บทที่ 316 โอกาสวาสนา ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 316 โอกาสวาสนา ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามจากหัวหน้าเผ่า สิงหงเสวียนก็ตอบว่า “พระสนมไม่ได้เอ่ยอะไรมากนัก ดูคล้ายกำลังเลี่ยงอะไรบางอย่าง”

ตระกูลที่นางอยู่เป็นพระญาติที่เกี่ยวดองผ่านการสมรสกับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องด้วยคุณสมบัติของนาง นางจึงสนิทสนมใกล้ชิดกับพระสนมที่เป็นคนในตระกูลยิ่ง

เมื่อเหล่าผู้อาวุโสได้ฟังก็เข้าสู่การพูดคุยหารือกันอีกครั้ง คาดเดากันไปสารพัด

สิงหงเสวียนคอยฟังอย่างเงียบๆ ส่วนใจล่องลอยไปที่อื่นเสียนานแล้ว

หลายปีมานี้ไม่ได้พบหน้าหานเจวี๋ยเลย นางก็คะนึงหาเขาอยู่จริงๆ

เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันในอดีต นางก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้า

….

เวลายี่สิบสามปีผ่านไป

หานเจวี๋ยกำลังฝึกบำเพ็ญเช่นที่เคยทำมา

หลังจากทะลวงถึงระดับจักรพรรดิเซียนห้าวัฏแล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญของเขาไม่ได้ลดลงเลย ทว่ากลับพัฒนาต่อไปอีก

นอกจากปราณฟ้าประทานจากบุปผาเทพปู้โจวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว การดูดซับแรงกรรมของกายดาราอนธการก็รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

บัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรที่อยู่ภายในโลกอนธการเสมือนเปิดเครื่องเร่งความเร็ว หากไม่มีมัน ความเร็วในการบำเพ็ญของหานเจวี๋ยจะลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง

วันนี้เอง

จู่ๆ ตัวอักขระแถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย

[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]

เข้าฝันหรือ

หานเจวี๋ยอัศจรรย์ใจ

อาณาเขตเต๋าช่างเลิศล้ำจริงๆ สามารถสกัดกั้นพลังวิเศษของจักรพรรดิสวรรค์ได้ด้วย

หานเจวี๋ยเลือกยอมรับอย่างเงียบงัน

จากนั้น เขาก็เข้าสู่แดนความฝัน มาถึงภายในป่าเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ป่าเล็กๆ ผืนนี้ก็คือป่าที่อยู่ใกล้กับสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ ในอดีตหานเจวี๋ยก็เคยพบกับจักรพรรดิสวรรค์ที่นี่

ดูเหมือนจักรพรรดิสวรรค์เองก็จะเป็นผู้ระลึกถึงอดีตคนหนึ่งเช่นกัน

หานเจวี๋ยมองเห็นจักรพรรดิสวรรค์แล้ว รูปลักษณ์บุคลิกไม่เปลี่ยนไปจากในความทรงจำเลยแม้แต่น้อย

จักรพรรดิสวรรค์พินิจดูหานเจวี๋ย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดูเหมือนเจ้าจะมีความสุขกับการอยู่ที่ยมโลกมากนะ”

หานเจวี๋ยยิ้มพลางกล่าวตอบว่า “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงอยู่ไปวันๆ เท่านั้น ระยะนี้พญายมสร้างเรื่อง ทำให้ข้าต้องถิ่นฐานไปรอบหนึ่ง”

“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่กลับวังสวรรค์เล่า”

“แค่กๆ วังสวรรค์กำลังต่อสู่ช่วงชิงดวงชะตายิ่งใหญ่ อันตรายอยู่บ้างจริงๆ”

“หึ เจ้าก็พูดถูกแล้ว อันตรายจริงๆ นั่นแหละ เพราะอย่างนั้นเราจึงไม่บังคับเจ้า ทั่วทั้งวังสวรรค์ นอกจากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้หรอกนะ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งนัก!”

หานเจวี๋ยรีบค้อมกายลงแสดงความเคารพ

เขารู้สึกขอบคุณด้วยใจจริง จักรพรรดิสวรรค์ช่วยเหลือเขามากมายเหลือเกิน หนึ่งในนั้นก็คือวิชาชุบร่างวัฏจักรดาราที่ช่วยปลุกกายดาราอนธการของหานเจวี๋ยให้ตื่นขึ้น ก่อรากฐานมาจนถึงทุกวันนี้

หานเจวี๋นพลันเอ่ยถามขึ้นว่า “ใช่แล้ว ฝ่าบาท ท่านก็รู้จักจักรพรรดิเซียนวัฏจักรหรือไม่”

จักรพรรดิสวรรค์หรี่ตาลงพลางกล่าวว่า “จักรพรรดิเซียนวัฏจักร ก็คือผู้ที่ถ่ายทอดให้เจ้าผู้นั้นน่ะหรือ”

หานเจวี๋ยส่ายหน้า “ไม่นับว่าเขาถ่ายทอดให้ข้า เป็นสิ่งที่ข้าบังเอิญได้มา”

