บทที่ 356 กล่าวโทษคนคนเดียว

Lucky baby คุณพ่อ ต้องพยายามจีบแม่

บทที่356 กล่าวโทษคนคนเดียว

ภายในประเทศนั้น ในที่สุดเจียงหยุนเอ๋อก็ได้รับคำแนะนำจากจิตแพทย์ หมอเองก็แนะนำลี่จุนถิง ให้พาเจียงหยุนเอ๋อไปทำอะไรที่ทำให้มีความสุขหน่อย เพื่อช่วยให้เธอหลุดออกจากภวังค์นี้ให้ได้สักที

“ขอบคุณมากนะ หมอ”

หลังจากที่ได้คำแนะนำจากหมอ ลี่จุนถิงก็รีบขอบคุณเขาทันที

เช้าวันต่อมา ลี่จุนถิงก็จัดกิจกรรม เพื่อพาเจียงหยุนเอ๋อออกไปข้างนอก

หลังจากนั้นสิบนาที มีรถสีแดงคันหนึ่งขับมาจอดที่หน้าประตูของสถานสงเคราะห์

เมื่อเห็นที่ที่ไม่คุ้นตา เจียงหยุนเอ๋อมองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหัวไปมองใบหน้าของลี่จุนถิง

ลี่จุนถิงปิดไฟ ก่อนจะพูดเสียงเบา “ไป เราไปดูกันเถอะ”

ยังไม่ทันจะให้เจียงหยุนเอ๋อมีสติกลับมา ก่อนจะเห็นถวนจื่อปรี่ออกไปอย่างรวดเร็วปานจรวด เจียงหยุนเอ๋อนั้นถอนหายใจ ก่อนจะรีบเดิมออกจากรถ

สถานสงเคราะห์นั้นมีความครึกครื้นมากกว่าที่เจียงหยุนเอ๋อคิดเยอะเลย ตอนแรกที่เธอคิดเอาไว้นั้นมันน่าจะเงียบสงบ ถึงอย่างไรพวกเด็กๆ พวกนั้นได้รับความทุกข์ ความน้อยเนื้อต่ำใจ และความเครียดที่อาจไม่เคยมีใครได้รับมาก่อนตั้งแต่เด็ก

แต่กลับคิดไม่ถึงเลย ว่าเจียงหยุนเอ๋อเดินเข้าไปยังไม่ทันไร

ก็ได้ยินพวกเด็กๆ กำลังเตะฟุตบอล มีเสียงเล่นกันสนุกสนาน แต่ทางฝั่งของถวนจื่อนั้นรู้สึกเหงา เลยตามไปเล่นกับพวกเขา

เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ เจียงหยุนเอ๋อเองก็ทำได้เพียงปล่อยให้ลี่จุนถิงเข้าไปเล่นในกลุ่มนั้น

“โลกของเด็กๆ เป็นโลกที่ผู้ใหญ่ไม่อาจเข้าใจได้เลย ถึงจะบอกว่าพวกเด็กๆ เกิดมาอย่างยากลำบาก เพราะมีเหตุผลมากมายที่ทำให้ใช้ชีวิตอย่างไม่สบาย แต่สำหรับพวกเขา การได้เตะฟุตบอลหรือกินขนมก็ทำให้เขาสามารถเติมเต็มความสุดได้แล้ว” สถานสงเคราะห์ทั้งหมดนั้น ลี่จุนถิงก็พูดขึ้นทันที

“นั่นสิ เด็กๆ นี่เกิดมาอย่างกล้าหาญ เหมือนไม่เกรงกลัวอะไรเลย” เจียงหยุนเอ๋อเองก็ถอนหายใจ

“ไปกันเถอะ เดินชมที่นี่เสร็จแล้ว เปลี่ยนที่หน่อยเถอะ” ลี่จุนถิงพูด

เจียงหยุนเอ๋อพยักหน้าอย่างเข้าใจ

เมื่ออีกฝั่งเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะไป ถวนจื่อก็รีบวิ่งเข้ามา ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าหนักใจ “เจียงหยุนเอ๋อ ฉันขอร้องคุณเรื่องหนึ่งได้ไหม?”

