยิ่งกว่า นางไม่เคยเห็นความพิเศษใดๆ จากสายตาของพี่ใหญ่เลย
เวลาพี่ใหญ่มองนาง หรือแม้กระทั่งมองหญิงอื่น มันไม่ต่างจากยามที่เขาผู้ชายเลย
แม้ว่านางไม่มีแม่แล้ว วงศ์ตระกูลก็ล่มสลายแล้ว แต่นางก็ไม่ต้องการให้สามีที่จะจับมือเคียงข้างไปจนแก่เฒ่า ใช้แต่สายตาเช่นนั้นมองตนเอง
ชีวิตทั้งชีวิตเช่นนี้ ถึงจะร่ำรวยมหาศาลแล้วจะมีความน่าสนใจอย่างไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โต้วซูหว่านยิ้มพร้อมกับกล่าว “ข้าเป็นผู้อาวุโสของหนูสี่ ต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมเกลียวแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้น ข้าจะมีความอาวุโสอย่างไรอีกล่ะเจ้าคะ”
นางไม่กล้าปฏิเสธชัดเจนมากขนาดนั้น หากท่านป้าพูดตรงๆ นางจะไม่เหลือทางให้ถอยเลย
โต้วซูหว่านเข้าใจดี ไม่ว่านางยินยอมหรือไม่ ชะตาชีวิตของนางตอนนี้ถูกท่านป้ากุมไว้ มีเรื่องราวมากมายที่นางไม่สามารถตัดสินใจเองได้
เวลานี้ นางพลันอิจฉาเจียงซื่อขึ้นมาทันใด
ตอนมาถึงจวนปั๋ว นางได้ยินเรื่องราวมากมายของคุณหนูสี่ ยังไม่พูดถึงเรื่องอื่น สิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดคือการที่คุณหนูสี่มีพ่อและพี่ชายที่รักนางมากๆ
ไม่เหมือนกับนาง พี่ชายพึ่งพาไม่ได้ไม่ว่า ท่านป้าส่งคนไปรับถึงที่จินซา แต่ตอนนี้กลับย้ายออกไปอยู่เอง ส่วนท่านพ่อที่เพิ่งแต่งงานกับภรรยาใหม่ เขาแทบอยากส่งนางไปเมืองหลวงทันทีอย่างรอไม่ได้
โต้วซูหว่านรู้ดี ชีวิตนี้นางไม่มีวันได้กลับไปที่เรือนของนางจินซาอีก
และในเวลานี้ เจียงซื่อที่โต้วซูหว่านอิจฉากำลังนั่งรถม้าเดินทางไปยังพระราชวัง
ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศยังคงหนาวเหน็บ เสียง กึกกัก ดังออกมายามล้อรถกระทบพื้น
อาหมานเปิดม่านออกแล้วมองออกไป
“รถม้าเต็มไปหมดเลยเจ้าค่ะคุณหนู”
“มีคนมาร่วมงานที่วังมากมาย รถม้าย่อมเยอะอยู่แล้ว”
เมื่อเห็นเจียงซื่อหลับตาพิงกำแพงรถม้านิ่ง อาหมานอดไม่ได้จึงเอ่ยถาม “คุณหนูไม่สงสัยว่าพระราชวังเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ ข้าได้ยินว่าแม้แต่พื้นก็ยังปูด้วยทองเลยเจ้าค่ะ เสียดายที่บ่าวเข้าไปอุทยานดอกไม่ได้ ต้องรอที่ตำหนักข้างฝ่ายใน…”
เจียงซื่อฟังสาวรับใช้บ่นพึมพำข้างหูก็พลอยอารมณ์ดีไปด้วย
“น้องสี่….” เสียงเรียกที่มาพร้อมด้วยความตื่นเต้นของชายหนุ่มดังขึ้น
อาหมานสะกิดเจียงซื่อหนึ่งที “คุณชายรองเจ้าค่ะคุณหนู”
เจียงซื่อลืมตาแล้วมองออกไป
ไม่รู้ว่าเจียงจั้นวิ่งมาจากทางไหน เวลาสวมใส่ชุดองครักษณ์จินอู๋ มันทำให้เขาดูหล่อมากเป็นพิเศษ
“ตื่นเต้นหรือไม่น้องสี่” เจียงจั้นเขาถูมือที่หนาวเหน็บจนแดงพร้อมกับยิ้มให้และเอ่ยถาม
เจียงซื่อวางเตาอุ่นมือลงที่มือเจียงจั้นพร้อมกับยิ้มและตอบกลับ “ไม่ตื่นเต้นเจ้าค่ะ พี่รองรีบกลับไปเข้าเวรเถอะ เดี๋ยวคนเห็นเข้าไม่ดี”
