ตอนที่ 363 รับเป็นกรณีพิเศษ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 363 รับเป็นกรณีพิเศษ

หลังจากหงซิ่วเหมยสมัครงานเสร็จ หลินม่ายก็สัมภาษณ์ผู้พิการที่สามารถเดินเข้ามาด้วยตัวเองอีกสิบกว่าคน แล้วจึงถึงคราวของผู้พิการที่ไม่สามารถเดินเองได้บ้าง

ผู้พิการคนนี้เป็นเด็กสาวเช่นกัน ชื่อว่าเหยาเยี่ยน ดูเหมือนว่าจะอายุสิบหกสิบเจ็ดปี

ขาทั้งสองข้างหดลีบเหมือนกับขาของเด็กเจ็ดแปดขวบเพราะขยับไม่ได้เป็นเวลานาน ใครเห็นก็รู้สึกปวดใจ

แม้ว่าเสื้อผ้าของสองแม่ลูกจะมีรอยปะทั้งตัว แต่ก็ทำความสะอาดทุกตัวอย่างหมดจด

เหยาเยี่ยนได้ผู้เป็นแม่แบกเข้ามาสมัครงานที่สำนักงาน

หลินม่ายถามอย่างนุ่มนวล “เดินเองด้วยไม้ค้ำไม่ได้เหรอคะ?”

เหยาเยี่ยนก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ

แม่เหยาส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ช่วงล่างของหล่อนไม่มีความรู้สึกค่ะ เลยเดินไม่ได้”

หลินม่ายถาม “ถ้าเดินกับไม้ค้ำด้วยตัวเองไม่ได้ แล้วเข้าห้องน้ำยังไงคะ?”

เหยาเยี่ยนเอ่ยเสียงเบา ด้วยแววตาแน่วแน่ “ฉันสามารถทำงานโดยไม่เข้าห้องน้ำในเวลางานได้ค่ะ พอแม่ฉันมารับตอนเลิกงานค่อยเข้าห้องน้ำก็ได้ ฉันรับประกันว่าจะไม่กระทบต่องานอย่างแน่นอน และจะไม่ก่อความยุ่งยากให้ใครด้วยค่ะ”

หลินม่ายยิ้มอย่างเป็นมิตร “ถ้าไม่ดื่มน้ำเลยตลอดทั้งวัน จะไม่ดีต่อสุขภาพนะ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือคนเรามักจะมีตอนที่ท้องไส้ปั่นป่วนอยู่บ่อยๆ บางทีคุณอาจท้องไส้ปั่นป่วนในเวลางานก็ได้ ซึ่งแม่ของคุณก็ไม่อยู่ข้างๆ แล้วใครจะดูแลพาคุณไปเข้าห้องน้ำล่ะคะ? ผู้พิการที่มาทำงานกับฉันที่นี่จำเป็นต้องดูแลตัวเองในการใช้ชีวิตได้”

เธอส่ายหน้าอย่างใจร้าย “ฉันไม่สามารถรับคุณเข้าทำงานด้วยสภาพเช่นนี้ได้ค่ะ”

เหยาเยี่ยนได้ยินคำนั้น ก็เสียใจจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา

แม่เหยาเองก็รู้สึกแย่มากเช่นนั้น แต่กลับทำได้เพียงยอมรับความจริง

ขอบตาของหล่อนแดงก่ำ ก้มหน้าลงพูดกับลูกสาว “พวกเรากลับกันเถอะ” พูดจบ ก็กำลังจะแบกเหยาเยี่ยนขึ้นหลัง

แต่เหยาเยี่ยนกลับคว้ามุมโต๊ะทำงานของหลินม่ายเอาไว้ พูดขึ้นว่า “ในประกาศรับสมัครงานของคุณก็ระบุไว้ว่าต้องการผู้พิการที่มีความคล่องแคล่วชำนาญไม่ใช่เหรอคะ? ฉันก็คล่องแคล่วมีฝีมือ สามารถใช้กระดาษทำเป็นดอกไม้ได้มากมาย”

หลินม่ายนึกสะกิดใจ หากหล่อนสามารถทำดอกไม้ด้วยกระดาษได้ บางทีอาจสามารถทำดอกไม้ด้วยเศษผ้าได้

เมื่อเป็นอย่างนั้นจริง ก็สามารถพิจารณารับเธอเข้าทำงานเป็นกรณีพิเศษได้

หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “อย่างนั้นคุณสามารถใช้เศษผ้าทำเป็นดอกไม้ได้ไหมคะ?”

