ตอนที่ 393 ใช้เจียงอวี่เป็นตัวล่อ
หลังจากที่ส่งคนจากซินตูกลับไป ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของเจียงถง
อารมณ์ที่เคยกลับมาสดใสอีกครั้งของเจียงอวี่ ได้กลับสู่สภาวะเย็นชาและเยือกเย็นเหมือนเมื่อก่อน และเขาก็เลือกที่จะอยู่ห่างจากผู้คนอีกครั้ง เขาทำได้แค่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเมื่อไม่มีอะไรทำ และไม่ยอมพูดคุยกับใครทั้งนั้น
เขาทำเหมือนกับว่าเจียงถงไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่มีข่าวเกี่ยวกับเจียงถง แต่ในตงหยาง ฐานหลายแห่งที่อยู่ติดกันก็มีข่าวคนหายตัวไป และตอนนี้ซูเถาก็ได้รับโทรศัพท์จากเผยตงว่าพวกเขาได้พบชายคนหนึ่งที่ถูกถลกหนัง ศพนั้นถูกทิ้งอยู่ในปั๊มน้ำมันร้างนอกชานเมืองไม่ไกลจากตงหยาง
สิ่งที่ซูเถาไม่คาดคิดคือ หลังจากค้นพบตัวตนของศพชายคนนั้นแล้ว กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นผู้เช่าของเถาหยาง!
เธอเดาว่าเขาน่าจะถูกจี้และฆ่าระหว่างทางกลับบ้าน
เช้าวันนั้น ซูเถาพาครอบครัวของผู้เช่าไปที่ชานเมืองเพื่อทำการระบุอัตลักษณ์บุคคล
หลังจากยืนยันว่าถูกต้อง พ่อแม่และคู่หมั้นของผู้เช่าชายคนนั้นก็ทรุดตัวลงกับพื้น
ชายชราผมหงอกจ้องมองไปที่ศพเปื้อนเลือดที่อยู่ตรงหน้า เขาทำได้เพียงอ้าปากค้าง และไม่สามารถเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาได้
ซูเถาหันหน้าหนีทันที เธอรู้สึกว่าเส้นประสาทในหัวเหมือนจะกระตุกไม่หยุด
ถึงแม้จะไม่ได้ประทับใจผู้เช่ารายนี้มากนัก แต่เธอได้ยินจากเมิ่งเชียนว่าเขาเป็นคนที่มีน้ำใจ ในตอนที่ฟางจือต้องจัดการกับคำสั่งซื้อเสบียงมหาศาล ก็ได้เขาคนนี้เป็นคนช่วย
เผยตงกล่าวว่า “มันคือ ฮว่าผี”
ซูเถาพยักหน้าและเอ่ยถามเผยตงด้วยความยากลำบากว่า “เราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ? หรือทำได้แค่ปล่อยให้มันฆ่าผู้คนไปเรื่อย ๆ เหรอ”
เหตุการณ์นี้เหมือนย้อนกลับไปในตอนที่โบนวิงส์บุกตงหยางแล้วฆ่าคนไม่เลือกหน้า
ทำให้ผู้คนทั่วทุกพื้นที่ต้องตื่นตระหนก
ต่อหน้ามนุษย์ ซอมบี้กลายพันธุ์เหล่านี้ทำราวกับว่าพวกมันนั้นไร้ซึ่งพลัง
เผยตงส่ายหัว “ไม่ได้ ก่อนหน้านี้นักวิชาการเฉียวบอกฉันว่าอัตราการเติบโตของซอมบี้กลายพันธุ์นั้นรวดเร็วมาก และ ‘ฮว่าผี’ นี้น่าจะทรงพลังกว่าโบนวิงส์เสียอีก ทำไมเรื่องราวเหล่านี้ต้องมาเกิดตอนที่กัปตันสือไม่อยู่ด้วยนะ”
ซูเถาเองก็เครียดจนหัวจะระเบิดเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่แน่ชัดว่าเจียงถงเป็นซอมบี้ประเภทไหน แต่ก็ถือว่าในตงหยางและเถาหยางได้มีซอมบี้กลายพันธุ์รวมกันถึงสามตัว
มันไม่ควรมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะที่แห่งนี้หรือที่ใดบนโลกใบนี้ก็ตาม
ไม่รู้ว่าเจียงถงที่หายตัวไปแบบนี้เธอจากไปแล้วจริง ๆ หรือว่าเธอกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่
หากเธอถูกฮว่าผียุยงให้ฆ่ามนุษย์ได้สำเร็จ มันก็คงจะเป็นการนองเลือดที่มนุษย์ในวันสิ้นโลกนี้ต้องเผชิญอีกครั้ง
ในเวลานั้นตงหยางและเถาหยางจะต้องรับภาระหนัก
ซูเถารู้สึกปวดหัวเมื่อต้องคิดถึงเรื่องงนี้
“พี่รายงานเรื่องนี้ให้ทางฉางจิงรู้หรือยัง?”