ความหมายในวาจาคือ เขาและจักรพรรดิเซียนวัฏจักรไม่เกี่ยวข้องกัน

จักรพรรดิสวรรค์ยิ้มอย่างพึงพอใจ เอ่ยว่า “เรายังกังวลอยู่ว่าจะถูกจักรพรรดิเซียนวัฏจักรแย่งเจ้าไป สำหรับจักรพรรดิเซียนวัฏจักร เรารู้ไม่มากนัก คนผู้นี้รู้แจ้งมรรคามายาวนาน ลึกลับยิ่งนักเสมอมา เขาสำแดงมรรคาไปทั่วสารทิศ อาจจะมีแผนการอันใดอยู่”

หานเจวี๋ยถามด้วยความแปลกใจ “ฝ่าบาทไม่เคยพบจักรพรรดิเซียนวัฏจักรมาก่อนหรือ เป็นไปไม่ได้กระมัง ข้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของเขาได้ที่วังสวรรค์”

เรื่องนี้หากไม่เอ่ยออกมา จิตใจเขาต้องปั่นป่วนแน่!

จักรพรรดิเซียนขมวดคิ้ว

หานเจวี๋ยสังเกตสีหน้าท่าทางของเขา

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เอ่ยมาเถิด เป็นผู้ใด เจ้าต้องรู้แน่อยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงไม่จงใจถามเช่นนี้”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างลังเล “ท่านไม่ทราบจริงๆ หรือ ข้าเกรงว่าจะละเมิดต่อแผนการของท่าน จึงไม่กล้าพูดส่งเดช หากเป็นการจัดเตรียมของท่าน เช่นนั้นข้าจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย ใจของข้าจะภักดีต่อฝ่ายของฝ่าบาทตลอดไป!”

จักรพรรดิสวรรค์ถลึงตาใส่หานเจวี๋ยคราหนึ่ง กล่าวว่า “ในใจของเจ้าเรามีภาพลักษณ์อย่างไรกันแน่ เห็นเราเป็นคนโป้ปดหรือ พูดมาเถิด เราอยากรู้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิเซียนวัฏจักรจะซ่อนตัวอยู่ในวังสวรรค์ มีเจตนาแอบแฝง”

ดูเหมือนจักรพรรดิสวรรค์จะไม่รู้จริงๆ

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เขาก็คือตี้ไท่ไป๋ เขาหน้าตาเหมือนจักรพรรดิเซียนวัฏจักรทุกประการ ยามที่ข้าฝึกฝนวิชายุทธ์ของจักรพรรดิเซียนวัฏจักรก็เคยฝันเห็นฉากการฝึกฝนของเขา”

ตี้ไท่ไป๋!

จักรพรรดิสวรรค์พลันขมวดคิ้ว จิตใต้สำนึกของเขาร่ำร้องว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อวาจามาถึงปากก็ชะงักลง

หากเป็นความจริง นี่แสดงว่าจักรพรรดิสวรรค์อย่างเขาโง่เขลานัก

จักรพรรดิสวรรค์จ้องมองหานเจวี๋ย รู้สึกว่าหานเจวี๋ยไม่คล้ายจะเป็นคนโป้ปด และเขาก็เฝ้ามองหานเจวี๋ยเติบใหญ่ขึ้นมา

เมื่อคิดดูให้ดีๆ แล้ว ตี้ไท่ไป๋ก็แสดงความเป็นกังวลในเรื่องความจงรักภักดีของหานเจวี๋ยต่อหน้าเขาอยู่หลายครั้งจริงๆ

หากตี้ไท่ไป๋คือจักรพรรดิเซียนวัฏจักรจริง เช่นนั้นข้อสงสัยนี้ก็มีเจตนาแอบแฝงอยู่จริงๆ

โทสะพลันสุมทรวงจักรพรรดิสวรรค์ขึ้นมา

ภายในวังสวรรค์ คนที่เขาไว้ใจที่สุดก็คือตี้ไท่ไป๋ ถึงขั้นที่ไว้วางใจยิ่งกว่ายอดแม่เทพเสียอีก

ไม่นึกเลยว่าตี้ไท่ไป๋…

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวขึ้นว่า “อย่างนั้นหรือ เราก็เคยสงสัยที่มาของเขาจริงๆ เพียงแต่เขาแสดงออกดียิ่งนัก เราจึงไม่ไล่เบี้ยอีก”

“ความเป็นมาของเทพเซียนในวังสวรรค์นั้นซับซ้อน เราไม่สามารถสืบสาวที่มาที่ไปของเทพเซียนทุกคนได้ ขอเพียงภักดีต่อวังสวรรค์ก็พอ”

หานเจวี๋ยได้ฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะยำเกรงเลื่อมใสขึ้นมา

สมกับเป็นจักรพรรดิสวรรค์!

ความใจกว้างนี้! ทัศนคติเช่นนี้!

ยิ่งใหญ่นัก!

