บทที่ 454 จบสิ้นทั้งบุญคุณความแค้น
บทที่ 454 จบสิ้นทั้งบุญคุณความแค้น
กลับเป็นฝั่งของตระกูลฉู่ของนิกายกิเลนที่เห็นฉากนี้แล้วดีใจยกใหญ่ เพราะตอนนี้ก็คล้ายจะชนะแล้ว! เนื่องจากเหม่งชิงไม่สามารถทำการโจมตีได้อีกต่อไป
ทว่าหลังเหม่ยชิงร้องอยู่พักหนึ่งเธอก็หยุด ตอนนี้ดวงตาของเธอไร้แววแห่งชีวิต แม้วิญญาณของเธอจะไม่ได้สูญสลายไปทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้เหลือเยอะนักเช่นกัน! อย่างไรก็ตามผู้ชมด้านนอกจินตนาการไม่ออก เป็นเพราะเมื่อเหม่ยชิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเธอกลับสามารถฟื้นฟูวิญญาณกลับมาได้ แต่ถึงอย่างงั้นก็อ่อนแอไม่น้อยเลย!
หลังจากเหม่ยชิงลืมตาขึ้น หญิงสาวก็เงยหน้ามองไปทางฉู่เหินและวาดรอยยิ้มที่มุมปาก “ครั้งก่อนฉันเป็นคนช่วยเธอ ครั้งนี้เธอก็เป็นคนช่วยฉันบ้าง บุญคุณของพวกเราสองคนถือว่าเจ๊ากันก็แล้วกัน! หวังว่าถ้าเจอกันคราวหน้าพวกเราสองคนจะไม่ใช่ศัตรูกันนะ!”
ประโยคที่ไร้ที่มาที่ไปทำให้บางคนรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าฉู่เหินเข้าใจดี เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่เหม่ยชิง แต่เป็นเหม่ยซานเหนียงตัวจริง เหม่ยซานเหนียงตรงหน้าเป็นดวงจิตที่สองของเธอ เดิมทีคน ๆ นี้ควรจะมีอายุไม่ยืนนัก แต่คิดไม่ถึงว่าเหม่ยซานเหนียงไม่เพียงจะไม่ตาย ทั้งยังได้ร่างของตนกลับคืนมาด้วย!
เหม่ยชิงคาดไม่ถึงว่าจะถูกลูกศิษย์ตัวเองตลบหลัง! วันนี้เหม่ยชิงได้ตายไปแล้ว มีเพียงแค่เหม่ยซานเหนียงที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งเธอยังไม่ต้องใช้ความพยายามก็สามารถมีพลังวรยุทธ์ขั้นราชันดาราระดับสูงได้เลย เรียกได้ว่าโชคหล่นทับครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้ ทว่าเหตุการณ์แบบนี้เหม่ยซานเหนียงเองก็ไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
การประลองได้ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เหม่ยซานเหนียงจะสู้กับฉู่เหินต่อ ไม่ใช่แค่เพราะฉู่เหินเป็นคนที่เพิ่งช่วยชีวิตเธอ แต่เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉู่เหิน เหม่ยซานเหนียงประกาศยอมแพ้ ฉู่เหินก็ยอมรับผลการตัดสิน ก่อนที่ทั้งคู่จะออกมาจากโลกของสนามประลอง
สนามประลองที่ไม่มีทั้งความประหลาดใจทั้งความอันตราย มันก็คงไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าไร ดังนั้นสนามที่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรก็มี แต่ที่ ๆ ผู้คนให้ความสนใจและร้องตะโกนเสียงดังก็มีด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสนามที่มีนักบวชจากวัดหว่านฟ่อซือ คน ๆ นี้คล้ายจะเป็นวิชามาร เมื่อเขานั่งสมาธิสวดมนต์อยู่ตรงนั้นก็สามารถทำให้คู่ต่อสู้ค่อย ๆ คุกเข่าสยบแทบเท้าได้แล้ว
