บทที่ 315 บุตรแห่งสวรรค์ผู้โดดเด่น เคราะห์หนักที่แข็งแกร่งที่สุด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 315 บุตรแห่งสวรรค์ผู้โดดเด่น เคราะห์หนักที่แข็งแกร่งที่สุด

แดนเซียน ปัจฉิมสวรรค์

ภายในถ้ำเทวาอันมืดมิด บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์นั่งสมาธิบนเบาะรองนั่ง สีหน้าของเขาวูบไหว ช่วงหว่างคิ้วผุดเผยไอชั่วร้ายที่แปลกประหลาดพิศวง ลักษณะท่าทางของทั้งตัวคนแปลกพิกลถึงขีดสุด

จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งคู่ดูราวปีศาจร้าย มืดทะมึนน่าสะพรึงกลัว

“สมควรตาย จิตมารเสียการควบคุม นี่ควรทำอย่างไรดี”

บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ขมวดคิ้ว ในใจเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!

เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตนไปล่วงเกินเจ้าแดนต้องห้ามอันธการตรงที่ใด

เมื่อเอ่ยถึงความขัดแย้ง สำนักพุทธก็หาได้แข็งแกร่งเท่าวังสวรรค์และวังปีศาจ หรือแม้กระทั่งไม่ได้เหิมเกริมเหมือนอย่างเผ่าเทพอีกาทองด้วยซ้ำ

นอกจากนี้! สำนักพุทธ็ไม่ได้มีบรรพชนพุทธเพียงเขาคนเดียว!

เหตุใดเจ้าแดนต้องห้ามอันธการถึงเอาแต่จับจ้องและสาปแช่งเขาไม่เลิกรา

หรือว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเคยถูกเขาล่วงเกิน?

บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน จำนวนคนมีมากเกินไป เดิมทีเขาก็ไม่สามารถยืนยันได้เลย

จิตมารเสียการควบคุม บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ไม่กล้าเผชิญหน้ากับสำนักพุทธอีก หากเรื่องที่ว่าเขาเป็นมารแพร่ออกไป สำนักพุทธจะกลายเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนในแดนเซียนแน่

มีแต่ต้องทนเท่านั้น!

บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ถอนหายใจ เริ่มกดสยบจิตมาร

วังปีศาจ ภายในตำหนักจักรพรรดิปีศาจ

จักรพรรดิปีศาจกำลังพูดคุยกับวีรบุรุษผู้หนึ่ง วีรบุรุษผู้นี้สวมชุดเกราะสีดำทรงพลัง ร่างกายกำยำ ผมดำปลิวสะบัด ดูราวกับมังกรดำตัวหนึ่งที่กำลังขดตัวอยู่เหนือศีรษะ

วีรบุรุษผู้นี้ก็คือบุตรแห่งจักรพรรดิปีศาจ นามว่าซวีหวง

“เสด็จพ่อ วางใจเถิด ข้าปิดด่านมาห้าล้านปีแล้ว ถึงเวลาแสดงความสามารถแล้ว” ซวีหวงกล่าวอย่างมั่นใจ

จักรพรรดิปีศาจยิ้มและกล่าวว่า “ในบรรดาบุตรของเรา เจ้าเป็นผู้ที่พากเพียรที่สุด ปิดด่านมาห้าล้านปี เจตจำนงค์เช่นนี้ไม่มีมนุษย์หรือมารใดจะเทียบได้”

ซวีหวงยิ้มขึ้นมาในทันที

ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความตั้งตาคอย

ความสามารถของเขาโดดเด่น ปิดด่านมาห้าล้านปี ตบะเทียมฟ้า เขารู้สึกว่าตนเองเป็นระดับผู้ทรงพลังแล้ว สามารถช่วงชิงโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ได้

ซวีหวงถามด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อ มีผู้ใดที่ท่านต้องการให้ข้าเล่นงานโดยเฉพาะหรือไม่”

จักรพรรดิปีศาจกำลังจะเอ่ยตอบ ทว่าสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด

พลังแห่งคำสาป!

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการนี่มัน!

จักรพรรดิปีศาจจำต้องใช้พลังเวทของเขาระงับพลังแห่งคำสาปนี้

ซวีหวงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขา จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล “เสด็จพ่อ ท่านเป็นอะไรไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิปีศาจเองก็ไม่ได้ปิดบัง กล่าวเสียงขรึมว่า “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งเราอีกแล้ว!”

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!

