บทที่ 395 ประกาศสงคราม

บทที่ 395 ประกาศสงคราม

คิก… จากนี้ไปจะไม่มีผู้ใดใส่ร้ายท่านพ่อได้อีก

“ขอบคุณทุกท่านด้วยนะ”

ฉินเฟิงประสานมือไปข้างหน้า “นี่เป็นสิ่งที่ผู้น้อยพึงกระทำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวเป่า “อีกสองวันข้าจะส่งของกำนัลให้พวกท่าน ตอนนี้ข้าต้องขอตัวไปพบท่านพ่อก่อน”

นางต้องรีบไปหาท่านพ่อเพื่อขอความดีความชอบ

เสี่ยวเป่าทำดี ย่อมต้องมีความดีความชอบอยู่แล้ว

ท่านพ่อเองก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นฝีมือนาง

ทันทีที่มาถึงตำหนักฉินเจิ้ง นางก็ถูกอุ้มตัวลอยทันที

หนานกงสือเยวียนลูบหัวทุยเบา ๆ “ทำได้ไม่เลว”

เขาแทบไม่มีเวลาไปห้องสมุด ยังมีความรู้มากมายที่เขาต้องการศึกษาไขว่คว้า แต่ก็ทำได้เพียงมองพวกมันตาละห้อย

มนุษย์เรามีเวลาจำกัด โดยเฉพาะฮ่องเต้ผู้ที่ต้องสละเวลาส่วนตัวเพื่ออาณาจักร ดูแลทุกข์สุขของปวงประชา

สองวันมานี้เขาจึงแทบอดหลับอดนอนเพื่ออ่านตำราประวัติศาสตร์ ตำราที่เขาจำเป็นต้องอ่านจึงเหลือเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น

อีกทั้งบุตรสาวตัวน้อยยังกำชับไม่ให้เขานอนดึก

เสี่ยวเป่าได้รับคำชมจากท่านพ่อก็มีความสุขจนตัวแทบลอย “ท่านพ่อ ข้าฉลาดใช่หรือไม่ หากคนเลวพวกนั้นใส่ร้ายท่านอีก เราก็แค่ขุดคุ้ยเรื่องไม่ดีที่พวกเขาพยายามปกปิด แล้วเขียนลงบนหนังสือพิมพ์ ให้พวกเขาอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าผู้ใดอีกเลย!”

เสี่ยวเป่าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อเอง!

หนานกงสือเยวียนกอดบุตรสาวแน่นขึ้นพลางคลี่ยิ้มแผ่วเบา ทว่าเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความรักใคร่หวงแหน

นับตั้งแต่เสด็จแม่และตระกูลของท่านตาจากไปก็ไม่มีผู้ใดคอยอยู่เคียงข้าง คอยปลอบโยน ห่วงใย และปกป้องเขาอีกเลย

ไม่คิดเลยว่าเขาในวัยกลางคนจะถูกบุตรสาวห่วงใย ปกป้อง และคอยยืนหยัดอยู่เคียงข้าง

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด แต่ก็อบอุ่นใจไม่น้อย

หลังจากหนังสือพิมพ์ถูกเผยแพร่ เหล่าขุนนางตระกูลใหญ่ที่หมายจะใช้ประชาชนกดดันฮ่องเต้ให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุม แผนการจึงถูกพังไม่เป็นท่า

ส่วนสาเหตุที่พวกเขาต้องการช่วยเหลือผู้คนที่ถูกจับกุมนั่นไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์อันดีอันใดหรอก

ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดีเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีทางเสี่ยงยื่นมือเข้าไปช่วย

แต่สาเหตุที่ต้องช่วยนั้นก็เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในขุนนางตระกูลใหญ่ที่ยังเหลือรอด พวกเขาดูออกว่าฮ่องเต้หวังใช้คนเหล่านั้นกวาดล้างขุนนางตระกูลใหญ่อย่างพวกตน

พึ่งเข้าใจคำว่าน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่าก็วันนี้ อีกทั้งคนในตระกูลขุนนางอย่างพวกเขานั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันมานานนม ไม่ว่าจะเป็นการเกี่ยวดองทางการแต่งงานหรือการมีผลประโยชน์ร่วมกัน

การเคลื่อนไหวของฮ่องเต้นั้นส่งผลต่อผลประโยชน์ของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

พวกเขาจึงต้องกดดันให้ฮ่องเต้ยอมจำนนและผ่อนปรน

แต่ผู้ใดเลยจะคิดว่าแผนการใส่ร้ายฮ่องเต้ว่าโหดเหี้ยมทารุณในความคิดของประชาชนที่เคยได้ผลจะล้มเหลวไม่เป็นท่า คราวนี้ไม่เพียงแต่ใส่ร้ายฮ่องเต้ไม่สำเร็จเท่านั้น

แต่ยังสร้างความคับข้องใจให้ประชาชนทั่วทั้งเมืองหลวง ลูกหลานในตระกูลขุนนางใหญ่ที่มักประพฤติตนหยิ่งผยอง ก่อเรื่องน่าอับอายขายหน้า ต่างถูกผู้คนหมายหัว รวมตัวกันมาชุมนุมที่หน้าประตูจวน

แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลขุนนางอย่างพวกเขาไม่เคยมีผู้ใดกล้ามาดูถูกเหยียดหยามขนาดนี้ ยามนี้เหล่าขุนนางตระกูลใหญ่ได้แต่ทำลายข้าวของมีค่าในเรือนเพื่อระบายโทสะกันเป็นบ้าเป็นหลัง

“นี่มันหยามกันเกินไปแล้ว ฮ่องเต้ผู้นั้นหยามข้าเกินไปแล้ว!”