ในยุคนี้ ครอบครัวส่วนใหญ่ยังยากจนแร้นแค้น นับประสาอะไรกับครอบครัวที่มีคนพิการอย่างเหยาเยี่ยนที่ยากจนยิ่งกว่า

ในบ้านแม้แต่เศษผ้าขนาดเท่าฝ่ามือทารกก็ยังไม่กล้าทิ้ง ยังเอามาต่อรวมกัน เย็บเป็นกระเป๋าหนังสือเล็กๆ หรือผ้ากันเปื้อนสำหรับกินข้าวให้เด็ก ไม่ว่าอย่างไรก็ให้เสียเปล่าไม่ได้

ดังนั้นเหยาเยี่ยนจึงยังไม่เคยใช้เศษผ้าทำดอกไม้มาก่อน

หล่อนลังเลเล็กน้อย “ฉันยืนยันไม่ได้ แต่ฉันอยากลองดูค่ะ”

ในกระเป๋าของหลินม่ายมีเศษผ้าอยู่ไม่น้อย ซึ่งเตรียมไว้สำหรับเหล่าผู้สมัครที่ต้องการแสดงฝีมือของตัวเอง

เธอหยิบเศษผ้าสามสี่ชิ้นออกมาให้เหยาเยี่ยน

เหยาเยี่ยนหยิบเศษผ้าขึ้นมาชิ้นหนึ่ง บิดไปบิดมาอยู่สามสี่ทีก็ออกมาเป็นดอกกุหลาบบานดอกหนึ่ง ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินม่ายเลย

หล่อนขอยืมกรรไกรและเข็มกับด้ายจากหลินม่ายอีกครั้ง แล้วทำดอกไม้หกกลีบออกมาอีกหลายแบบ

เมื่อทำเสร็จแล้วก็มองไปที่หลินม่ายอย่างคาดหวัง

หลินม่ายถือดอกไม้พวกนั้นที่เธอทำเอาไว้ แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ทำได้ไม่เลวเลยค่ะ แต่ว่าฉันคงไม่สามารถรับคุณมาทำงานที่โรงงานได้”

เหยาเยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็ร้องไห้ออกมา “เป็นเพราะฉันไม่สามารถดูแลตัวเองได้เหรอคะ?”

หลินม่ายพยักหน้า

สีหน้าของเหยาเยี่ยนเต็มไปด้วยความอ้างว้างและสิ้นหวัง

“ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สามารถรับคุณเข้าทำงานที่โรงงานได้ แต่คุณสามารถรับงานกลับไปทำที่บ้านได้นะคะ ถ้าเป็นแบบนี้คุณก็สามารถหาเงินได้ด้วย และสะดวกกับแม่ของคุณในการดูแลคุณด้วย”

ทันทีที่สองแม่ลูกได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นเต้นดีใจแทบไม่ไหว

ดวงตาทั้งสองของเหยาเยี่ยนเป็นประกาย “ฉันจะตั้งใจทำให้ดีแน่นอนค่ะ!”

