ทุกคนหันมองตามเสียงที่ดังขึ้น
คนที่ส่งเสียงคือหญิงสาวสวมใส่เสื้อสีม่วง นางมีดวงตาเป็นรูปเมล็ดซิ่งเหริน[1] และสายตาของนางกำลังตกอยู่ที่เจียงซื่อ มุมปากที่กระดกขึ้นเล็กน้อยแสดงไว้ด้วยการดูถูกที่ไม่มีการปกปิด
คนที่แตกต่างจากกลุ่มหญิงสาวคือเจียงซื่อที่ก้มศีรษะลงเล็กน้อย นางกำลังมองหาที่นั่งที่เหมาะสม
หญิงชุดสีม่วงเห็นว่าเจียงซื่อเมินเฉย คิ้วที่เรียวยาวดุจใบหลิวพลันตั้งขึ้นมา และนางก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงสูง “ข้าพูดถึงเจ้านั่นล่ะ หรือว่าเจ้าเป็นคนหูหนวก”
เจียงซื่อถึงเงยหน้าแล้วมองกลับด้วยสายตานิ่งเรียบ
นางรู้จักหญิงสาวคนนี้เหมือนกัน นางคือคุณหนูแห่งจวนไท่ผิงปั๋ว มีแซ่ว่าเฉิน มีนามว่าฮุ่ยฝู
เมื่อชาติที่แล้ว ตอนที่นางได้เป็นพระชายาเอกของเยี่ยนอ๋อง นางเคยพบหน้าคุณหนูเฉินแห่งจวนไทผิงปั๋ว
ในตอนนั้น ทั้งสองคนไม่มีความสัมพันธ์กันใดๆ หรือบางทีนางอาจไม่พอใจในตัวนาง แต่ไม่เคยแสดงมันออกมา
วันนี้ คิดไม่ถึงเลยว่านางจะแสดงความเป็นศัตรูออกมาชัดเจนมากถึงเพียงนี้
เจียงซื่อคิดออกถึงห่วงลูกโซ่ที่สำคัญได้อย่างฉับไว
มารดาของเฉินฮุ่ยฝูคือองค์หญิงหนิงหลัว พี่ชายแม่เดียวกันของนางกับหยางเซิ่งไฉ จวนเสนาบดีกรมพิธีการ ชุยอี้จวนแม่ทัพและคุณชายในจวนซื่อหลังกรมพิธีการ เป็นเพื่อนสนิทที่เล่นด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต และทั้งสี่คนนี้ ก็คือคนที่ทำร้ายนางกับพี่รองที่แม่น้ำจินสุ่ยนั่นเอง
หยางเซิ่งไฉตกน้ำเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนชุยอี้และอีกสามคน ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรนัก ทั้งสี่ตระกูลนี้เกลียดชังพี่รองจนลามมาถึงจวนตงผิงปั๋วนั้นเป็นเรื่องที่ชัดแจ้ง
เฉินฮุ่ยฝูแสดงความเป็นศัตรูกับนางถึงเพียงนี้ สาเหตุก็คงมาจากเรื่องนี้กระมัง
เมื่อเห็นเจียงซื่อมองตอบ น้ำเสียงของเฉินฮุ่ยฝูก็แสบสันกว่าเดิม “เหอะ ไม่ได้เป็นคนหูหนวก แต่กลับไม่สนใจคำพูดของผู้อื่น ช่างไร้การอบรมสั่งสอนจริงๆ”
เจียงซื่อนั่งลงและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา จากนั้นหยิบพุทราในจานขึ้นมาหมุนเล่นอย่างเอื่อยเฉื่อย
นางเมินเฉยต่อเฉินฮุ่ยฝูที่เอาแต่สร้างเรื่อง ส่วนหญิงสาวอื่นๆ ต่างเผยสายตาอยากเห็นเรื่องคึกคักออกมา
เฉินฮุ่ยฝูรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกับท่าทีเมินเฉยของเจียงซื่อ และเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของหญิงสาวคนอื่นๆ ด้วย
นางเดินเข้ามาหาเจียงซื่อ มือกดลงบนโต๊ะน้ำชาตัวยาว และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขรึมจัด “ดูเหมือนว่าจะเป็นคนหูหนวกจริงๆ ไม่เช่นนั้น เหตุใดถึงไร้มารยาทได้ถึงเพียงนี้!”