“รายงานไปแล้ว ทางฉางจิงจะส่งอาสาสมัครมาที่นี่ น่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ในวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้ แต่ฉันก็ประเมินว่ามันคงไม่ได้ผลมากขนาดนั้น แม้ว่าจะจับตัวได้ แต่ก็ยังไม่สามารถฆ่ามันได้อย่างสมบูรณ์ เว้นแต่ว่าเราจะสามารถถอดรหัสพันธุกรรมของมันได้ เมื่อเราเจอกุญแจสำคัญเราก็จะได้คิดค้นยาเพื่อต่อต้านพวกมัน…” เผยตงตอบ
ยาเหรอ…
จู่ ๆ ซูเถาก็จำสิ่งที่เสิ่นเวิ่นเฉิงพูดได้
หากสามารถส่งซอมบี้กลายพันธุ์ให้พวกเขาเพื่อการวิจัยได้ พวกเขามีความมั่นใจอย่างมากในการค้นคว้ายาหรือวัคซีนป้องกัน…
แต่ใครจะเป็นคนจับล่ะ?
ฮว่าผีนั้นดุร้ายและเจ้าเล่ห์ ต่อให้จับได้ก็ปราบไม่ได้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะให้ความร่วมมือเพื่อผลิตยาให้กับมนุษย์
หรืออาจจะต้องเป็นเจียงถง….
หากเจียงถงยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์หรือความคิดถึงความรักของครอบครัว การใช้เจียงอวี่เป็นเหยื่อล่อ มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะเข้าห้องทดลองโดยสมัครใจโดยไม่ต้องใช้กองกำลังแม้แต่คนเดียว
เมื่อความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของซูเถา ร่างกายก็เหมือนถูกฟ้าผ่า
ไม่ได้
แม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นว่าเสิ่นเวิ่นเฉิงและคนอื่น ๆ ผ่าชิ้นส่วนกระดูกออกมาอย่างไร แต่เธอก็รู้ว่าการถูกปฏิบัติเหมือนเป็นวัตถุทดลองนั้นโหดร้ายมาก
หากเป็นฮว่าผี ซูเถาจะส่งไปที่โต๊ะชำแหละโดยไม่ลังเล แต่เธอไม่สามารถทำแบบนั้นกับเจียงถงได้
ซูเถาปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ครู่หนึ่ง
และดูเหมือนว่าตอนนี้ได้เธอได้เดินทางมาถึงทางแยกของถนนแล้ว ถนนทุกสายล้วนคับแคบและมืดมน ทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง
“เถาจื่อ?” เผยตงขมวดคิ้วและเรียกเธอ “ไม่สบายเหรอ? สีหน้าเธอไม่ค่อยดีนะ”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอตัวกลับก่อนนะ” ซูเถาโบกมืออย่างอ่อนแรง
เธออยากจะคิดเรื่องนี้เงียบ ๆ เพียงลำพัง
แต่กระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนค่ำ เธอก็ยังคิดไม่ออก
จากมุมมองของสถานการณ์โดยรวม หากเจียงถงไม่เสียสละ ก็จะมีมนุษย์ผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคนที่จะถูกทรมานและสังหารโดยซอมบี้กลายพันธุ์ในอนาคต
เพราะหากทิ้งเวลาไว้นานกว่านี้ จำนวนของซอมบี้กลายพันธุ์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็จะไม่มียาที่สามารถจัดการกับพวกมันได้
มนุษยชาติ…ก็จะล่มสลายอย่างเลวร้ายที่สุด
ซูเถาคิดเรื่องนี้ไม่ตก เธอบีบยาสีฟันลงบนฝ่ามือ จากนั้นก็ถูลงบนใบหน้าราวกับว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้า
สือจื่อจิ้นยืนพิงประตูแล้วถามว่า “จะถูจนเกิดฟองเลยไหม?”
