ตอนที่ 333

My Disciples Are All Villains

“ข้าสบายดี” ยู่ฉางตงไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ตัวเขาได้ยิ้มจางๆ ให้ก่อนที่จะจ้องมองไปยังรถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวย์จีก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ดูนั่นสิ…”

สีวู่หยาได้หันไปมองตามยู่ฉางตง แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ เมื่อไม่เห็นอะไรสีหน้าของยู่ฉางตงก็เต็มไปด้วยความสับสนแทนตัวเขากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผู้เป็นศิษย์พี่พูด

ยู่ฉางตงได้พูดต่อ “ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าได้รับบาดเจ็บจากข้าไป เขาก็แค่แสร้งทำเป็นไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไร…ยังไงซะข้าก็ยังเป็นศิษย์น้องของเขาอยู่ดี ข้าจะปล่อยเขาไปเพื่อไม่ให้ศิษย์พี่ใหญ่เสียหน้า”

เมื่อได้ยินแบบนั้นสีวู่หยาก็เข้าใจในที่สุด ตัวเขาเข้าใจสักทีว่ายู่ฉางตงกำลังพูดถึงอะไร แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ายู่ฉางตงบาดเจ็บจริงๆ ไหม แต่ตัวเขาก็ได้คารวะก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์หมายความว่าท่านเองมีฝีมือที่ก้าวผ่านศิษย์พี่ใหญ่ไปแล้วสินะครับ”

“ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงมันหรอก” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาเบาๆ ในตอนนั้นเองที่รถม้าลอยฟ้าที่ยู่เฉิงไห่กลับมาถึง ฮั๊วจงหยาง, ไป่ยู่ชิง, หยางเยียน, และดี่ชิงต่างก็โค้งคำนับให้กับยู่เฉิงไห่อย่างพร้อมเพรียงกัน “ยินดีต้อนรับกลับท่านเจ้าสำนัก!”

ยุ่เฉิงไห่ไม่ได้พูดตอบโต้อะไร ตัวเขาเดินไปที่ด้านหน้าของรถม้าด้วยสีหน้าแห่งความทรหด ตัวเขานั่งลงบนที่นั่งก่อนที่จะยืดตัวอย่างสง่างาม ในตอนนั้นเองที่มุมปากของเขาก็กระอักเลือดออกมา

แม้ว่ามันจะไม่ใช่เลือดที่มากมายอะไรแต่มันก็ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าเจ้าสำนักฝ่ายอธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างยู่เฉิงไห่ หลังจากที่ผ่านการต่อสู้กับคู่ต่อสู้มานับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บจนได้

สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป สีหน้าของพวกเขามันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

ยู่เฉิงไห่ได้คำรามออกมา “อย่าให้ใครได้รู้เรื่องนี้” หลังจากที่พูดจบตัวเขาก็ได้เหวี่ยงแขนก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้งราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไปกันได้แล้ว”

รถม้าลอยฟ้าได้ปรับระดับตัวเองก่อนที่จะบินไปยังหุบเขาสีม่วง

เอี๊ยด! เอี๊ยด! เอี๊ยด!

รถม้าลอยฟ้าได้ส่งเสียงแปลกๆ ออกมา

เหล่าสาวกของสำนักอเวย์จีต่างก็จ้องมองรอบรถม้า

ฮั๊วจงหยางได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก ดูเหมือนว่ารถม้าจะได้รับผลพวงมาจากการโจมตีก่อนหน้านี้ แต่พวกเรายังเดินทางต่อได้แน่”

ยู่เฉิงไห่พยักหน้า

รถม้าลอยฟ้าเริ่มเร่งความเร็วขึ้นมา

ยู่เฉิงไห่มองไปที่ทิวทัศน์ที่กำลังผ่านพ้นไป ในตอนนี้ดวงอาทิตย์ยังคงอยู่สูงอยู่บนท้องฟ้า แสงแดดยามเช้าได้ทะลุผ่านชั้นหมอกบางๆ ออกมาทำให้ยู่เฉิงไห่ในตอนนี้ดูเหมือนกับกำลังอยู่ในดินแดนอันลึกลับ

ฮั๊วจงหยางได้พูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก ดูเหมือนว่าจะมีอะไรตามรถม้าของเรามาด้วย”

“หืม?”

สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่อีกสามได้หันไปยังทิศทางที่ฮั๊วจงหยางได้ชี้ไป

มันเป็นรถม้าลอยฟ้าคันเล็กๆ ที่มีสีดำทั้งคัน มันเป็นรถม้าที่อยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่สองต้น

“มีคนอยู่รอบๆ เราด้วยอย่างงั้นหรอ?” ไป่ยู่ชิงได้พูดออกมาอย่างสับสน

“ท่านเจ้าสำนัก คนพวกนี้จะโอหังเกินไปแล้ว! อนุญาตให้ข้าไปจัดการพวกมันด้วยเถอะ!” ดี่ชิงพูดออกมาด้วยความเดือดดาล

ยู่เฉิงไห่ยังรู้สึกโกรธตัวเองอยู่ ตัวเขาได้พูดออกมา “เดินหน้าต่อไป”

“เอ๊ะ? อะไรกัน?” ไป่ยู่ชิงได้เห็นพลังที่แปลกประหลาดออกไป มันเป็นพลังที่เต็มไปด้วยพลังมงคล

ยู่เฉิงไห่เหลือบมองไปที่มันก่อนที่จะหันไปยังท้ายรถม้าแทน

โดยปกติแล้วผู้ที่มีพลังวรยุทธลึกล้ำมักจะมีสายตาที่เฉียบคมเพิ่มขึ้นมา เพียงแวบเดียวเท่านั้นยู่เฉิงไห่ก็มองเห็นร่างของใครบางคนที่คุ้นเคย แม้ว่าร่างกายที่เห็นจะดูเหี่ยวเฉาไร้เรี่ยวแรง แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังดูเป็นสง่าคุ้นตาตัวเขาเป็นอย่างมาก เมื่อได้เห็นแบบนั้นยู่เฉิงไห่ก็ได้ไอขึ้นมา

สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ไม่ได้มองไปยังพลังมงคล พวกเขารีบหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลก่อนที่จะพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ท่านเจ้าสำนัก”

“ไม่เป็นไร…ไปซะ!”

“ฮะ?”

“กลับด้วยความเร็วสูงสุดซะ”

ฮั๊วจงหยางเห็นสีหน้าของเจ้าสำนักที่กำลังไอดี ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นก็คิดว่ายู่เฉิงไห่อาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้มา ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงรีบรับคำสั่ง “ทำตามคำสั่งซะ เดินหน้ากลับอย่างเต็มอัตรา!”

รถม้าลอยฟ้าได้เร่งความเร็วในขณะที่มันยังส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา

ที่ใกล้ๆ กับป่าเมฆากระจ่าง ในตอนนี้รถม้าลอยฟ้าของวิหารปีศาจได้กระเด็นถอยกลับไปหลายไมล์หลังจากที่ถูกพลังลูกหลงที่ยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงเข้าปะทะกัน รถม้าคันนั้นได้รับความเสียหายหนักจนเกินไปจนในที่สุดมันก็ร่วงหล่นลงพื้น

“ได้โปรดอภัยให้กับข้าด้วยที่ไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้ ท่านผู้อาวุโส!” ใบหน้าของต้วนชิงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ตัวเขากำลังโค้งคำนับลู่โจวอย่างรวดเร็ว

ลู่โจวเหลือบมองไปที่เวลาคูลดาวน์ที่เหลืออยู่ ในตอนนี้เหลือเวลาอีก 15 นาที…

15 นาทีถือว่าเป็นเวลาหนึ่งในสี่ของหนึ่งชั่วโมง

ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นและเฝ้ารอมากเท่าไหร่ เวลาก็จะยิ่งผ่านพ้นไปได้เชื่องช้ามากยิ่งขึ้น สำหรับลู่โจวในตอนนี้ตัวเขารู้สึกว่าทุกวินาทียาวนานเหมือนกับเป็นปี!

ในตอนที่ต้วนชิงกำลังขอโทษอยู่ ในตอนนั้นลูกหน้องคนหนึ่งก็ได้ชี้ไปยังรถม้าลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่กำลังบินผ่านมา “ท่านผู้อาวุโส นั่นมันรถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวย์จี!”