เจียงซื่อขยับคิ้ว นางโยนพุทราลงบนโต๊ะน้ำชา จากนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้กับเฉินฮุ่ยฝู
การทะเลาะกันระหว่างหญิงสาวนั้นไร้ความหมายสิ้นดี แต่หากบีบคั้นกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องทนต่อไปเช่นกัน
นางไม่เคยแสร้งทำตัวเป็นคนอ่อนน้อมเป็นกุลสตรีแล้วให้ผู้อื่นออกหน้าแทนมาก่อน
เหอะๆ แน่ล่ะ ก็ไม่มีใครมาออกหน้าแทนนางอยู่แล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนของนางก็ค่อนข้างแย่สินะ
“เจ้ายิ้มอะไร” เฉินฮุ่ยฝูยืนและมองลงไปพร้อมกับเอ่ยถามเจียงซื่อ
หากพูดถึงพลัง เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่นั้นมีมากกว่า
“ข้ากำลังยิ้มให้กับคนที่มีมารยาทและผ่านการอบรมสั่งสอนดั่งเช่นคุณหนูเฉินเจ้าค่ะ”
เฉินฮุ่ยฝูชะงัก “เจ้ารู้จักข้า?”
เจียงซื่อหัวเราะ “คุณหนูเฉินสร้างความลำบากใจให้ข้าเพียงนี้ อย่าบอกนะว่าไม่อนุญาตให้ข้ารู้จัก?”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นติดต่อกัน
เฉินฮุ่ยฝูทำตัวไม่ถูกเป็นอย่างมาก นางกล่าวขึ้นอย่างโมโห “ในเมื่อเจ้ารู้จักข้า ถ้าเช่นนั้นที่ข้าถามเจ้าเมื่อครู่นี้ เหตุใดเจ้าถึงทำตัวเป็นใบ้”
เจียงซื่อถอนหายใจ แม้เสียงพูดจะเบา แต่คนที่ตั้งใจฟังก็สามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน “ปกติข้าจะสนใจแต่คนที่พูดภาษาคน หากไม่ใช่ ก็ต้องดูสถานการณ์อีกที”
“นี่เจ้า!” เฉินฮุ่ยฝูคิดไม่ถึงว่าเจียงซื่อที่มีสถานะเช่นนี้ จะกล้าดีกับนางได้ถึงเพียงนี้ นางพลันโกรธเนื่องจากความอายและขุ่นเคือง จึงยื่นมือออกไปพร้อมกับแสดงรอยยิ้มอันเย็นชา “เอาออกมา!”
เจียงซื่อมองนาง
“อย่าแสร้งเป็นคนโง่เลย ข้าขอตรวจเทียบเชิญเจ้าหน่อย ตอนนี้ข้าสงสัยว่าเจ้าไม่ได้รับเทียบเชิญมาร่วมงานชมดอกเหมยเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าแฝงตัวเข้ามาเอง เหอะๆ คิดว่ารูปงามสักหน่อยก็จะได้รับความสนใจจากพระสนมรึ ข้าจะบอกอะไรให้ นั่นมันก็แค่ความฝันล้มๆ แล้งๆ เท่านั้น!”
เจียงซื่อขมวดคิ้วเหมือนใช้ความคิด แล้วนางก็ตอบกลับอย่างจริงจัง “หมายความว่า เจ้ากำลังอิจฉาที่ข้าเกิดเป็นคนรูปงาม?”