เจียงซื่อมองเตาอุ่นมือในมือแล้วทำหน้าประหลาด “ข้าเป็นบุรุษ ถ้าคนเห็นข้าถือเจ้านี่ ต้องหัวเราะฟันร่วงแน่”
เขายื่นเตาอุ่นมือกลับไป จากนั้นหยิบกระดาษหนึ่งห่อออกมายื่นให้เจียงซื่อ “ขนมดอกกุหลาบ ข้าได้ยินว่ากินของหวานแล้วจะโชคดี”
เจียงซื่อรับขนมไว้แล้วยิ้มให้เจียงจั้นทันที “ขอบคุณพี่รองเจ้าค่ะ ข้าต้องโชคดีแน่ๆ”
นางปล่อยม่านกั้นลง แล้วรถม้าก็ขับต่อไป
เจียงจั้นยืดคอชะเง้อมองตาม
“พี่เจียง นั่นน้องสาวหรือพี่สาวท่านหรือ” มือข้างหนึ่งวางบนบ่าเจียงจั้น
เจียงจั้นมองเพื่อนร่วมงานที่เข้าเวรด้วยกันหนึ่งที “น้องสาวข้า”
องครักษ์หนุ่มหัวเราะ ฮิๆ “ไว้ข้าให้ท่านพ่อกับท่านแม่ไปสู่ขอที่จวนได้หรือไม่”
“ไสหัวไป!” เจียงจั้นจิกตาใส่เพื่อนร่วมงานหนึ่งที
“ทำไมเล่า หรือว่าน้องสาวท่านจะได้เป็นพระชายาเอกหรืออย่างไร” องครักษ์หนุ่มเบะปาก
แม้จะได้เจอเพียงแวบหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าเขายังไม่เคยเห็นหญิงงามเท่านี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม เขายังไม่คิดเรื่องนั้นหรอก จวนตงผิงปั๋วก็ใช่ว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่น่าปรองดองด้วยนัก
เจียงจั้นหน้าขรึมเดินกลับไป “เอาเป็นว่า อย่าได้คิดอะไรกับน้องข้าเป็นอันขาด!”
จนถึงตอนนี้ เขายิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าพวกนี้สู้พี่อวี๋ชีไม่ได้ เขาเริ่มคาดหวังอยากให้น้องสี่กับพี่อวี๋ชีได้ครองคู่กัน
อาหมานต้องรอด้านนอกประตูฝ่ายใน ส่วนเจียงซื่อถูกนางในพาเข้าไปยังสวนดอกเหมย
นางไม่ได้มาเร็วไป พอมาถึงสวนดอกเหมย มีสตรีชั้นสูงอยู่ที่นั่นแล้วมากมาย
การปรากฏตัวขึ้นของเจียงซื่อทำให้เหล่าสตรีประหลาดใจไม่น้อย จากนั้นก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น
“คุณหนูสวมชุดคลุมสีเขียวอ่อนที่เพิ่งมาถึงมาจากตระกูลไหน เหตุใดจึงไม่เคยพบหน้ามาก่อน” รูปลักษณ์ของเจียงซื่อทำให้สตรีชั้นสูงหลายคนเริ่มรู้สึกเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“อ้าว นั่นคุณหนูสี่จวนตงผิงปั๋วนี่ ข้าเคยเห็นนางในงานเลี้ยงชมดอกไม้ที่จวนหย่งชังปั๋วเมื่อต้นปีที่แล้ว”
“จวนตงผิงปั๋ว?” เมื่อได้ยินที่มา สตรีชั้นสูงหลายคนเริ่มแสดงสายตาดูถูก
ยังไม่พูดถึงตำแหน่งในเมืองหลวงของหย่งชังปั๋ว เพียงแค่ข่าวคราวที่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ก็มีไม่น้อยแล้ว แล้วข่าวคราวเหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้า
คุณหนูจากตระกูลเช่นนี้ ได้มาร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ได้อย่างไร
“ไม่รู้ว่าได้ตรวจสอบเทียบเชิญบ้างหรือไม่ เหตุใดถึงปล่อยหมาแมวที่ไหนไม่รู้เข้ามา” เสียงของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้นชัดเจน จนทำให้เสียงซุบซิบเหล่านั้นเงียบลง