ซวีหวงขมวดคิ้ว หลังจากปิดด่านเขาได้รู้จักชื่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจากปากของปีศาจประหลาดที่คอยรับใช้เขา

ปวงสวรรค์ยามนี้ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับและน่าสะพรึงที่สุด เขาลอบบงการมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตในเงามืด ใช้พลังคำสาปเย้าแหย่ขุมอำนาจใหญ่ทุกแห่ง วิธีการเช่นนี้เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน

ในอดีตก็เคยมีผู้ทรงพลังที่บำเพ็ญมรรคแห่งคำสาป แต่ไม่เคยมีผู้ใดใช้คำสาปเรียกลมเรียกฝน ก่อความโกลาหลเหมือนอย่างเจ้าแดนต้องห้ามอันธการมาก่อน

“เสด็จพ่อ ข้าจะต้องตามหาเจ้าแดนต้องห้ามอันธการและล้างแค้นแทนท่านให้จงได้!”

ซวีหวงกล่าวอย่างโกรธแค้น ในความเห็นของเขาเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะต้องไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งแน่ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้

จักรพรรดิปีศาจกล่าวว่า “เจ้าถอยออกมาก่อนเถิด ทำความคุ้นเคยกับวังปีศาจในตอนนี้ก่อน แล้วเราจะมอบภารกิจให้เจ้าในภายหลัง”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ซวีหวงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ทันทีที่เขาจากไป จักรพรรดิปีศาจก็ควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างสิ้นเชิง อานุภาพทรงพลังของตนระเบิดปะทุ พลังเวทภายในร่างพลุ่งพล่านเพิ่มทวีขึ้น ต่อต้านการบุกรุกของพลังแห่งคำสาปไม่หยุด

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยเลือดออกทวารทั้งเจ็ด ทว่าสายตาของเขากลับสุกใส จ้องมองไปยังหน้าจอแสดงคุณสมบัติที่อยู่เบื้องหน้า

เขากำลังคำนวณอายุขัยที่หายไป

แปดร้อยล้านล้านปี!

ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถใช้เวลาพันล้านปีในการสาปแช่งจักรพรรดิปีศาจจนเกิดเรื่องได้หรือไม่

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม

ยามที่อายุขัยสะสมของหานเจวี๋ยลดลงเหลือหนึ่งพันล้านปี เขาจึงหยุดลงในทันที

อายุขัยของเขายังคงเป็นเจ็ดร้อยสี่สิบห้าล้านล้านปี อายุขัยสองพันล้านปีที่ถลุงไปนั้นยังไม่เท่ากับแม้แต่เศษเสี้ยวของเขา

หานเจวี๋ยยกมือขึ้นปาดหน้า คราบเลือดทั้งหมดล้วนหายไป

เขาเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู ด้วยอยากรู้ว่ามีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับจักรพรรดิปีศาจหรือไม่

แต่ว่า กลับไม่มีเลย

หานเจวี๋ยนิ่งอึ้ง

พักนี้จักรพรรดิปีศาจโหดเหี้ยมมาก ทั้งที่เป็นผู้นำอิทธิพลที่ถูกเขาสาปจนเกิดเรื่องก่อนใครแท้ๆ ทว่ายามนี้สภาพยังแข็งขันกว่าบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์เสียอีก

แต่หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ผิดหวัง คิดเสียว่าเป็นการรับรองความน่าจะเป็นเท่านั้น

บางทีในอีกร้อยปีข้างหน้า การสาปแช่งส่งๆ อาจทำให้เขาเกิดเรื่องก็ได้

หายเจวี๋ยเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ หลังจากนั้นหลายวันสภาพก็กลับคืนมาอย่างเต็มที่

‘ยากที่จะฝ่าทะลวง จะปรับปรุงอีกครั้งหรือไม่’ หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

ลองดูแล้วกัน!

อย่างไรเสียนอกจากการบำเพ็ญตบะ ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว!

หานเจวี๋ยกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ ‘ในมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งนี้ ใครคือผู้แข็งแกร่งที่สุด’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

แค่นี้ก็ต้องหักถึงพันล้านปีเชียวหรือ

ช่างเถิด!

หานเจวี๋ยคร้านที่จะดำเนินการต่อ อย่างไรเสียคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่ดี

เขาถ่ายทอดเสียงไปยังอู้เต้าเจี้ยน อนุญาตให้นางเข้ามา จากนั้นเขาก็เริ่มก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญตบะของตนเอง

ภายนอกถ้ำเทวา

หลังจากอู้เต้าเจี้ยนได้ยินเสียงของหานเจวี๋ยที่ถ่ายทอดมา ก็หยัดกายลุกขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านฝ่าด่านเสร็จแล้ว ข้าควรเข้าไปได้แล้ว”

เอ่ยจบนางก็หันตัวเดินไปทางถ้ำเทวา

จอมปีศาจคุกรัตติกาลกล่าวด้วยความชื่นชม “ท่านเจ้าสำนักก็มีพรสวรรค์แข็งแกร่งเกินไปแล้ว สัมผัสได้ว่าทุกๆ สองร้อยปีเขาก็ทะลวงแล้วใช่หรือไม่”

ไก่คุกกรัตติกาลยิ้มอย่างลำพองใจ “นั่นก็ใช่ ในบรรดาโลกาสวรรค์ พรสวรรค์ของนายท่านพวกเรานี่ละที่แข็งแกร่งที่สุด!”