เมื่อถูกพูดแทงใจดำ สีหน้าของเฉินฮุ่ยฝูแย่ลงกว่าเดิม นางกัดฟันกล่าว “เอาออกมา ไม่เช่นนั้นข้าจะเรียกนางกำนัลมาเชิญเจ้าออกไป!”
หญิงสาวสวมชุดสีพื้นที่เดิมทีนั่งอยู่ด้านข้างเฉินฮุ่ยฝูเดินเข้ามา นางเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “ฮุ่ยฝู ช่างเถอะ”
เจียงซื่อทั้งเอาจริงเอาจังทั้งใจเย็น นางมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาเกลี้ยกล่อม
นางรู้จักหญิงสาวคนนี้เช่นกัน นางคือหยางซูเหลียน มีพ่อแม่เดียวกันกับหยางเซิ่งไฉ
ในตระกูลชนชั้นสูง หยางซูเหลียนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในด้านความสุภาพเรียบร้อย ซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องการแต่งงานเลยแม้แต่น้อย ที่มาร่วมงานเลี้ยงชมดอกเหมยในวันนี้ ก็มาเพื่อช่วยสร้างบรรยากาศเพียงเท่านั้น
พี่สาวของนางคือพระชายาของไท่จื่อคนปัจจุบัน และนางไม่มีทางได้แต่งงานกับองค์ชายอีก
“ซูเหลียน เจ้าไม่ต้องมาเกลี้ยกล่อมข้า วันนี้ข้าจะดูให้ได้ว่าเทียบเชิญของนางใช่ของจริงหรือไม่!”
เสียงหวานหยดย้อยเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณหนูเฉินบีบคั้นผู้อื่นถึงเพียงนี้ด้วยเหตุใดกันเล่า”
เฉินฮุ่ยฝูพลันหันขวับไปยังต้นเสียง และสบตากับสายตาของคุณหนูจี้ฟังหวาแห่งจวนอันกั๋วกงพอดี
เจียงซื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อครู่นี้ นางยังถอนหายใจกับเรื่องที่ตนไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับใคร คิดไม่ถึงว่าจะมีคนออกหน้าแทนนาง แล้วคนๆ นั้นยังเป็นจี้ฟังหวา
หลังจากที่ยกเลิกงานแต่งกับจี้ฉงอี้ แต่ดันไปเกี่ยวข้องกับคนของจวนอันกั๋วกง ในสายตาของคนนอกที่มองมา อย่างไรเสียก็ชวนให้รู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือจี้ฟังหวาเพิกเฉยต่อความรู้สึกการทำตัวไม่ถูกนี้ และยังส่งเสียงขึ้นมาในสถานการณ์เช่นนี้อีก
เฉินฮุ่ยฝูจับจ้องจี้ฟังหวาอยู่หลายที พลันหัวเราะออกมา “คุณหนูจี้ ตระกูลของเจ้ายกเลิกงานแต่งกับจวนตงผิงปั๋วไปมิใช่หรือ เหตุใดถึงยังสนิทสนมกับคุณหนูเจียงสี่อยู่เล่า อ้อ ข้ารู้แล้ว หรือว่ายังอยากเป็นครอบครัวเดียวกัน…”
เฉินฮุ่ยฝูไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ความหมายนั้นชัดเจน จวนอันกั๋วกงคิดจะให้เจียงซื่อกลับไปเป็นอนุภรรยาของจี้ฉงอี้ หรือไม่ ก็เจียงซื่อนั่นล่ะที่มีความคิดนี้
แน่นอนว่านี่คือคำพูดประชดประชันทั้งนั้น และยังเต็มไปด้วยความเจตนาร้าย
สีหน้าของจี้ฟังหวาแสดงไว้ด้วยความโกรธลางๆ “คุณหนูเฉินอย่าพูดจาโหดร้ายเช่นนั้นดีกว่า ไม่ดูสักหน่อยหรือว่าที่นี่คือที่ใด!”