ลู่โจวกำลังหมกมุ่นอยู่กับระบบที่ตัวเขามี เมื่อตัวเขาได้ยินแบบนั้นลู่โจวก็ได้หันไปมองในทันที

รถม้าลอยฟ้าขนาดใหญ่ได้เร่งไปไกลแล้ว ในตอนนี้เหลือเวลาอีก 10 นาทีด้วยกัน ถ้าหากเป็นแบบนี้ตัวเขาก็คงจะต้องเลือก ทางด้านยู่ฉางตง ศิษย์คนนี้กำลังอยู่กับสีวู่หยาศิษย์อีกคน นอกจากนี้พวกเขาทั้งคู่ยังไม่มีผู้คุ้มกันอย่างสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่อีกด้วย และทั้งคู่ก็ยังไม่มีตัวช่วยในการหนี

หลังจากการผ่านการต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนี้มา ลู่โจวก็ได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าทั้งสองคนจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ตัวเขามั่นใจว่าแม้แต่สีวู่หยาเองก็ยังได้รับบาดเจ็บเช่นกัน เมื่อเวลาคูลดาวน์การ์ดวิเศษของเขาจบลง เมื่อถึงตอนนั้นก็ได้เวลาสั่งสอนลูกศิษย์ทรยศทั้งหลายแล้ว

ยู่ฉางตงได้มองไปที่สีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมา “หลังจากการต่อสู้นี้ข้าจะแยกตัวไปอยู่อย่างสันโดษ…ศิษย์น้องวู่หยา เจ้าเองก็ควรจะไปได้แล้ว

สีวู่หยาที่ได้ยินแบบนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องราว ตัวเขาได้ถามกลับมา “ท่านเคยคิดถึงสิ่งที่กำลังจะทำไหม?”

ยู่ฉางตงได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ภายใต้ผืนฟ้าแห่งนี้ แม้ว่าเป็นเจ้าก็ยังไม่อาจเข้าใจสิ่งที่ข้าคิดได้ ศิษย์น้องเจ็ดสีวู่หยา ความคิดของข้าน่ะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เจ้าเองก็ควรจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ต้องนานแล้วนะ”

หลังจากที่การต่อสู้จบ ยู่ฉางตงดูเหมือนว่าจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้ ตัวเขาไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับโลกใบนี้อีกต่อไป “แล้วข้าควรจะพูดกับศิษย์พี่ใหญ่ว่ายังไงดี?” สีวู่หยาได้ถามออกมา

“ในตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ผู้แพ้ผู้ชนะน่ะถูกตัดสินออกมาแล้ว เขาคงไม่คิดที่จะประลองกับข้าอีกครั้งแน่” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาอย่างเย็นชา

สีวู่หยาที่เห็นสีหน้าของยู่ฉางตงได้พูดต่อ “ศิษย์พี่รอง ข้าน่ะสนับสนุนความคิดที่ท่านอยากจะอยู่อย่างสันโดษนะ แต่ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องตัดสัมพันธ์กันทุกคนแบบนั้นก็ได้นิ…บางที…”

ก่อนที่จะได้พูดจบ ในตอนนั้นยู่ฉางตงก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ไสหัวไป”

สีวู่หยาที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับตกตะลึง ตัวเขาไม่คาดคิดว่ายู่ฉางตงผู้ที่อ่อนโยนมาโดยตลอดจะพูดแบบนี้ออกมา สีวู่หยารีบปิดปากของตัวเอง ศิษย์พี่คนนี้ของเขาเป็นคนที่อ่อนโยนมาโดยตลอด เขาทั้งอ่อนน้อมถ่อมตนและยังสุภาพกับทุกๆ คน ตัวเขาไม่เคยได้ยินศิษย์พี่คนนี้ใช้คำว่า ‘ไสหัวไป’ มาก่อน

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็มีแต่ทำตามที่ยู่ฉางตงได้พูดมาเอาไว้เท่านั้น มีใครบ้างที่จะเข้าใจสิ่งที่ยู่ฉางตงต้องการทำมากกว่าตัวเขา? ไม่มี สีวู่หยาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมยู่ฉางตงได้ ตัวเขาได้คารวะให้กับผู้เป็นศิษย์พี่ก่อนที่จะเดินหายไปในป่า “ดูแลตัวเองด้วยศิษย์พี่”

ยู่ฉางตงยังไม่ได้จากไปไหน เมื่อแน่ใจแล้วว่าตัวเขาอยู่คนเดียว ยู่ฉางตงก็เดินโซเซไปข้างหลังก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา แม้ว่ายู่ฉางตงจะพยายามอย่างเต็มที่แล้วแต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ต้องยอมกระอักเลือดออกมาอยู่ดี ยู่ฉางตงไม่สามารถห้ามพลังลมปราณและเลือดที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายได้ ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้มาเช่นกัน

ยู่ฉางตงได้นั่งลงก่อนที่จะรีบเดินพลังลมปราณของตัวเอง ตัวเขาต้องปรับลมหายใจและทำสมาธิเพื่อหยุดพลังลมปราณและเลือดไม่ให้พลุ่งพล่าน เมื่อหายใจได้อย่างคนที่แล้วร่างกายของเขาก็กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง

ในตอนนั้นเอง

พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!