ซูเถาเพิ่มแรงถูมากขึ้น ทว่ามันก็ยังไม่เกิดฟอง เธอก้มศีรษะลงและต้องการบีบ ‘โฟมล้าง หน้า’ เพิ่ม แต่ก็ตระหนักว่าสิ่งที่เธอหยิบมาใช้งานเมื่อครู่มันผิด
ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกว่าใบหน้าของเธอนั้นชาวาบ
กว่าซูเถาจะตั้งสติได้ก็ใช้เวลาสักพัก จากนั้นเธอก็ลดสายตาลงพร้อมกับล้างยาสีฟันบนใบหน้า และพูดอย่างเฉยเมย “คุณว่าอย่างไหนสำคัญกว่ากัน มโนธรรมหรือชีวิตมนุษย์”
การไม่เลือกเจียงถงเป็นตัวทดลองนั้นเป็นเพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเธอย้ำเตือนว่าฮว่าผีเป็นผู้กระทำความชั่วมากกว่าเจียงถง เธอคิดว่าควรเป็นฮว่าผีไม่ใช่เจียงถงที่ควรถูกหั่นชำแหละ
แต่เวลาคือชีวิตของมนุษย์ และถ้ายาถูกพัฒนาเร็วขึ้น 1 วัน ก็จะสามารถช่วยชีวิตผู้คนที่บาดเจ็บล้มตายได้เร็วขึ้น 1 วัน
“หากมนุษย์ต้องสูญสิ้นชีวิตไป แล้วมโนธรรมมันจะไปมีความหมายอะไร ผมขอแนะนำให้คุณนำตัวเจียงถงมาเป็นตัวทดลองโดยเร็วที่สุด เถาเถา หากคุณอยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น คุณก็ต้องเลือกที่จะโหดเหี้ยมบ้าง”
ซูเถาตกตะลึง “คุณรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว”
สือจื่อจิ้นพยักหน้า “เดาได้ไม่ยาก”
ซูเถาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ฉันไม่เคยอ่านหนังสือเลยตั้งแต่เด็ก ฉันไม่เคยได้เรียนรู้โลกอันกว้างใหญ่นี้ ฉันไม่รู้ว่าการเป็นสามัญชนหมายความว่ายังไง และฉันก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้จักการสละชีวิตเพื่อบางสิ่ง คุณครูไป๋สอนแต่ให้มีสติสัมปชัญญะ แต่ไม่เคยสอนการเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง ผู้บังคับบัญชา แม้แต่ผู้กอบกู้…”
เมื่อเธอได้รับระบบครั้งแรก เธอเพียงต้องการทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นเท่านั้น
จากนั้นเธอก็เริ่มคาดหวังให้ผู้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้น
แต่สุดท้ายภาระของเธอก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้เธอก็มีแต่ภาพอนาคตของมนุษยชาติ ที่มันวนเวียนอยู่ในสมองของเธอ
ความกดดันมีมากเกินไป
เมื่อสือจื่อจิ้นได้ยินสิ่งที่เธอพูด หัวใจของเขาก็อ่อนลง
ความจริงแล้วเธอเป็นหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่อายุไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอทำทุกวันนี้มันก็ถือว่ามากเกินกว่าที่หญิงสาวคนหนึ่งจะทำได้แล้ว
ซูเถาถูใบหน้าอย่างแรงเพื่อชำระล้างยาสีฟัน
“ฉันจะไปคุยกับเจียงอวี่”
เพื่อที่จะได้ตัดปัญหาที่ยุ่งเหยิงนี้โดยไว้ เธอจึงเรียกเจียงอวี่ให้มาหาที่ห้องทำงานในคืนนั้น แม้ว่าเธอเองจะยังทำใจไม่ได้ แต่ก็กัดฟันเพื่อพูดแผนการและเหตุผลที่จะล่อเจียงถงมา
หลังจากที่เธอพูดจบก็เบือนหน้านี้ ไม่กล้ามองปฏิกิริยาของเจียงอวี่
จริง ๆ เธอสามารถปิดบังเรื่องนี้กับเจียงอวี่ได้ และวางแผนปล่อยข่าวออกไปว่าเจียงอวี่ได้รับบาดเจ็บเพื่อล่อให้เจียงถงมาติดกับดัก
แต่เธอไม่อยากจะทำแบบนั้นกับเขา
บางครั้งความจริงก็โหดร้ายน้อยกว่าการโกหกหลอกลวง
หลังจากที่เจียงอวี่ฟังอย่างเงียบ ๆ เขาก็เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนออกมา
ร่างกายที่ซีดเซียวของเขากำลังสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
แต่รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับได้ยินเสียงร้องไห้ที่เสียดแทงหัวใจอย่างเจ็บปวด
และซูเถาเองก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาของเธอได้อีกต่อไป…