เฉินฮุ่ยฝูหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา “คุณหนูจี้ต่างหากที่ควรระวังว่าที่นี่คือที่ใด เจ้าออกหน้าแทนผู้อื่น ใช่ว่าจะได้รับคำขอบคุณกลับมา เกิดสูญเสียโอกาสที่พึงมีในตอนแรกถึงจะได้ไม่คุ้มเสียนะเจ้าคะ”
เมื่อคำนึงจากหลายๆ ด้าน จี้ฟังหวาเป็นหนึ่งในตัวเลือกพระชายาเอกจริงๆ ก็นางเป็นถึงหลานสาวของเสียนเฟย
“ขอบใจคุณหนูจี้มาก” เสียงของเฉินฮุ่ยฝูเพิ่งเงียบลง เสียงของเจียงซื่อก็ดังขึ้น
จี้ฟังหวาเม้มริมฝีปากยิ้มให้เจียงซื่อหนึ่งที
ตำแหน่งพระชายาเอก นางไม่อยากได้หรอก นางอยากได้สามีที่คู่ควรกัน รู้รากเหง้ากันและกัน เท่านั้นพอ ไม่อยากเหมือนพี่สามที่แต่งกับหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาจนเรื่องราวตกอยู่ในสภาพอึดอัด และไม่จำเป็นต้องได้แต่งกับคนในราชวงศ์ที่แม้แต่หายใจยังไม่สะดวก
เฉินฮุ่ยฝูโกรธจนไฟลุกโชน เมื่อเห็นสองคนนั้นมองซึ่งกันและกัน “คุณหนูเจียงไม่มีเทียบเชิญอย่างเป็นทางการใช่หรือไม่ ถึงได้ทำตัวชักช้าไม่ยอมขยับเสียที”
มือหนึ่งของเจียงซื่อเท้าแก้มเอาไว้ ท่าทางที่สบายใจยิ่งชวนให้ฝ่ายตรงข้ามร้อนใจถึงที่สุด “ข้าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าสำนักพระราชวังยังเชิญให้คุณหนูเฉินมาทำงานส่วนของนางกำนัลด้วย เพียงแต่ว่าคุณหนูเฉินไม่ควรมาตรวจสอบที่นี่ แต่ควรเฝ้าอยู่ตรงประตูฝ่ายในมิใช่หรือ”
คำพูดเพียงประโยคเดียวได้ชวนให้หญิงสาวพากันหัวเราะขึ้นมา
“เสียนเฟยเหนียงเหนียงเสด็จ จวงเฟยเหนียงเหนียงเสด็จ…”
สายตาของเหล่าหญิงสาวกลับคืนสู่ความสุภาพเรียบร้อยตามเสียงประกาศ
เฉินฮุ่ยฝูยังไม่ได้ดั่งใจ จำต้องเก็บงำความโกรธเอาไว้ในทรวงอก เนื่องจากเหล่าเหนียงเหนียงเสด็จจึงไม่สามารถระบายออกมาได้ แม้ใบหน้านั้นโมโหจนหน้าเขียวก็ตาม
จี้ฟังหวาแอบเดินมานั่งลงข้างๆ เจียงซื่อไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร “พี่เจียง ข้านั่งตรงนี้ได้หรือไม่”
เจียงซื่อยิ้มและพยักหน้า “ได้สิ”
เหล่าหญิงสาวถวายบังคมต่อเสียนเฟยกับจวงเฟยเสร็จก็พากันนั่งลง
เสียนเฟยกวาดสายตามองดูเหล่าคุณหนูที่อยู่ในงานเบาๆ ยามสายตาตกอยู่ที่เจียงซื่อ มุมปากพลันเผยรอยยิ้มออกมา
———————-
[1]เมล็ดซิ่งเหริน เมล็ดอัลมอนด์