บทที่ 325 ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 325 ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

บทที่ 325 ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“สาวน้อย เธอชอบงานแกะสลักพวกนี้หรือ?”

ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายหนุ่มคนนั้นที่มาต้อนรับพวกเขาเมื่อครู่

“สวัสดีค่ะพี่ชาย หนูชอบงานพวกนี้มากเลย มันสวยมาก! หนูชอบบ้านหลังนี้ด้วย ชอบมาก ๆ เลยค่ะ” เสี่ยเถียนว่าพร้อมกะพริบตาปริบ ๆ

ไม่ว่าจะยุคไหน สาวน้อยน่ารักมักมีเสน่ห์เสมอ

“แล้วเธอรู้ไหมว่างานแกะสลักพวกนี้บอกเล่าเรื่องราวอะไรบ้าง?” ชายหนุ่มเริ่มสนใจอยากคุยกับเสี่ยวเถียนขึ้นมา

เพราะลูกค้าโต๊ะอื่นยังไม่มา ตอนนี้เขาเลยไม่ค่อยยุ่งเท่าไร

“บางอันก็รู้ บางอันก็ไม่รู้ค่ะ…”

เราสองคนคุยกันอย่างไม่เขินอาย และเข้าขากันได้ดีมาก

จากคำพูดของชายหนุ่มทำให้เสี่ยวเถียนได้รู้ว่ามีร้านอาหารแบบนี้ที่คล้ายกันหลายแห่งในยุคนี้ แต่คุณภาพไม่ดีเท่าร้านตระกูลติงของพวกเขาเลย

เสี่ยวเถียนถือโอกาสถามขึ้นว่า ทำไมถึงให้ลูกค้าสั่งอาหารเองไม่ได้

ชายหนุ่มถอนหายใจ “ถ้าให้ลูกค้าสั่ง พวกเราก็คงเปิดร้านไม่ได้หรอก เมื่อวานได้ปลามาสองตัว วันนี้มีแค่หมูกับแกะเอง”

เสี่ยวเถียนเข้าใจแล้ว ก็อย่างที่เดาไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ เพราะขาดวัตถุดิบในการทำอาหาร

“พี่ชาย ถ้าหนูหาวัตถุดิบมาให้ได้ พวกพี่จะอยากได้ไหมคะ?” เสี่ยวเถียนกระซิบเสียงแผ่ว

“อยากสิ เธอมีวัตถุดิบอะไรบ้างหรือ?” ชายหนุ่มกลับมามีชีวิตชีวาทันที และมองเสี่ยวเถียนด้วยสายตาที่ต่างออกไป

แต่ความตื่นเต้นนี้คงอยู่เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังโง่งม

เด็กน้อยตัวคนเดียวจะไปหาวัตถุดิบมาได้อย่างไร?

เนื้อสัตว์ที่ดีที่สุดคือผักกาดขาวหรือ?

เจ้านายที่มีความสามารถขนาดนั้นยังทำไม่ได้เลย แล้วตนเองมาตั้งความหวังอะไรไว้กับเด็กน้อยคนนี้กัน? หวังให้ฟ้าถล่มยังดีกว่าอีก

“สาวน้อย เธอเล่นไปคนเดียวก่อนนะ ฉันยังมีเรื่องต้องทำอยู่ ต้องรีบไปแล้วล่ะ”!”

ยังพอมีเวลาอยู่ ไปหยิบหัวไชเท้ามาแกะสลักหน่อยแล้วกัน!

ชายหนุ่มวางแผนที่จะออกไปทันทีที่พูดจบ

เสี่ยวเถียนรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา เพราะว่าตนเองยังเป็นเด็กเลยไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอใช่ไหม?

“หนูพูดจริงนะคะพี่ชาย ถ้าพวกพี่อยากได้ เดี๋ยวตอนบ่ายหนูเอาปลาไนสี่ตัวกับเนื้อหมูสี่จินมาให้พี่ค่ะ แล้วก็ซี่โครงอีกหกจิน ตกลงไหมคะ?” เสี่ยวเถียนรีบพูดอย่างจริงใจ

ชายหนุ่มไม่คิดว่าเด็กหญิงจะพูดเช่นนี้ เขามองไปที่เธออย่างสงสัย แต่ก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อถืออยู่ดี

“ช่างเถอะค่ะ ในเมื่อพี่ไม่เชื่อ ทำเหมือนว่าหนูไม่ได้พูดก็แล้วกัน!”

