บทที่ 324 ความคิดดี ๆ

บทที่ 324 ความคิดดี ๆ

พอมาถึง เสี่ยวเถียนก็พบว่าร้านแห่งนี้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหมือนกัน อย่างแรกคือเป็นร้านที่เปิดอยู่ในเรือนสี่ประสานเรือนเล็กแห่งหนึ่ง

เป็นเรื่องสี่ประสานที่แปลกตาจริง ๆ เพราะมีผังบ้านที่ชัดเจนมาก

เสี่ยวเถียนรู้สึกซาบซึ้งนัก เรือนสี่ประสานในตอนนี้จะยังไม่ค่อยมีค่าอะไรเท่าไร แต่ถ้าเป็นช่วงอีกสิบปีข้างหน้า หากใครมีเรือนสี่ประสานจะเรียกได้ว่าเป็นพวกเศรษฐีเลยก็ว่าได้

อย่างที่สองคือมีที่นั่งน้อยมาก

ลานของเรือนสี่ประสานไม่กว้างนัก มีเรือนตะวันออกและเรือนตะวันตกแยกออกจากกัน

บอกได้เลยว่าร้านอาหารแห่งนี้ให้บริการแค่สองมื้อต่อวันคือ มื้อกลางวันและมื้อเย็น

ด้วยเหตุนี้ การจองโต๊ะจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ

สิ่งที่พิเศษอย่างที่สามคือ พ่อครัวที่นี่ทำตามอำเภอใจ

ถึงลูกค้าจะจองทที่นั่งไว้ แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าตนจะกินอะไร

แขกในวันนั้นจะกินอะไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่พ่อครัวทำให้

“ไม่รู้ว่าวันนี้พ่อครัวจะทำอาหารอะไรให้” ตอนที่เชิญทุกคนนั่ง เสิ่นจื่อเจินยังคงกังวลเรื่องนี้อยู่

“คงไม่ใช่พวกผักกาด หัวไชเท้าอะไรพวกนี้ใช่ไหม?” เถาฮวาก็กังวล

จ่ายเงินไปตั้งเยอะ ถ้ากินแต่ผักจะไปมีประโยชน์อะไร

สองสามีภรรยาตู้ก็คิดเช่นนั้น ถ้าจ่ายเงินแล้วไม่สามารถกินอาหารที่ทำให้พึงพอใจได้ จะไปสู้อะไรกับการที่เราทำกินเองที่บ้านล่ะ

แต่พวกเขาก็ไม่ใช่พวกเรื่องมาก และยอมรับความใจดีของเสิ่นจื่อเจินเอาไว้

“ไม่หรอก ผมถามมาแล้ว พ่อครัวร้านอาหารส่วนตัวจะมีอาหารประเภทเนื้ออย่างน้อยสามอย่างขึ้นไป” จื่อเจินรีบอธิบาย

อันที่จริงตั้งแต่ที่เขาตกลงจองร้านนี้ เถาฮวาก็บ่นมาตลอดเพราะรู้สึกว่ามันใช้เงินเยอะเกินไป

ภรรยาพยักหน้า “ยังดีนะ มีกลิ่นเนื้อก็พอแล้ว!”

เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะใส่ใจอะไรขนาดนั้น แค่มีเนื้อก็พอแล้ว

เสี่ยวเถียนได้ฟังก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้

ไม่ว่าตอนไหน พ่อครัวก็เป็นที่นิยมเสมอ

ตราบใดที่คนยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องแก้ปัญหาเรื่องอาหารการกิน พอกินอิ่มก็ต้องคิดเรื่องย่อยอีก…

“สวัสดีครับคุณลูกค้า วันนี้ทางเราขอนำเสนอเมนูเนื้อทั้งสี่จาน ได้แก่ สามชั้นหมักพันชั้น เนื้อแกะตุ๋นซอส และซุปแกะ คุณลูกค้าต้องการสั่งเมนูไหนครับ?”