ยังมีอีกหนึ่งผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดขั้นราชันดาราคนหนึ่ง คน ๆ นี้ในมือถือกระบี่ยาว เห็นได้ชัดเลยว่าต้องเชี่ยวชาญมาก ๆ เขาเป็นยอดฝีมือในเรื่องกระบี่ ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นผู้เข้าประลองที่น่าจับตามองอย่างมากในครั้งนี้ ซึ่งก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะชนะ! การประลองของพวกเขาถือว่าสนุกที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ผู้สมัครกว่า 30,000 คน แต่ทว่าการประลองรอบนี้จะคัดเหลือเพียง 100 คน ดังนั้นฉู่เหินจึงวางใจ เขารู้ดีว่ากว่ารอบถัดไปจะมาถึงก็อีกนาน! ดังนั้นชายหนุ่มจึงมาเดินชมลานประลองอื่น ๆ เพื่อฆ่าเวลา ทั้งยังโครจรพลังลมปราณเพื่อฝึกฝนไปในตัวด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขาควรจะเลื่อนเป็นขั้นราชันดาราระดับสูงสุดได้แล้ว ถ้าเขาสามารถทะลวงมันได้ นี่จะเป็นตัวช่วยในการแข่งอย่างมาก!
ฉู่เหินรู้ดีว่าคนที่ร่วมแข่งขันในครั้งนี้มีขั้นจักรพรรดิดารายอดฝีมือไม่น้อยเลย อีกทั้งยังไม่มีใครกล้ารับประกันว่าจะไม่มีคนปกปิดพลัง ดังนั้นเพื่อเป็นหลักประกันว่าเขาจะไม่แพ้ ชายหนุ่มจึงจำเป็นที่จะต้องเลื่อนระดับตัวเองขึ้นมาให้ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นตัวแทนของนิกายกิเลน แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขานั้นเป็นคนของตระกูลฉู่
และก็เพราะเหตุนี้ฉู่เหินถึงได้ให้ความสำคัญกับชัยชนะมาก เพราะเขาเป็นหน้าเป็นตาให้กับทั้งสอง! หากเขาสามารถติด 1 ใน 10 อันดับแรกสักตำแหน่ง ไม่เพียงแต่นิกายกิเลนที่จะได้รับเกียรติ ทว่าตระกูลฉู่เองก็จะพลอยได้หน้าไปด้วย!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วก็ถึงเวลาที่ฉู่ฉุนจะต้องขึ้นเวที! คนที่เป็นตัวแทนของนิกายกิเลน 3 คนก็คือฮาวโยว กวนเชิงและหม่าหง เดิมทีนิกายกิเลนสามารถส่งคนได้เพียง 3 คนเท่านั้น แต่หลังจากทุกคนทราบถึงพลังที่แท้จริงของนิกายกิเลนแล้ว ผู้จัดงานเลยอนุญาตให้พวกเขาส่งคนเพิ่มได้อีก 1 คน แต่ก็ยังน้อยว่านิกายอันดับหนึ่งคน 1 เพราะพวกเขาสามารถส่งได้ 5 คน!
เมื่อนับรวมฉู่เหินเข้าไปด้วยนิกายกินเลนจึงได้ทั้งหมด 4 คนพอดี ใน 4 คนนี้ ผู้ที่มีพลังวรยุทธ์น้อยที่สุดก็คือหม่าหง ซึ่งมีพลังวรยุทธ์เพียงขั้นราชันดาราระดับกลาง แต่ทว่าหัวหน้านิกายกิเลนกลับมองเห็นแววของคนผู้นี้ เขาคิดว่าลูกศิษย์คนนี้พอใช้ได้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าทั้ง 3 คนที่เหลือก็คือกลุ่มคนที่ผู้รอดชีวิตจากเมืองโบราณที่มาพร้อมกับฉู่เหินนั่นเอง
ดังนั้นหัวหน้านิกายกิเลนก็มีความเชื่อมั่นในตัวพวกเขา อีกทั้งพวกเขาก็พยายามบ่มเพาะเต็มที่แล้ว อย่ามองว่าพลังวรยุทธ์ของทั้งสามไม่สูง แต่พวกเขาต่างก็มีวิธีการเฉพาะตัวของตัวเองกันทั้งนั้น ถ้าต่อสู้ด้วยพลังจริง ๆ แล้วก็ไม่แน่ว่าใครจะอยู่ใครจะไป!