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าคุณไม่ตั้งใจทำ แล้วทำดอกไม้ที่คุณภาพไม่ได้มาตรฐานมา ฉันก็จะไม่รับไว้ นอกจากนี้ก็จะยุติความร่วมมือกันด้วยค่ะ”

แม้ว่าเธอจะอยากให้ความช่วยเหลือแก้ผู้พิการที่มีความสามารถมาก แต่ในเรื่องการทำงาน เธอจะผ่อนปรนเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้พิการไม่ได้

ในทางกลับกัน เธอจะปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนคนทั่วไป

ตอนที่หลินม่ายดำเนินการรับสมัครพนักงานนั้น ฟางเว่ยกั๋วก็กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานและโทรศัพท์หาฟางจั๋วหรานด้วยสีหน้าบึ้งตึง

เมื่อครู่นี้ที่เขาเพิ่งจะมาทำงาน พ่อซูก็โทรศัพท์มาทันที

พ่อซูตะคอกเสียงกรอกสายใส่เขาอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์อะไรทั้งสิ้น ว่าฟางจั๋วหรานมาตักเตือนลูกสาวเขาถึงที่

เขาพูดอย่างเกรี้ยวกราดในโทรศัพท์ “จั๋วหรานมีคนที่เขาชอบอยู่แล้ว แต่พวกคุณกลับแนะนำเขาให้กับอิ๋งอิ๋ง พวกคุณมีเจตนาอะไรแอบแฝงกันแน่?”

ฟางเว่ยกั๋วถูกเขาด่าจนเลือดขึ้นหน้า แต่กลับไม่กล้าแก้ต่างให้ตัวเองแม้แต่คำเดียว

จะให้เขาแก้ตัวว่าอย่างไรล่ะ?

ในเมื่อเรื่องนี้พวกเขาสามีภรรยาเป็นฝ่ายคิดไม่ซื่อเอง

เพราะไม่พอใจที่หลินม่ายคบหากับฟางจั๋วหราน ก็เลยคิดจะใช้ประโยชน์จากซูอวี้อิ๋งไปทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง ซึ่งก็คือการหลอกใช้ซูอวี้อิ๋งนั่นเอง

แม้ว่าฟางเว่ยกั๋วจะขอโทษขอโพยกับพ่อซูเป็นการใหญ่ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ให้อภัยเขา

ฟางเว่ยกั๋วที่มีความโกรธเกรี้ยวอยู่เต็มอกจึงต้องระบายใส่ฟางจั๋วหราน

เจ้าลูกเนรคุณคนนี้ ตกปากรับคำอย่างดีว่าจะไปขอโทษซูอวี้อิ๋ง แต่กลับไปขู่กรรโชกหล่อนเสียนี่!

ต่อสายโทรศัพท์อยู่หลายครั้ง แต่คนที่รับสายกลับเป็นเพื่อนร่วมงานของฟางจั๋วหรานทุกครั้ง

ขณะที่ต่อสายไปเป็นครั้งที่เจ็ด ในที่สุดฟางจั๋วหรานก็รับสาย

ทันทีที่ฟางเว่ยกั๋วได้ยินเสียงของฟางจั๋วหราน ก็พูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำจริงๆ! เมื่อก่อนแกเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ตั้งแต่ไปคบกับผู้หญิงที่หย่ามาแล้วที่ชื่อม่ายจื่อนั่น ก็กลายเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือขนาดนี้! ไม่นึกเลยว่าจะหน้าไหว้หลังหลอก รับปากจะไปยอมรับผิดกับอิ๋งอิ๋ง แต่กลับโร่ไปก่อเรื่อง นี่แกอยากให้พวกเราตระกูลฟางกับตระกูลซูเป็นศัตรูกันใช่ไหมถึงจะมีความสุข?”

ฟางจั๋วหรานถามกลับอย่างเย็นชา “ผมไปรับปากตอนไหนว่าจะไปขอโทษซูอวี้อิ๋ง? ตอนนั้นที่ผมพูดคือ ผมจะไปหาพวกเขาเดี๋ยวนี้ ทำไมคุณถึงได้ยินเป็นว่าผมจะไปขอโทษซูอวี้อิ๋งได้ล่ะครับ? คุณอยากจะประจบสอพลอตระกูลซู นั่นมันก็เรื่องของคุณ ผมไม่จำเป็นต้องประจบตระกูลซูสักหน่อย แล้วทำไมผมต้องไปขอโทษขอโพยซูอวี้อิ๋งอย่างไม่เป็นธรรมด้วยล่ะ?”