“เรื่องอะไรเหรอ?” เมื่อเห็นถวนจื่อมีสีหน้าหนักใจ เจียงหยุนเอ๋อก็ถาม

“เจียงหยุนเอ๋อ ฉันอยากเล่นที่นี่กับพวกเขาอีกหน่อย ได้ไหม” ถวนจื่อพูดเสียงพึมพำ ด้วยความน่าสงสาร

เมื่อเห็นท่าทีของถวนจื่อที่น่าสงสารแบบนั้น เจียงหยุนเอ๋ออดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ นึกว่าเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก?

“ได้ คุณชอบ งั้นถวนจื่อก็เล่นกับเพื่อนๆ เถอะ เจียงหยุนเอ๋อจะไปบ้านพักคนชราค่อยกลับมา คุณรออยู่ที่นี่ อย่าวิ่งไปไหนไกล เข้าใจไหม?” เจียงหยุนเอ๋อคุกเข่า ก่อนจะลูบผมนิ่มๆ ของถวนจื่อ

เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ ถวนจื่อก็พยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็วิ่งไปเล่นกับเด็กๆ กลุ่มนั้น เพียงไม่นาน ก็สนิทกันขึ้นมาแล้ว

เมื่อเห็นท่าทีของถวนจื่อที่เล่นสนุกกันขนาดนั้น เจียงหยุนเอ๋อเองก็รู้สึกดีในใจ

แต่ถ้าเทียบกับความมีความสุขของเจียงหยุนเอ๋อ ลี่จุนถิงที่อยู่ข้างๆ นั้นกลับมาแววตาของความไม่ชัดเจนอยู่

เพราะที่นี่ค่อนข้างชานเมือง บวกกับคนรับผิดชอบนั้นเข้ามาอย่างไม่ง่ายเลย ดังนั้นบ้านพักคนชรากับสถานสงเคราะห์เลยไม่ไกลมาก ถือว่าอยู่บนถนนเส้นเดียวกันเลยทีเดียว

ตอนที่ทั้งสองคนไปถึง กำลังอยู่ในช่วงดื่มชาตอนบ่ายอยู่

บ้านพักคนชรานั้นไม่ใหญ่ ใหญ่เพียงประมาณร้อยกว่าตารางเมตรเท่านั้นเอง แต่กลับมีที่พักแยกเดี่ยวถึงสิบกว่าแห่ง

แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือพวกเขาเป็นมิตรมาก เลยทำให้เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้จากครอบครัวเลย

เมื่อเห็นเจียงหยุนเอ๋ออึ้งไป เลยมีคนสูงวัยคนหนึ่งยกชาเข้ามาให้ “โอ้ คิดไม่ถึงเลย ว่าจะมีสาวสวยมาที่เล็กๆ แบบนี้ด้วย”

ผู้สูงวัยคนนั้นขยี้ตาของตัวเอง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้สูงวัยที่กำลังคุยเล่นอยู่นั้นก็หันมามองเจียงหยุนเอ๋อ พลางมอง

เมื่อรู้สึกถึงสายตานั้น เจียงหยุนเอ๋อก็อยากจะจากไปเพราะความอึดอัด แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน ก็มีคนแก่หลายคนเดิมเข้ามา

“เด็กสาวคนนี้ อากาศเย็นขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร?โอ๊ะ!หนุ่มสาวนี่ดีกว่าคนแก่จริงๆ เลย ร่างกายแข็งแรง……” มีหญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามา มองเจียงหยุนเอ๋อ พลางถามไถ่ด้วยความอุ่นใจ

แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้เจอญาติตัวเองมานาน หรือคิดถึงมาก หรือเพราะเหตุผลใดๆ สรุปแล้ว สำหรับเจียงหยุนเอ๋อแล้วพวกเขาใจดีเป็นอย่างมาก แถมยังถามไถ่อย่างห่วงใยอีกด้วย

เพียงไม่นาน ก็หลายๆ คนเดินเข้ามา ก่อนจะชวนเธอไปเล่นไพ่นกกระจอก และไพ่อื่นๆ อีกมากมาย

แต่ทุกคนถูกเจียงหยุนเอ๋อปฏิเสธมาตลอด แต่ก็ยังไม่วาย ต้องไปเล่นกับพวกเขาสักหน่อย

“ฉันอยากคุยกับคุณหน่อย” เมื่อเห็นเจียงหยุนเอ๋อเล่นเสร็จ ลี่จุนถิงก็พูดขึ้น

“ทำไมเหรอ?” เมื่อเห็นใบหน้าด้านข้างของลี่จุนถิง เจียงหยุนเอ๋อก็เปิดปากพูดขึ้น พลางเดินออกไปหลายก้าว

“คุณคิดว่า คนแก่พวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเด็กพวกนั้นเป็นอย่างไร?” ลี่จุนถิงเดินเล่น ด้วยสีหน้าหนักใจ โดยที่อ่านความคิดเขาไม่ออกเลย

เจียงหยุนเอ๋อตอบอย่างไม่ลังเล “ดีมากเลย”

“อือ ใช่ พวกเขาดีมากเลย” สักพัก ลี่จุนถิงก็หันมา พลางมองเจียงหยุนเอ๋อด้วยความจริงจัง “ดังนั้นสำหรับพวกเขาน่ะชีวิตมันมีค่ามาก เพราะพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ทุกๆ นาทีที่หายใจนั้นมีความหมายมาก สิ่งที่คุ้มค่าที่จะให้คนมีความสุขนั้นไม่เหมือนกับชีวิตเลย ทั้งหมดเพราะใจของตัวเองไม่ซื่อทั้งนั้น และมักจะกล่าวโทษตัวเอง นี่เป็นความจริงของโลก เข้าใจไหม?”

นึกไม่ถึงเลยว่าลี่จุนถิงจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาเลย เจียงหยุนเอ๋อไม่รู้จะตอบอย่างไรเลย

เธอขมวดคิ้ว พลางเงียบอยู่นาน

เมื่อเห็นว่าเจียงหยุนเอ๋อเหมือนจะไม่เข้าใจ ลี่จุนถิงก็หายใจหนักๆ ก่อนจะพูดออกมา

“หลายๆ ครั้งชีวิตมันก็แบบนี้ คุณกับฉัน ถึงจะทำอะไรไม่ได้ดั่งใจบ้างในบางครั้ง แต่หลายๆ ครั้งก็ต้องรู้ ว่ามันไม่มีทางย้อนกลับไปได้แล้ว พวกเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องรักษาเอาไว้ดีๆ ไม่เพียงแค่เสียเวลาไปเปล่าๆ แต่ต้องทำสิ่งที่ตัวเองควรจะทำด้วย”

เมื่อเข้าฤดูใบไม้ร่วง ในเดือนพฤศจิกายน อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นมา ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้วร่วงโรย อากาศสดชื่น ทำให้รู้สึกถึงอิสรภาพ

ในบ้านพักคนชราคนแก่มากมายกำลังฆ่าเวลา แล้วเล่นไพ่นกกระจอก เล่นวอลเลย์บอล เลยมีเสียงโหวกเหวกผสมปนเปกัน แต่กลับเหมือนทำให้วันสงบๆ นี้ มีความครึกครื้นมากขึ้น

เงียบอยู่นาน เจียงหยุนเอ๋อก็กระแอมเบาๆ ก่อนจะเลิกขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ฉันรู้แล้วล่ะ”

จากนั้นก็ยิ้มขึ้นด้วยความอ่อนโยน แล้วมีแววตาอ่อนโยนมากขึ้น