ส่วนทางด้านตระกูลฉู่เอง พวกเขาก็พากันส่งกลุ่มผู้อาวุโสรุ่นเยาว์ลงแข่ง ที่เรียกว่ากลุ่มผู้อาวุโสรุ่นเยาว์ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาอายุเยอะ แต่เพราะบรรพบุรุษของพวกเขาก็คือคนรับใช้ตระกูลฉู่ หลังจากตระกูลฉู่ได้ทำให้การเปลี่ยนแปลงตระกูล พวกเขาก็ได้รับแซ่ใหม่ว่าฉู่ อีกทั้งยังได้เลื่อนเป็นตระกูลฉู่สายนอกอีกด้วย
ถ้าในอนาคตพวกเขาแสดงความสามารถออกมาดี ก็จะถูกเพิ่มเข้ามาเป็นตระกูลฉู่สายในได้ หรือแม้กระทั่งสามารถนั่งตำแหน่งผู้อาวุโสของตระกูลก็สามารถทำได้ คนเหล่านี้ซื่อสัตย์กับตระกูลฉู่ตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งบวกกับระบบของตระกูลในปัจจุบัน ยิ่งทำให้พวกเขายิ่งจงรักภักดียิ่งกว่าเดิมพันเท่า แต่คนที่นำทีมตระกูลนั้นไม่ใช่ฉู่ฉุน คนผู้นั้นกลับมีชื่อว่าฉู่หนาน
ผู้เข้าร่วมทั้ง 7 คนของตระกูลฉู่ แบ่งออกเป็นฝั่งเหนือ ใต้ ออก ตก 4 คนรวมทั้งฉู่ฉุนและฉู่เหรินกับฉู่จือ 2 คน! ส่วนตอนนี้คนที่ต้องขึ้นประลองก็คือฉู่เหรินและฉู่จือ พวกเขาต้องสู้กับกลุ่มอำนาจอันดับสอง ซึ่งหนึ่งในนั่นก็คือลูกศิษย์จากนิกายหว่างเต้า กู่เฟิงจือ!
เมื่อฉู่จือรู้ว่าตนต้องสู้กับคนจากนิกายอันดับสอง เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ตรงกันข้ามกู่เฟิงจือจากนิกายหว่านเต้าที่กลับรู้สึกไม่ดีสุด ๆ! ก่อนจะขึ้นเวทีมาทุกคนก็พากันช่วยซับเหงื่ออีกฝ่ายให้วุ่นเลยทีเดียวเชียว!
ฝั่งนิกายกิเลน ฮาวโยว จางหง กวนเชิง ทั้งสามได้ออกจากค่ายกลอย่างพร้อมเพรียง ส่วนฉู่ฉุนตอนนี้กำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้อย่างดุเดือด ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ชมด้านนอกพากันส่งเสียงพูดคุยเกี่ยวกับตระกูลฉู่และนิกายกิเลน!
คู่ประลองของฉู่ฉุนนั้นเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ทั้งคู่ต่อสู้ได้สู่สี คุณโจมตีฉันตั้งรับ ฉันโจมตีคุณตั้งรับ เป็นการต่อสู้ที่มีความเป็นสุภาพชนมาก อีกทั้งที่ทำให้ทุกคนไม่เข้าใจการต่อสู้ของทั้งสองเลยก็คือ พวกเขาต่างก็ออมมือให้กันและกัน!