ฟางเว่ยกั๋วนึกย้อนไปยังเหตุการณ์ตอนนั้นอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าเจ้าลูกเนรคุณจะไม่เคยพูดว่าจะไปขอโทษกับซูอวี้อิ๋งจริงๆ

ฟางจั๋วหรานพูดต่อในสาย “คุณกับหวังเหวินฟางหน้าเนื้อใจเสือที่สุดแท้ๆ เพื่อที่จะได้ตำแหน่งสูงขึ้น พวกคุณสองสามีภรรยาสมคบกัน บีบบังคับคลุมถุงชนผมกับซูอวี้อิ๋ง เอาชีวิตของผมมาเป็นบันไดขึ้นไปสู่ความก้าวหน้าของคุณ คุณยังกล้าพูดออกมาได้ว่าผมหน้าเนื้อใจเสือ อย่างคุณมันเรียกว่าผิดแล้วพาลไปทั่ว!”

พูดจบ เขาก็วางสายโทรศัพท์อย่างว่องไว

ฟางเว่ยกั๋วที่อีกฝั่งของสายเดือดดาลจนแทบลุกเป็นไฟ

เมื่อจัดการกับลูกเนรคุณไม่ได้ ฟางเว่ยกั๋วก็ได้แต่ขอความช่วยเหลือจากคุณปู่ฟาง

ที่บ้านคุณปู่ฟางไม่มีโทรศัพท์ ฟางเว่ยกั๋วจึงต่อสายไปหาผู้ว่าการเมืองซื่อเหม่ย

อ้างว่ามีเรื่องด่วนต้องคุยกับผู้อาวุโสฟาง ขอให้ผู้ว่าการส่งคนไปเชิญพ่อของเขามารับสายให้

คุณปู่ฟางเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุมาจากในเมือง ผู้ว่าการเมืองเล็กๆ คนหนึ่งจะไปกล้าเมินเฉยได้อย่างไร จึงรีบส่งคนไปเชิญคุณปู่ฟางมาทันที

คุณปู่ฟางนึกว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น จึงรีบมาอย่างเร่งร้อน

เมื่อได้ฟังฟางเว่ยกั๋วบ่นจากในสาย ว่าฟางจั๋วหรานไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แนะนำหลานสาวของคุณปู่ซูให้เขาก็ไม่เอา จะเลือกผู้หญิงที่ผ่านการหย่ามาแล้วอย่างหลินม่ายให้ได้ คุณปู่ฟางก็โกรธจนแทบระเบิดออกมา

ชายชราพลันคำรามผ่านสาย “จั๋วหรานกับม่ายจื่อรักกันด้วยใจจริง แล้วทำไมแกต้องไปแยกพวกเขาออกจากกันด้วย? นี่แกคิดจะใช้จั๋วหรานมาเป็นบันไดเพื่อไต่เต้าขึ้นตำแหน่งสูงๆ ใช่ไหม?”

ฟางเว่ยกั๋วที่อีกฝั่งของสายตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าพ่อของเขาจะตอบสนองเช่นนี้

เขาถามอย่างสับสน “พ่อกับลุงซูมีมิตรภาพลึกซึ้ง พ่อไม่อยากให้สองตระกูลรวมเป็นทองแผ่นเดียวกันงั้นเหรอครับ?”

คุณปู่ฟางพูดอย่างเย็นชา “ถึงฉันจะหวังอยากให้สองตระกูลเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่มันก็มีเงื่อนไข นั่นคือมันต้องไม่พัวพันถึงผลประโยชน์ และจั๋วหรานกับอิ๋งอิ๋งต้องรักกันด้วยใจจริง พวกเขาสองคนรักกันด้วยใจจริงจริงไหม? การแต่งงานนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับส่วนได้ส่วนเสียเลยงั้นเหรอ? เหล่าต้า ฉันจะบอกแกไว้ ถ้าแกกล้าใช้จั๋วหรานเป็นบันไดเพื่อจะปีนขึ้นไปอีก ก็คอยดูเถอะว่าฉันจะจัดการกับแกยังไง!”