จักรพรรดิสวรรค์มองหานเจวี๋ย แววตากลับกลายเป็นอ่อนโยนลง เอ่ยว่า “วันนั้นยามที่ตี้ไท่ไป๋ถามว่าจะกราบหลี่เต้าคงเป็นอาจารย์เป็นอาจารย์หรือไม่ หลี่เต้าคงก็อยู่ข้างๆ ด้วย เจ้าตอบได้ดียิ่งนัก”

ท่าทีของหานเจวี๋ยเห็นได้ชัดว่าอยู่ฝ่ายเขาเสมอมา ทำให้เขาพอใจมาก

“ต่อให้ผู้อาวุโสหลี่เก่งกาจสักเพียงใด แต่ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งไปกว่าท่านแน่ หากข้าจะกราบอาจารย์ก็สมควรกราบท่านเป็นอาจารย์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยความจริงจัง

คำประจบนี้ทำให้จักรพรรดิสวรรค์สบายใจแล้ว

“นั่นย่อมแน่นอน แม้ว่าหลี่เต้าคงจะเก่งกาจ แต่ยังไม่เพียงพอจะนำมาเทียบกับเราได้” จักรพรรดิสวรรค์กล่าวอย่างเย่อหยิ่ง

หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะนึกสงสัย “จักรพรรดิปีศาจ บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ เจ้าแห่งวังเทพรวมถึงฝ่าบาทล้วนอยู่ในระดับเดียวกันหรือ”

“ไม่ผิด ตบะของพวกเราบรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว มีเพียงต้องพึ่งพาดวงชะตายิ่งใหญ่ของมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตเพื่อฝ่าทะลวง”

“เจ้าแห่งวังเทพแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เหตุใดยังปล่อยให้ผู้อาวุโสหลี่หนีรอดไปได้เล่า”

“นี่เป็นเงื่อนไขผูกมัดที่บรรพชนเต๋ามอบให้พวกเรา พวกเราไม่อาจลงมือกับสิ่งมีชีวิตในระดับต่ำกว่าได้ หากพวกเราสี่คนต่อสู้ฆ่าฟันกันจนตาย แดนเซียนจะพินาศย่อยยับ”

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยประโยคนี้อย่างสงบนิ่งยิ่งนัก ราวกับกำลังเล่าเรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างไรอย่างนั้น

หานเจวี๋ยพลันกระจ่างแจ้ง

มิน่าเล่า!

จุดนี้คล้ายกับระเบิดปรมาณูในยุคสมัยใหม่ยิ่งนัก ประเทศมหาอำนาจล้วนมีกันทั้งสิ้น แต่ไม่สามารถใช้ส่งเดชได้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าข้อยับยั้งในการใช้งาน

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยต่อว่า “ที่เรามาหาเข้าครั้งนี้ ก็เพราะมีโอกาสวาสนาอย่างหนึ่งมาบอกกล่าวเจ้า”

โอกาสวาสนาหรือ

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณ

โอกาสวาสนาหมายถึงอันตราย!

“มีผู้ทรงพลังแสดงธรรมอยู่ด้านนอกชั้นฟ้าที่สามสิบสาม กลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่แต่ละแห่งสามารถพาศิษย์ไปร่วมสดับฟังได้สามคน เราวางแผนว่าจะพาเจ้า ยอดแม่ทัพเทพและหลงจวินไป การแสดงธรรมครานี้ไม่ได้มีอันตราย เมื่อแสดงโอวาทจบ เราจะส่งเจ้ากลับมา”

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง เขามองความคิดของหานเจวี๋ยออก จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน

เบื้องหน้าหานเจวี๋ยมีอักขระสามบรรทัดปรกฏขึ้นมา

[ตรวจสอบพบว่าจักรพรรดิสวรรค์เชิญท่านเข้าร่วมสดับมรรคที่ตำหนักเอกอนันต์ ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ปฏิเสธการเข้าร่วม สูญเสียโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ จะได้สืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]

[สอง ตกลงเข้าร่วม จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น]

รางวัลล้วนน้อยยิ่งนัก สิ่งโน้มน้าวไม่มาก

ในใจของหานเจวี๋ยนั้นไม่อยากไปเลย แต่จักรพรรดิสวรรค์เอาแต่จ้องมองเขา เห็นได้ชัดว่าคาดหวังให้เขาไป

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวว่า “การสดับฟังครานี้ไม่เกี่ยวข้องกับมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต เจ้าไม่มีทางเข้าสู่เคราะห์กรรมด้วยเหตุนี้ นอกชั้นฟ้าที่สามสิบสามต่างเป็นผู้ทรงพลังรู้แจ้งมรรคทั้งสิ้น การแก่งแย่งชิงดีในมหาเคราะห์ไม่มีทางข้ามมาถึงที่นี่ได้ เราหวังว่าเจ้าจะไป หลี่เต้าคงและหลี่เสวียนเอ้าก็ไปเช่นกัน

ระหว่างที่สดับฟัง มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตน่าจะหยุดลงชั่วขณะ มีเพียงกลุ่มอิทธิพลขนาดเล็กเท่านั้นที่ต้องต่อสู้กัน”

………………………………………………………………