มีใครบางคนปรากฏตัวออกมาจากป่า ชายคนนั้นผมยาวสวมเสื้อคลุมสีขาวเอาไว้ ชายคนนั้นได้ถือดาบเอาไว้ในมือก่อนที่จะเดินเข้าใกล้ยู่ฉางตง

ยู่ฉางตงลืมตาขึ้นก่อนที่จะจ้องมองไปยังที่ที่เสียงดังมา

ใบไม้ได้ปกคลุมใบหน้าของผู้มาเยือนคนใหม่นี้ แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงก็ยังจดจำได้ว่าชายผู้ที่มีร่างกายผอมสูบคนนี้เป็นใคร

“ท่านดาบปีศาจ” ชายคนนั้นได้ก้าวไปข้างหน้า ตอนนี้ตัวเขากำลังเดินผ่านสนามการต่อสู้ที่ได้รับความเสียหายมา

ยู่ฉางตงได้จ้องมองไปยังผู้มาเยือนคนใหม่ ชายคนนั้นมีเคราบางๆ และยังสวมเสื้อคลุมปัก หลังจากที่เหลือบมองไปยู่ฉางตงก็ไม่ได้สนใจอะไรชายผู้มาเยือนคนใหม่อีกต่อไป

ชายวัยกลางคนไม่ได้รู้สึกโกรธหรือน้อยใจอะไร ตัวเขาได้กำหมัดของตัวเองก่อนที่จะคารวะให้กับยู่ฉางตงอย่างเยือกเย็น “ลั่วฉางชิงแห่งสำนักหยุนขอทักทายท่านดาบปีศาจ”

ผู้มาเยือนคนนี้ก็คือน้องชายของนักบุญแห่งดาบ ตัวเขาเป็นหนึ่งในสามผู้คลั่งไคล้แห่งดาบ ลั่วฉางชิงแห่งสำนักหยุน ชายคนนี้ยังถือได้ว่าเป็นผู้ใช้ดาบอัจฉริยะที่หาได้ยาก ยู่ฉางตงไม่ได้สนใจอะไรเขา ตัวเขาสะบัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของตัวเองก่อนที่จะเตรียมตัวเดินทางต่อไป

ลั่วฉางชิงพูดออกมา “นับตั้งแต่พี่ชายของข้านักบุญแห่งดาบลั้วฉีซานได้ต่อสู้กับท่าน เขาก็ไม่มีวันลืมเรื่องการต่อสู้ได้เลย ที่ข้ามาวันนี้ข้าตั้งใจที่จะท้าประลองกับท่าน ท่านดาบปีศาจ”

ยู่ฉางตงหยุดเดินอย่างกะทันหัน “ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ผิดหวัง แต่เจ้าน่ะยังอ่อนแอเกินไป” เมื่อประเมินพลังของฝ่ายตรงข้ามแลัวตัวเขาก็ได้พูดต่อ “ช่างน่าเบื่อซะจริง”

ยู่ฉางตงได้พูดคำเดียวกันกับที่พูดกับนักบุญแห่งดาบลั่วฉีซาจไป มันไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย ยู่ฉางตงไม่ได้เป็นคนโง่เขลาแต่อย่างใด การที่ผู้มาเยือนคนใหม่จะแสดงตัวในตอนนี้ได้ เขาคนนั้นจะต้องไม่มีเจตนาที่จะมาขอท้าประลองแน่ ผู้มาเยือนคนนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากความน่ารังเกียจและความไร้ยางอายที่อาศัยความได้เปรียบจากสถานการณ์เท่านั้น