ฟางเว่ยกั๋วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่ละความพยายาม “จั๋วหรานไปข่มขู่อิ๋งอิ๋งถึงหน้าที่พัก พ่อช่วยเกลี้ยกล่อมให้เขาไปยอมรับผิดหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นผมกลัวว่าความสัมพันธ์ของตระกูลฟางกับตระกูลซูจะร้าวฉานได้”

คุณปู่ฟางพูดอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย “ร้าวฉานก็ร้าวฉานไปสิ หลานสาวของไอ้แก่สกุลซูนั่นทำผิดที่ไปหาเรื่องม่ายจื่อต่างหาก ในฐานะที่เป็นแฟนของม่ายจื่อ จั๋วหรานก็ต้องออกหน้าให้หล่อนไม่ใช่หรือไง? ถ้าม่ายจื่อถูกใครกลั่นแกล้ง แล้วจั๋วหรานนิ่งดูดาย ฉันจะตีเขาให้ตายเลยคอยดูสิ!”

ฟางเว่ยกั๋วโกรธพ่อตัวเองแทบดิ้นตายเลยจริงๆ และได้แต่วางสายไป

เขานึกว่าเรื่องนี้จะจบลงแค่นี้

แต่กลับคาดไม่ถึงว่า คุณปู่ฟางจะเอาจุดประสงค์ที่ฟางเว่ยกั๋วโทรมาหากลับไปบอกคุณย่าฟาง

คุณย่าฟางได้ยินแล้วก็โมโหอย่างมาก นางวิ่งโร่ไปที่สำนักงานเมือง ขอยืมโทรศัพท์ของยามเฝ้าประตูโทรไปด่าฟางเว่ยกั๋วจนแทบหน้าหงาย

“นี่แกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า! เพราะไปล่วงเกินตระกูลซู จนกระทบต่อความก้าวหน้าของแกไม่ใช่เหรอ? แกถึงโทรมาบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องคุยกับพ่อแก พ่อแกอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว วิ่งไปจนแทบลมจับ แกรู้บ้างหรือเปล่า!”

ฟางเว่ยกั๋วพูดอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “เบื้องบนก็ไม่ได้ไม่ยอมติดตั้งโทรศัพท์ให้พ่อเสียหน่อย พ่อต่างหากที่ไม่เอาเอง”

เขาไม่เข้าใจพ่อแม่ของเขาเอาเสียเลย เบื้องบนให้สวัสดิการอะไรมาพวกเขาก็ไม่เอาสักอย่าง

ข้าราชการบำนาญบางคนยังกลัวว่าเบื้องบนจะให้สวัสดิการพวกเขาไม่พอ จนไปโวยวายกับเบื้องบนเลย

มีแต่พ่อแม่ของเขานี่แหละที่หยิ่งในเกียรติศักดิ์ศรีที่สุด!

คุณย่าฟางพูดอย่างเดือดดาล “ฉันกับพ่อแกจะเอาโทรศัพท์ไปทำอะไร? จะได้ฟังพวกพี่น้องของแกผลัดกันโทรมาหาพวกเรา ให้เราช่วยหนุนให้พวกแกได้เลื่อนตำแหน่งกันเรอะ? ฉันกับพ่อแกยังอยากใช้ชีวิตไปอีกหลายปี ไม่อยากถูกพวกแกมาก่อกวนจนอายุสั้นหรอก!”

หลังจากด่าลูกชายคนโตไปแล้วรอบหนึ่ง คุณย่าฟางก็รู้สึกเป็นห่วงหลินม่ายขึ้นมา

จึงโทรศัพท์ไปหาฟางจั๋วหรานอีกครั้ง ให้เขาปลอบขวัญหลินม่ายให้ดี อย่าทำให้เธอน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วจึงกลับบ้านไปด้วยความโกรธที่ยังหลงเหลืออยู่

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ทำงานที่บ้านก็ดีนะคะ คนละครึ่งทาง ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

แทนที่พ่อแม่จะช่วย ดันโดนพ่อแม่ด่ากลับมาอีก สมค่ะ

ไหหม่า(海馬)