คนที่ต้อนรับแขกเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง พอเจอหน้าก็ยิ้มทักทาย ดูดีมากเลยที่เดียว!

เสี่ยวเถียนคิดว่าท่าทางการทำงานแบบนี้ อนาคตของหนุ่มตรงหน้าต้องดีอย่างแน่นอน

“เราจะเสิร์ฟอาหารเหมือนกันทุกจานครับ นอกจากนี้ยังมีอาหารจานผักหกจาน และซุปอีกหนึ่งอย่างครับ คุณลูกค้าดูและเลือกเสร็จก็เป็นอันเรียบร้อยครับ”

สิ่งเดียวที่เลือกไม่ได้คืออาหารจานเนื้อ ส่วนอาหารจานผักทั่วไปไม่ได้มีปัญหาอะไร ดังนั้นเสิ่นจื่อเจินจึงสั่งไปอย่างไม่ลังเล

“เรียบร้อยครับ เมนูเป็นตามนี้ คุณลูกค้าทุกท่านโปรดรอสักครู่ครับ!”

หลังจากที่ชายหนุ่มเขียนรายการอาหารลงไปก็รินชาให้ทุกคนแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่รู้ว่าจะอร่อยไหม แต่มีลูกเล่นเยอะเลยนะ” อวี่รุ่ยหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตอนเห็นชายคนนั้นออกไป

“จะต้องมีอะไรพิเศษแน่ ๆ ไม่งั้นเปิดร้านไม่ได้หรอก” ตู้ถงเหอก็พูดเช่นกัน

“แล้วทำไมเราถึงสั่งเองไม่ได้ล่ะ ถ้าทำแบบนี้แล้วลูกค้าจะไม่อึดอัดเอาหรือ?” เถาฮวาครุ่นคิด

เสี่ยวเถียนคิดว่าที่จริงมันไม่ใช่ลูกเล่นอะไรของพ่อครัวหรอก ถ้าเดาไม่ผิด ที่ใช้การทำธุรกิจแบบนี้ส่วนใหญ่เพราะระบบตั๋วในปัจจุบันยังไม่ถูกยกเลิก และวัตถุดิบที่หาได้ในท้องตลาดยังมีจำกัด

ต่อให้เปิดร้านอาหารก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะซื้อวัตถุดิบได้ตามความต้องการลูกค้าหรือเปล่า จึงใช้ตนเองเป็นหลัก

หลัก ๆ คือกลัวว่าพอสั่งไปแล้ว จะเป็นประเภทหญิงฉลาดทำอาหารไม่เป็น*[1] น่ะสิ

ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเสี่ยวเถียน ทว่าเธอไม่ได้พูดออกไป แต่ต้องบอกว่าเธอเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ

ถึงพ่อครัวร้านอาหารส่วนตัวจะมีความสามารถมาก แต่เรื่องจัดหาสินค้ามันไม่มั่นคงจริง ๆ เพราะช่วงเวลานี้วัตถุดิบดี ๆ หายากจริง ๆ

เหมือนกับวันนี้ เขาออกไปแต่เช้าตรู่และซื้อได้แค่เนื้อหมูกับเนื้อแกะเท่านั้น

สภาพในเมืองหลวงดีกว่าที่อื่น ๆ จริง แต่เรื่องขาดแคลนเสบียงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

“อันที่จริงมีอาหารจานเนื้อสี่อย่างก็ไม่เลวนะครับ แม้แต่ร้านอาหารของรัฐก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้” โส่วเวินว่า

การจัดหาวัตถุดิบในเมืองหลวงดีกว่าที่อื่นเยอะ การที่เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาปีกว่าทำให้รู้ซึ้งเลย

“แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะปัญหาการขาดแคลนอาหารนี้จะหมดไปนะ ถ้าเป็นแบบนั้นอยากกินอะไรก็ได้กินด้วย” ซานกงถอดถอนใจ