คนอื่นๆ พากันพยักหน้า พรสวรรค์ของพวกเขาต่างแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ว่าพวกเขาจะตรากตรำบำเพ็ญตบะหนักเพียงใด ระยะห่างกับหานเจวี๋ยก็ยังไกลกันอยู่ตลอด

“จะว่าไปแล้ว ตัวอย่างที่เหมือนกกับอาจารย์ปู่นี้ ข้านึกถึงอยู่เพียงผู้เดียว” จู่ๆ มู่หรงฉี่ก็พูดขึ้นมา

โจวหมิงเยวี่ยถามอย่างใคร่รู้ “ใครหรือ”

มู่หรงฉี่เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเคยพูดถึงแล้ว อาจารย์ปู่นั้นคล้ายกับบรรพชนเต๋ามาก ยามที่บรรพชนเต๋าเลื่องชื่อครั้งแรกก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้มรรคาสวรรค์ พิจารณาจากบุคลิกของอาจารย์ปู่ ก็ต้องรอหลังจากไร้ศัตรูเทียมทานแล้วจึงจะลงมาเกิดได้”

ต้วนหงเฉินเมื่อได้ยิน ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

อย่าพูดเลย!

เหมือนกันมากจริงๆ!

หลังจากทุกคนคุยกันเรื่องบรรพชนเต๋ามาพักหนึ่ง ก็แยกย้ายกันไปบำเพ็ญตบะต่อ

หัวข้อสนทนาเช่นนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาปรากฏไม่เพียงแค่หนึ่งครั้ง พวกเขาคงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแล้ว อย่างมากสุดก็แค่รู้สึกว่าน่าสนใจเท่านั้น

แดนเซียน ภายในห้องโถงใหญ่ สิงหงเสวียนที่มีผ้าคลุมหน้านั่งอยู่บนเก้าอี้ ฟังเหล่าผู้อาวุโสในเผ่าพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญล่าสุดในแดนเซียน

“งานชุมนุมคุณสมบัติเซียนสิ้นสุดลงแล้ว มีคนผู้หนึ่งเคลื่อนขวางปรากฏสู่โลก มีศักยภาพแฝงของผู้กล้าไร้เทียมทาน”

“หลงเฮ่ากระมัง ข้าเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน แม้แต่รองเจ้านิกายฉ่านก็ยังยกย่องเขาไม่หยุด”

“กล่าวกันว่าหลงเฮ่าดูเหมือนจะเป็นโอรสจักรพรรดิสวรรค์ มีพรสวรรค์เช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ”

“เฮ้อ สายเลือดของเทพเซียนนั้นแข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์ของเราจริงๆ”

“เผ่ามนุษย์ก็มีผู้ล้าไร้เทียมทาน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหลงเฮ่าแล้ว ก็ยังห่างไกลกันนัก ได้ยินมาว่าหลงเฮ่าก่อให้เกิดมรรคาสวรรค์ในงานชุมนุมคุณสมบัติเซียน ระดับกการหยั่งรู้เกินจริงอยู่มาก”

เมื่อฟังการอภิปรายของเหล่าผู้อาวุโสในเผ่า สีหน้าสิงหงเสวียนก็ดูแปลกพิกล

หลงเฮ่า?

นั่นก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของท่านพี่หรอกหรือ

เหตุใดถึงออกมาจากเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเสียแล้วเล่า

สิงหงเสวียนจำไม่ผิดแน่ คนที่ชื่อหลงเฮ่าอาจจะไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่หลงเฮ่าที่มีสถานะเป็นโอรสจักรพรรดิสวรรค์ เช่นนั้นก็มีเพียงคนเดียวแล้ว

เมื่อได้ยินว่าหลงเฮ่ามีชื่อเสียงไปทั่วหล้า ความอิ่มเอมใจที่สิงหงเสวียนสร้างขึ้นก่อนหน้านี้ก็พลันมลายหายไป

คุณสมบัติในชีวิตนี้ของอันที่จริงก็ไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับพวกหลงเฮ่า ลี่เหยา ถูหลิงเอ๋อร์และคนอื่นๆ แล้วก็ยังห่างชั้นกันเกินไป

ในเวลานี้ จู่ๆ หัวหน้าเผ่าก็พลันมองมาทางสิงหงเสวียนและเอ่ยว่า “อิงเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ไม่นานเจ้าเพิ่งไปที่พระราชวังมา พระสนมของจักรพรรดิเคยบอกกับเจ้าหรือไม่ว่าแผนการต่อไปของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์คืออะไร”

………………………………………………