หลังผ่านไประยะหนึ่ง หญิงสาวก็เป็นฝ่ายขอยอมแพ้เอง แต่หลังจากฉู่ฉุนพูดมาหนึ่งประโยค มันก็ทำให้คนตระกูลฉู่เกิดความวุ่นวายขึ้น “บอกให้เธอยอมเร็ว ๆ แท้ ๆ แต่เธอก็ไม่ฟัง ฉันเคยบอกเธอแล้วไงว่าครั้งนี้ฉันแพ้ไม่ได้!”
พอฉู่เหินได้ยินแบบนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังมีความรัก จนแล้วจนรอดฉู่เหินก็อดที่จะถามไม่ได้ว่าหญิงสาวเป็นใครมาจากไหน แต่ที่ทำให้ฉู่เหินคาดไม่ถึงก็คือหญิงสาวคนนี้ก็คือลูกพี่ลูกน้องของซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ ชื่อว่าซ่างกวนเหยียนหลาน เพราะมีพรสวรรค์ฝึกยุทธที่ไม่เลว เลยถูกนิกายกิเลนพาเข้ามาฝึกฝนในนิกายด้วย
อีกทั้งพรสวรรค์พลังยุทธของหญิงสาวก็น่ากลัวมากทีเดียว เธอเข้าร่วมการฝึกฝนไม่ถึง 1 ปีก็สามารถเลื่อนขั้นราชันดาราระดับกลางได้แล้ว! ทว่าครั้งนี้เธอไม่ได้เป็นตัวแทนของนิกายกิเลน! แต่เป็นตัวแทนให้กับตระกูลซ่างกวนของพวกเขา
หลายปีที่ผ่านมาตระกูลซ่างกวนนั้นถือว่าเป็นตระกูลอันดับต้น ๆ ของโลกแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นกลุ่มผู้มีอำนาจในท้องทะเล แต่ในการแข่งขันครั้งนี้พวกเขาก็ได้ถูกเชิญให้สามารถส่งคนมาได้ 1 คน!
เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ฉู่เหินก็อดที่จะถอนหายใจยาวไม่ได้ เพราะจู่ ๆ เขาก็คิดถึงซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ขึ้นมา ไม่รู้หญิงสาวจะเป็นอย่างไงบ้างแล้ว! หัวหน้ากลุ่มของนิกายกิเลนที่กำลังอธิบายให้ฉู่เหินฟังอยู่พอเห็นอาการฉู่เหินก็เข้าใจอาการเจ็บปวดใจของอีกฝ่ายใจ ดังนั้นเขาเลยหุบปากเงียบ
“นายยอมแพ้เถอะ!” กู่เฟิงจือเมื่อเห็นฉู่จือก็พูดออกมาแบบนี้ ความยโสโอหังของกู่เฟิงจือคล้ายจากออกมาจากกระดูกเขาอย่างไรอย่างงั้น เขาทำท่าราวกับนกยูงรำแพงหาง
“คนตระกูลฉู่ไม่กลัวที่จะต้องสู้ ยิ่งไปกว่านั้น อาศัยคนอย่างนาย กู่เฟิงจือ ไม่เหมาะสมที่ฉันจะยอมแพ้” คำพูดของฉู่จือทำให้คระกูลฉู่ที่ดูอยู่ข้างนอกตะโกนว่า พูดได้ดี เสียงดังแม้แต่ฉู่เหินก็ยังพยักหน้าเงียบ ๆ กับตัวเอง ตระกูลฉู่ต้องมีความกล้าหาญ ถ้าไม่มีความกล้าหาญก็อย่าเรียกตัวเองว่าผู้มีอำนาจเลย!
ทั้งสองคนไม่พูดมากความ หลังจากทักทายไม่กี่ประโยค การประลองก็เริ่มขึ้น! ในมือของฉู่จือถือแส้เส้นหนึ่ง ส่วนกู่เฟิงจือถือแส้ขนหางจามรี! อาวุธทั้งสองคนล้วนแต่เป็นอาวุธแปลกประหลาดอย่างมาก ตอนนี้ดูเหมือนจะตัดสินแพ้ชนะยากแล้ว!