คำพูดของพี่สามดึงสติของซูเสี่ยวเถียนกลับมา

จู่ ๆ เธอก็จำเรื่องร้านค้าในระบบขึ้นมาได้ และผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ขายในระบบร้านค้ามีวัตถุดิบมากมาย

ไม่ใช่แค่เนื้อหมูเนื้อแกะเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเนื้อวัว เนื้อกระต่าย เนื้อกวาง แม้แต่ปลาทะเลน้ำลึกทุกชนิดตราบเท่าที่สามารถจ่ายได้

แล้วถ้าเธอซื้อของทั้งหมดนี้แล้วขายที่เมืองหลวง เธอจะได้ทำภารกิจหม้อทองคำใบแรกเสียที

ตอนนี้เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าแทนที่จะทิ้งคะแนนพวกนนั้นไว้ในระบบร้านค้า ไม่สู้เอามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินที่ใช้ได้จริง ๆ หรอก

เสี่ยวเถียนครุ่นคิด และเธอก็รู้สึกว่าความคิดนี้มันน่าคุ้มค่าที่จะลอง

แต่ต้องไปถามไถ่สถานการณ์ข้างนอกก่อน

พอคิดได้แล้ว เสี่ยวเถียนก็บอกว่าอยากเห็นงานแกะสลักในเรือนสี่ประสาน เพราะมันสวยมาก

ทุกคนได้ฟังก็ไม่คิดว่ามันจะมีอะไรผิดปกติ

แม้ว่าเรือนสี่ประสานแห่งนี้จะเล็ก แต่เห็นได้ชัดว่ามีความละเอียดประณีต โดยเฉพาะกับงานแกะสลัก คนทำคงมีความชำนาญในด้านนี้เป็นอย่างมาก

เสี่ยวเถียนเป็นเด็กผู้หญิง จะไม่ชอบสิ่งเหล่านี้ก็คงจะแปลกเกินไป

ในร้านมีคนมากินอาหารไม่เยอะ รับประกันความปลอดภัยได้

เสิ่นจื่อเจินเห็นด้วย

“อยู่แค่ในลานเรือนก็พอนะ อย่าวิ่งออกไปล่ะ!” อวี่รุ่ยหยวนรีบเตือน

“คุณย่าอวี่ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูไม่ออกไปข้างนอกหรอก หนูสวยขนาดนี้ใครมาลักพักตัวก็ลำบากเขา!”

คำพูดของเสี่ยวเถียนสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคน

เด็กสาวหัวเราะคิกคักแล้ววิ่งออกไป

หลังจากเดินเล่นรอบ ๆ ด้วยความราบรื่นแล้ว เธอก็มองดูงานแกะสลักที่มีความหมายอย่างระมัดระวัง เสี่ยวเถียนอดซาบซึ้งไม่ได้

เรือนสี่ประสานเรือนเล็กมีความโดดเด่นมาก ทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยความสวยงาม

ถ้าเธออยากเป็นเจ้าของด้วยจะทำอย่างไรดีล่ะ?

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอยู่คนเดียวนะ พูดในมุมมองของการลงทุน เหมือนว่าไม่มีอะไรที่ให้กำไรได้ดีไปกว่าการลงทุนกับเรือนสี่ประสานแล้ว

ถ้าซื้อตอนนี้ และอีกหลายสิบปีต่อมานำไปขายต่อ ก็คงจะทำเงินได้เยอะจริง ๆ พูดอย่างไม่เกรงใจคือ เป็นการซื้อขายที่ลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมหาศาลเลย

ตอนนั้นเสี่ยวเถียนกำลังตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ กับตัวเอง

หาเงินและซื้อเรือนสี่ประสานสักเรือนในเมืองหลวง

แต่มันก็แค่เรื่องของอนาคต เป็นแค่ความฝัน และในไม่นานความฝันนั้นก็จะกลายเป็นความจริง

ในขณะที่กำลังฝันกลางวัน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดขึ้นมา

*[1] อุปมาว่า ถ้าไม่มีเงื่อนไขด้านวัตถุก็ไม่อาจที่จะทำงานได้ดี