เสี่ยวเถียนรู้สึกผิดหวังที่ธุรกิจแรกของเธอไม่สำเร็จ และทำได้เพียงหมุนกายหมายจะเดินจากไป

“สาวน้อย เธอหามาได้จริง ๆ หรือ?” ชายหนุ่มลังเลยามมองเด็กหญิงตรงหน้า

ตอนนี้เขารู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจเสี่ยงดูสักครั้ง เพราะอย่างไรเสียตนก็ยังไม่ได้จ่ายเงินก่อน และถ้าสาวน้อยไม่มาก็แสร้งทำเป็นว่าเรื่องราวในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแค่นั้นก็พอ

“เธอจะมาที่นี่ตอนบ่ายใช่ไหม ถ้าเธอมีของมาให้จริง ๆ เราจะให้ราคาเป็นธรรมต่อเธอแน่นอน” ชายหนุ่มพยักหน้าในที่สุด

เสี่ยวเถียนได้ยินดังนั้นจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว

“แต่เรื่องนี้เรารู้กันแค่สองคนพอนะคะ หนูไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่ามีวิธีหาเนื้อมาได้ด้วย” เสี่ยวเถียนนึกอะไรได้ก็เลยเอ่ยเตือนไป

“ได้สิ ฉันจะไม่บอกใครแน่นอน!”

ถ้าไม่บอกใครก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น การที่จะได้ของพวกนี้มาต้องเป็นคนที่มีเส้นสาย ฉะนั้นจึงไม่อยากให้ใครรู้แน่นอน

เพราะงั้นเขาจึงตอบตกลงอย่างมีความสุข

หลังจากสนทนาจบ เสี่ยวเถียนก็กลับไปยังเรือนตะวันออกอย่างร่าเริง

ตอนนั้น เถาฮวากับรุ่ยหยวนและคนอื่น ๆ กำลังคุยเรื่องร้านเย็บผ้าพอดี และการสนทนาของพวกเธอดุเดือดมาก

เสี่ยวเถียนเองก็ได้เสนอความคิดบางอย่างออกไปด้วย

อาหารถูกยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เธอเพิ่งจะกลับมา ชายหนุ่มคนนั้นก็เอาอาหารมาวางไว้บนโต๊ะที่ละจานแล้ว

ตอนที่เขาเข้ามา เขาลอบมองคนบนโต๊ะนี้เป็นพิเศษ

หากมองจากการแต่งกายของคนที่นั่งในโต๊ะนี้ เขาคิดว่าอาจจะจริงที่สาวน้อยหาวัตถุดิบมาได้

เสิ่นจื่อเจินสั่งอาหารทั้งหมดสิบจาน เป็นเนื้อสัตว์สี่จาน ผักหกจาน และเพิ่มซุปผ้าขี้ริ้วมาอีกหนึ่งอย่าง ส่วนอาหารหลักเป็นข้าวสวย

เสี่ยวเถียนมองข้าวในถ้วยกระเบื้อง เมล็ดข้าวสีใส เพียงแค่เธอมองก็รู้แล้วว่าเป็นข้าวขัดสีที่ดีที่สุด

ส่วนอาหารทั้งสิบอย่างที่จัดไว้เต็มโต๊ะ เรียกได้ว่าสี กลิ่น และรสชาติชวนให้น้ำลายสอกันเลยทีเดียว

ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือประเภทผัก ต่างก็ให้ความสำคัญกับการจับคู่เป็นพิเศษ แม้แต่ผัดกะหล่ำที่พบเห็นได้ทั่วไปก็สามารถทำให้เกิดความอยากอาหารได้

เสี่ยวเถียนอดไม่ได้ที่จะเชื่อว่าบรรพบุรุษของพ่อครัวร้านนี้คงเป็นพ่อครัวในวังหลวงจริง ๆ

ถ้าจะมีจุดบกพร่องตรงไหนก็คงเป็นอาหารที่จำเจมากเกินไป

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาขาดแคลนวัตถุดิบจริง ๆ

เดินเล่นมาตลอดทั้งเช้าทุกคนก็เริ่มหิวกันขึ้นมาแล้ว

และเมื่อมองไปที่อาหารอร่อยบนโต๊ะ พวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะรออีกต่อไป

สามีภรรยาตู้อาวุโสที่สุด ด้วยความนอบน้อมของเสิ่นจื่อเจิน จึงรอทั้งสองเป็นฝ่ายลงมือตักอาหารก่อนเป็นอันดับแรก

หลังจากนั้นทุกคนก็ไม่เกรงใจ ต่างฝ่ายต่างหยิบตะเกียบแล้วเลื่อนไปทางอาหารจานโปรดอย่างรวดเร็ว

“เพิ่งรู้เลยว่าการทำอาหารมีความพิเศษขนาดนี้ ดูจากการตกแต่งจานแล้ว ต่างจากที่พวกเราทำจริง ๆ”

