ตอนที่ 400 เรื่องดีๆ ที่ได้รับโดยไม่ต้องเปลืองแรง (6)
แต่ว่า แม้จะอุทาน แต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดอะไร
พูดอะไรได้เล่า การที่มารดาบุญธรรมให้ของล้ำค่ากับบุตรี ไม่มีอะไรเกินงาม
ยิ่งไปกว่านั้น ฐานันดรศักดิ์ของมั่วเชียนเสวี่ยตระหง่านเช่นนั้น นอกจากมงกุฎหงส์ของฮองเฮาแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยคู่ควรที่จะสวมของล้ำค่าทุกอย่าง
จย่าฮูหยินหยิบปิ่นขึ้นมาแล้วปักลงบนผมของมั่วเชียนเสวี่ย สุดท้ายใช้เชือกสีแดงมัดผมด้านล่างที่ยุ่งเหยิงขึ้น พิธีปักปิ่นถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว
หลังจากม้วนผมเสร็จ ขอบตาของมั่วเหนียงแดงเล็กน้อยด้วยความตื้นตันใจ ร้องตะโกนเสียงดัง “เสร็จสิ้นพิธี”
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยคำนับอีกครั้ง จย่าฮูหยินก็พยุงนางลุกขึ้นด้วยความรักใคร่
“เด็กดี พิธีปักปิ่นเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น วันข้างหน้าตบแต่งเข้าตระกูลสามี ต้องเชื่อฟังและกตัญญูต่อพ่อแม่สามี เคารพและรักสามี เข้าใจหรือไม่”
“เชียนเสวี่ยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณมารดาบุญธรรมยิ่งนัก”
มั่วเชียนเสวี่ยถ่อมตนอย่างมาก ตลอดพิธีถือว่าราบรื่น
เสียงร้องดังขึ้นจากที่ไกลๆ “หัวหน้าตระกูลหนิงมาแล้ว!”
พิธีเงียบสงัดไปชั่วขณะ
วันนี้หนิงเซ่าชิงสวมเสื้อคลุมสีฟ้า แขนเสื้อและขอบเสื้อ ถักร้อยด้วยมวยเมฆสีขาว ทำให้เขา ดูหล่อเหลามากยิ่งกว่าเดิม!
ตลอดทางที่เขาเดินมา หนิงเซ่าชิงต้องพยักหน้าให้คนจำนวนไม่น้อย
แต่ว่า แค่พยักหน้าทักทายเท่านั้น ไม่มีใครกล้าดึงตัวหัวหน้าตระกูลหนิงมาเสวนาด้วย
ใช้เวลาไม่นาน หนิงเซ่าชิงก็ยืนอยู่ตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ยแล้ว
เขามองมั่วเชียนเสวี่ยปราดหนึ่ง สุดท้ายสายตาของเขาเขาจับจ้องไปยังจย่าฮูหยินผู้ทำพิธีปักปิ่นให้มั่วเชียนเสวี่ย สำหรับจย่าฮูหยิน ผู้ที่ทำพิธีปักปิ่นให้เสวี่ยเอ๋อร์ของเขา หนิงเซ่าชิงให้ความเคารพมากเป็นพิเศษ
พยักหน้าโค้งตัว ทักทายเสียงเบา “เซ่าชิงน้อมทำความเคารพจย่าฮูหยิน”
สำหรับการกระทำของเขา จย่าฮูหยินแปลกใจเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าไม่มีเรื่องอะไรของนางแล้ว เพราะคนในตระกูลขุนนางใหญ่ล้วนเป็นคนทะนงตน นางเป็นเพียงฮูหยิน จะรับการคำนับของหัวหน้าตระกูลขุนนางใหญ่ได้อย่างไร
แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นอาวุโส ประสบการณ์ในชีวิตของนางย่อมมีมากกว่าพวกเขา! ดังนั้นนางจึงชะงักครู่หนึ่ง เข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ด้านความรู้สึก ถือว่านางอาศัยใบบุญของบุตรีบุญธรรมแล้ว!