ลั่วฉางชิงได้พูดออกมาอย่างชอบธรรม “ถ้าหากผู้ที่อ่อนแออย่างข้ากล้าที่จะท้าทายยอดฝีมือ ข้าก็จะไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแออีกต่อไป ยอดฝีมือที่ไม่ทำอะไรเลยและวิ่งหนีผู้ที่อ่อนแอน่ะคือผู้ที่อ่อนแอที่แท้จริงต่างหาก”

ยู่ฉางตงได้พูดตอบกลับมา “ลืมมันไปซะเถอะ” ตัวเขาได้หันกลับมาอย่างช้าๆ เพื่อกลับมาเผชิญหน้ากับลั่วฉางชิง “หนึ่งเดือนต่อจากนี้ที่สำนักหยุน แท่นบูชาแห่งดาบ ข้าจะไปหาเจ้าเอง”

“ข้าต้องขออภัยด้วย…ไม่จำเป็นจะต้องรอถึง 1 เดือนหรอก”

ชิ๊ง!

ลั่วฉางชิงได้ชักดาบออกมาจากฝักดาบมือทั้งสองข้าง ในตอนนั้นเองดาบของเขาก็ได้แบ่งตัวเองออก จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ และจากที่เป็นแปด… ดาบพลังงานนับร้อยได้ลอยอยู่บนอากาศ “ณ ตอนนี้ที่ป่าเมฆากระจ่างข้าลั่วฉางชิงจะขอจบชีวิตของเจ้านี่ที่เอง” ลั่วฉางชิงกระทืบเท้าของตัวเองอย่างเต็มพลังก่อนที่จะกระโดดลอยขึ้นไปบนอากาศ

ในตอนนั้นดาบพลังงานทั้งหมดก็กลับมาบรรจบกันก่อนที่จะพุ่งเข้าหายู่ฉางตงไป

ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ ยู่ฉางตงมีหลายพันวิธีที่จะรับมือกับการโจมตีนี้ แต่ในตอนนี้ตัวเขาได้แต่ชักดาบอายุยืนออกมาเท่านั้น ยู่ฉางตงได้รวบรวมพลังลมปราณที่เหลืออยู่ไปที่ดาบของตน ใบดาบได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนที่มันจะสั่นตัวเองไม่หยุด ยู่ฉางตงได้ตวัดดาบไปที่ด้านหน้าอย่างเด็ดขาดและงดงาม

ตู๊ม!

ทันทีที่ดาบของทั้งสองเข้าปะทะกัน ดาบพลังงานของลั่วฉางชิงก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไป

อาวุธของทั้งสองเข้าปะทะกัน ในตอนนั้นยู่ฉางตงก็ถอยหลังกลับไปหลายก้าว ลั่วฉางชิงเองก็ตีลังกากลับก่อนที่จะร่วงลงสู่พื้น ลั่วฉางชิงไม่ได้เปรียบจากการโจมตีในครั้งนี้เลย แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็มองเห็นความหวัง…ยู่ฉางตงในตอนนี้กระเด็นถอยกลับไปหลายก้าวด้วยกัน นี่เป็นสิ่งที่ตัวเขาไม่เคยคาดคิดที่จะได้เห็น แต่ในตอนนี้ลั่วฉางชิงสามารถทำได้แล้ว ตัวเขารู้สึกมีความสุขมาก ถ้าหากตัวเขาสามารถเอาชีวิตของยู่ฉางตงได้สำเร็จชื่อเสียงของลั่วฉางชิงจะต้องดังไปทั่วยุทธภพแน่

“ดาบปีศาจ…ในตอนนี้เจ้าคิดว่าใครเป็นผู้อ่อนแอกันแน่?”

ยู่ฉางตงจับดาบยืนยาวเอาไว้แน่น ตัวเขาพยายามวัดพลังลมปราณที่เหลือในร่างกายของตัวเอง

“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ? แสดงให้ข้าเห็นทีเถอะ วิชาดาบหนึ่งร่างสามวิญญาณของเจ้าน่ะ…” ลั่วฉางชิงไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้ ตัวเขารู้สึกอิ่มเอมใจกับชัยชนะที่กำลังใกล้เข้ามามาก ในตอนนี้ตัวเขากำลังสั่นไปทั้งตัวรวมไปถึงดาบด้วยความตื่นเต้น

ริมฝีปากของยู่ฉางตงได้โค้งงอขึ้นมาด้วยรอยยิ้มจางๆ

ในตอนนั้นเองมีพลังมงคลปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า วิซซาร์ดกำลังบินมาหาพวกเขาทั้งคู่