เถาฮวาคีบหมูสามชั้นที่ซ้อนเป็นดอกไม้แล้วรู้สึกอารมณ์ดีมาก

การจัดเรียงแบบนี้ทำให้ผู้คนลังเลที่จะวางตะเกียบลงจริง ๆ

“รสชาติดีนะ” อวี่รุ่ยหยวนตักซุปเนื้อแกะมาช้อนหนึ่งแล้วชิมอย่างระมัดระวัง เธอมั่นใจในรสชาติของมันมาก

“ร้านอาหารตระกูลติง พ่อครัวน่าจะเรียนทำอาหารมาจากในวังนะ รสชาติและการนำเสนอค่อนข้างคล้ายกับอาหารที่เสิร์ฟในร้านอาหารจู้เสิ่งเหอเมื่อหลายสิบปีก่อนเลย”

ตู้ถงเหอเป็นคนเมืองหลวง เขาเลยรู้จักอาหารรสเลิศในเมืองหลวงเป็นอย่างดี

น่าเสียดายที่หลังจากนั้นหลายปีรสชาติมันอยู่ในแค่ในความทรงจำเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้ลิ้มรสมันอีกครั้ง

“รสชาติอาหารดีจริง ๆ ครับ” หลังจากชิมอยู่หลายเมนู โส่วเวินก็พูดออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“ผมว่าอาหารพวกนี้มันตกแต่งดูดีนะ แต่ถ้าในแง่รสชาติ อาหารที่ย่าทำอร่อยกว่าตั้งเยอะ!” ซื่อเลี่ยงเอ่ย

ซานกงไม่ค่อยเห็นด้วย รสชาติอาหารที่ย่าทำนั้นอร่อยก็จริง แต่เมื่อเทียบกับฝีมือของทายาทร้านอาหารแห่งนี้แล้วไม่ดีเท่าไร

“พี่รอง พี่ต้องพูดด้วยความสัจจริงนะ”

“น้องสามพูดแบบนี้ได้ยังไง ทำไมพี่จะไม่พูดด้วยความสัจจริงล่ะ? อาหารพวกนี้กินคำแรกมันอร่อยนะ แต่หลังจากนั้นมันก็เฉย ๆ”

ซื่อเลี่ยงเป็นคนกินรสจัด เลยไม่ชอบอาหารรสเบา ๆ พวกนี้

ยังมีเสี่ยวซื่ออีกคนที่ไม่คิดชมเหมือนกัน

“พี่สาม ผมไม่เห็นด้วยกันพี่นะ พี่อย่าไปคิดถึงผักปั้นที่ย่าทำสิ พี่ต้องคิดว่าเนื้ออันไหนที่ย่าทำแล้วไม่อร่อยบ้าง?”

ซูซานกงสำลัก การที่พูดแบบนี้เหมือนเขาเป็นหลานชายที่ใจร้ายเลยไม่ใช่หรือไง?

เขากำลังพูดเรื่องจริงต่างหาก

“ฝีมือทำอาหารของป้าดีจริง ๆ นะ ฉันจำได้ว่าตอนยังเด็ก ป้าเป็นคนทำอาหารในงานเลี้ยงเต็มโต๊ะเลย อาหารที่ชอบที่สุดคือ หมูก้อนแห่งความสุข*[1] อร่อยมาก แต่ไม่ประณีตเท่าอาหารบนโต๊ะตอนนี้ แล้วรสชาติก็จัดกว่า”

พอได้ฟังหลาน ๆ ถกเถียงกัน เถาฮวาก็อดสนใจไม่ได้ และหวนนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็ก

“พี่สาม ฟังที่ป้าพูดสิ นี่ก็พิสูจน์แล้วนะว่าฝีมือย่าไม่เลวน่ะ” เสี่ยวซื่อเข้าใจแล้วก็รีบโอ้อวดทันที

เสี่ยวเถียนลิ้มรสอาหารจานนี้อย่างระมัดระวังและชอบมันมาก

แต่เธอคิดไปเยอะกว่านั้น จานที่อยู่เบื้องหน้าน่าจะเป็นตัวแทนของการทำอาหารยอดนิยมในเมืองหลวงใช่ไหม?

หากรสชาติของร้านอาหารแห่งนี้กับร้านอื่น ๆ เทียบไม่ได้ งั้นให้ย่ามาเปิดร้านในเมืองก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

แต่คุณย่าเป็นผู้หญิงชนบท พอมาคิด ๆ ดูแล้ว การที่จะมีฝีมือขนาดนั้นก็แปลกไปหน่อยนะ!

*[1] หมูก้อนแห่งความสุข หมายถึง หมูก้อนทอดราดน้ำแดง