จย่าฮูหยินไม่ใช่คนที่ไม่รู้มารยาท นางทำความเคารพกลับ หลังจากพูดคุยกับหนิงเซ่าชิงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นางก็อ้างเหตุผลอย่างชาญฉลาดว่าจะไปช่วยมั่วเชียนเสวี่ยต้อนรับแขกเรื่อ แล้วถอยออกไป
อาจจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากพิธีปักปิ่น เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยตื่นเต้นเล็กน้อย!
นางเป็นคนยุคปัจจุบัน ไม่มีความคิดโบราณเป็นทุนเดิม แต่เวลานี้ นางกลับมีความตื่นเต้นราวกับเป็นสาวน้อย! บางทีอาจจะเป็นเพราะคำพูดของจย่าฮูหยินเมื่อครู่ บอกว่านับจากวันนี้นางเป็นผู้ใหญ่แล้ว วันข้างหน้าต้องกตัญญูและเชื่อฟังพ่อแม่สามี รักและเคารพสามี…
สามี…สองคำนี้ทำให้นางคิดถึงคำพูดขำขันในยุคปัจจุบัน สามี สามี เป็นสามีในระยะหนึ่งจ้างเท่านั้น…
เวลานี้ ระหว่างนางกับหนิงเซ่าชิง คล้ายว่าอยู่ห่างกันหนึ่งจ้างพอดี
ดวงแก้มของมั่วเชียนเสวี่ยแดงระเรื่อเล็กน้อย
แม้ปกตินางจะเป็นคนตรงไปตรงมา ร่าเริงเป็นพิเศษ แต่นั่นก็เป็นแค่ตอนคนน้อยๆ เท่านั้น เวลานี้มีคนมองอยู่มากมาย นางรู้สึกเขินอายไม่มากก็น้อย!
จย่าฮูหยินเดินจากไป หนิงเซ่าชิงเดินมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น
“ผู้หญิงของข้า…ในที่สุดก็โตแล้ว!” น้ำเสียงของเขาไม่เพียงมีชีวิตชีวา ทั้งยังเคล้าไปด้วยความยั่วยวน ไม่เข้ากับท่าทีอ่อนโยนและสุขุมของหนิงเซ่าชิงในยามปกติ
ข้างหูมั่วเชียนเสวี่ยมีเสียงของหนิงเซ่าชิงดังขึ้น น้ำเสียงเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข นางเงยหน้าขึ้นด้วยความเคยชิน สบตากับดวงตาทอประกายราวกับดวงดาวของหนิงเซ่าชิง ดวงตาของเขาทอประกายระยิบระยับ เคล้าไปด้วยความอ่อนโยนและทนรอไม่ไหว!
ดวงแก้มของนางแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม!
แววตาของหนิงเซ่าชิง ราวกับหมาป่าหิวโซ! คาดว่าหากไม่ใช่เพราะที่นี่เต็มไปด้วยผู้คน เขาคงฉีกนางแล้วกลืนกินลงไปแล้วกระมัง
เพราะบางครั้ง ไม่เพียงแค่หนิงเซ่าชิงเท่านั้นที่อยากจะกินนาง แม้แต่ตัวนางเอง ก็อดไม่ได้อยากจะกินเขาอยู่หลายครั้ง!
ความปรารถนาในอาหารและความใคร่ในกามล้วนมิต่าง คนโบราณไม่ได้หลอกลวงกันจริงๆ…
คนในงาน ต่างจับจ้องว่าที่เจ้าบ่าวและว่าที่เจ้าสาว มีทั้งสายตาดีใจ มีทั้งสายตาเย้ยหยัน มีทั้งสายตาไม่สบอารมณ์ แน่นอนว่าย่อมมีสายตาหลงใหลหนิงเซ่าชิงด้วย!
คนอย่างหนิงเซ่าชิง ผู้ใดบ้างที่จะไม่หวั่นไหว
มากไปกว่านั้นมีคนอยากจะให้มั่วเชียนเสวี่ยอับอายขายหน้า ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือองค์หญิงอวี้เหอ
ตอนที่นางเห็นหนิงเซ่าชิงและมั่วเชียนเสวี่ยมองตากันด้วยความรักใคร่ นางก็คับแค้นใจจนขยี้ผ้าเช็ดหน้าราวกับผ้าเช็ดหน้าเป็นมั่วเชียนเสวี่ยอย่างไรอย่างนั้น รุนแรงจนไม่อาจทนดูได้!
ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้ตอบกันโดยไร้ซึ่งเสียง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างไม่ได้จังหวะ
“ไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลหนิงมาในครั้งนี้ ให้ของขวัญอะไรกับคุณหนูมั่ว คาดว่าผู้ที่ฐานะร่ำรวยเยี่ยงหัวหน้าตระกูลหนิง ของขวัญต้องล้ำค่ามากแน่นอน ให้พวกเราเปิดโลกหน่อยได้หรือไม่” เสียงนี้ฟังดูแล้วเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ
ทว่า ไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่านางไม่พอใจ เพราะคนที่พูดประโยคนี้คือองค์หญิง
มากไปกว่านั้น ถ้อยคำนี้พุ่งเป้าไปที่หัวหน้าตระกูลหนิง ต้องการที่จะทำให้คุณหนูใหญ่มั่วอับอาย คนในพิธีไม่ได้โง่เขลา จะฟังไม่ออกได้อย่างไร
ถ้อยคำนี้ ไม่ว่าผู้ใดพูด ล้วนเสียมารยาท! แต่ว่าเมื่อองค์หญิงอวี้เหอเป็นคนพูดก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิง!
เพราะถึงอย่างไร นางก็เป็นองค์หญิง ทั้งยังเป็นคนของราชวงศ์ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็มีเหตุผล แม้จะเป็นหัวหน้าตระกูลขุนนางใหญ่ ก็ต้องให้เกียรติไม่ใช่หรือ
คนส่วนมาก ล้วนดูความครึกครื้น ทั้งยังรอดูเรื่องครึกครื้นของมั่วเชียนเสวี่ย!
พวกนางคิดเช่นเดียวกับองค์หญิงอวี้เหอ! คิดว่าการที่หนิงเซ่าชิงมาถือเป็นการให้เกียรติมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ยังจะเอาของขวัญมาให้อีกหรือ มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่านางเป็นใคร
ที่คล้อยตามเช่นนี้ แค่เพราะอยากจะฉวยโอกาสนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยอับอายก็เท่านั้น! สตรีส่วนมาก ล้วนอยากจะไต่เต้าให้สูงขึ้น เมื่อเห็นฐานันดรศักดิ์ของหนิงเซ่าชิง ทั้งยังเป็นบุรุษผู้อ่อนโยน เพียงครู่หนึ่งก็ตกหลุมรักขึ้นมาทันที
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้คิดมาก นางไม่ใช่คนโง่เขลา จะยอมปล่อยให้องค์หญิงอวี้เหอจูงจมูกนางเดินหรือ หนิงเซ่าชิงเป็นสามีของนาง เป็นของนางแล้ว สิ่งที่เขาให้ตน เหตุใดต้องเอาให้คนน่ารังเกียจพวกนี้ดูด้วย
“ถ้อยคำนี้…”
มั่วเชียนเสวี่ยอยากจะปฏิเสธ แต่หนิงเซ่าชิงกลับยกมือขึ้นปรามนาง
หนิงเซ่าชิงเก็บความอ่อนโยนเมื่อครู่ เวลานี้สีหน้าของเขาเย็นชา “ในเมื่อองค์หญิงอวี้เหออยากจะดู เช่นนั้นเซ่าชิงให้ความเคารพไม่สู้ทำตามคำสั่ง! แค่ว่าเป็นของขวัญธรรมดาเท่านั้น หวังว่าจะไม่ทำให้ดวงตาขององค์หญิงอวี้เหอแปดเปื้อน”
พูดจบ เขาสั่งบ่าวรับใช้ที่ติดตามอยู่ข้างกาย เห็นบ่าวรับใช้รีบเปิดกล่องในมือ เอาให้ทุกคนในพิธีดู!
คนในห้องโถงไม่ทันสังเกตเห็นบ่าวรับใช้ผู้ติดตามหนิงเซ่าชิงจริงๆ! ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าหนิงเซ่าชิงมามือเปล่า ไม่ได้เอาของขวัญมาให้มั่วเชียนเสวี่ย! โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดเหล่านี้กำลังย้อนกลับมาตบปากตนเอง!
—————————–