จวนสกุลหลิว ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันตบโต๊ะอย่างเดือดดาล

ตอนนี้พวกเขาก้าวขาออกจากจวนไม่ได้เลย ขนาดหลานชายจะออกไปสั่งสอนพวกคนถ่อยที่มาสร้างความวุ่นวายอยู่หน้าจวนยังถูกฝูงชนทุบตีด้วยความโกรธแค้นจนบ่าวรับใช้ในจวนต้องหิ้วปีกกลับมา

แต่ที่น่าเจ็บใจมากกว่านั้นก็คือ หลานชายของเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยองครักษ์จินอู่ผู้มีหน้าที่ตรวจตรารักษาความปลอดภัยในเมืองหลวงเลยแม้แต่น้อย

จะต้องเป็นคำสั่งจากฮ่องเต้เป็นแน่ องครักษ์พวกนั้นถึงได้นิ่งดูดาย ปล่อยให้คนพวกนั้นทุบตีหลานชายของเขา!

“นายท่าน เราจะทำอย่างไรดี หากแผนการนี้ไม่ได้ผล ฝ่าบาทคงไม่ปล่อยเราเอาไว้แน่”

และเหตุที่พวกเขาต้องดิ้นรนถึงเพียงนี้นั้น เพราะคนจากตระกูลมารดาของหลิวฮูหยินคือหนึ่งในผู้ที่ถูกจับกุม

ดวงตาของผู้นำตระกูลหลิวฉายแวววาวโรจน์ “ในเมื่ออยู่อย่างสันติไม่ได้ ก็อย่าหาว่าเราไม่ปรานี สั่งคนเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบผู้นำตระกูลอู่”

พ่อบ้านรีบรายงานพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง “นายท่าน ออกทางประตูหน้าไม่ได้ขอรับ คนพวกนั้นยังขวางประตูอยู่”

หัวหน้าตระกูลหลิวเขวี้ยงถ้วยชาในมือทันที จากที่อารมณ์คุกรุ่นอยู่แล้ว มาบัดนี้โมโหเลือดขึ้นหน้า

“บัดซบ ไอ้พวกขยะนั่น แล้วก็พวกชั้นต่ำนั้นด้วย จบเรื่องนี้แล้วข้าไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่!”

สุดท้ายหัวหน้าตระกูลหลิวก็ต้องแอบหนีออกทางประตูลับหลังจวน เขาเป็นถึงหัวหน้าตระกูลขุนนางใหญ่ ไม่เคยอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นฮ่องเต้กับคนถ่อยพวกนั้นเสียจริง

……

ภายในพระราชวัง เหล่าขุนนางตระกูลใหญ่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว เนื่องจากถูกกักบริเวณชั่วคราว หนานกงสือเยวียนจึงจัดการเรื่องน้อยใหญ่ได้ง่ายขึ้น

ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้รับข่าวคราวจากรัชทายาท ทางด้านเมืองหนานโจว นายอำเภอและผู้ตรวจการที่กระทำการทุจริตและติดสินบนสิบกว่าคนถูกจับกุม ก่อนจะนำตัวกลับมารับโทษที่เมืองหลวง ส่วนผู้มีอำนาจในท้องถิ่น หลังพบหลักฐานการกระทำผิดยืนยันชัดเจนก็ถูกประหารทันที

ฎีการ้องเรียนหลายฉบับจึงส่งมาถึงมือเขา แม้ขุนนางที่มาเข้าร่วมประชุมในวันนี้จะมีไม่มากนัก แต่ก็ยังเกิดความโกลาหลขึ้นจนได้

พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าองค์รัชทายาทผู้สุภาพอ่อนโยนและเป็นมิตร จะกลายเป็นคนโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ถึงกับสั่งประหารคนไปแล้วอย่างน้อยสามพันคน

“ฝ่าบาท องค์รัชทายาททรงกระทำการโหดเหี้ยมทารุณเช่นนี้มีแต่จะสร้างชื่อเสียงด้านลบนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท นั่นชีวิตคนตั้งสามพันชีวิตเลยนะพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่องค์รัชทายาททรงกระทำมันขัดต่อประสงค์ของสวรรค์นะพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท…”

ทว่าหนานกงสือเยวียนกลับหัวเราะเยือกเย็น “แค่สามพันชีวิต โหดเหี้ยม?”

เขาจ้องผู้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพลางหัวเราะเยาะ “ข้ากลับคิดว่ารัชทายาททำได้ดี เด็ก ๆ นำข่าวทั้งหมดนี้ไปแจ้ง ‘สำนักหนังสือพิมพ์ต้าเซี่ย’ กำชับพวกเขาว่าเขียนทุกอย่างให้ละเอียด รวมทั้งการกระทำอันชั่วร้ายของขุนนางผู้มีอำนาจ อย่าให้พลาดแม้แต่นิดเดียว ให้ราษฎรต้าเซี่ยตัดสินกันเอาเองว่าสิ่งที่รัชทายาททำมันถูกต้องแล้วหรือไม่!”

สิ้นสุรเสียงจากองค์ฮ่องเต้ ผู้คนทั้งท้องพระโรงต่างคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมใบหน้าไร้สี

ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ไม่ไว้หน้าพวกเขาเลยสักนิด เหมือนต้องการเหยียบย่ำให้จมดินเสียด้วยซ้ำ

หนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์นั่นอีกแล้ว

ตั้งแต่มีสิ่งนั้นออกมา นอกจากขุนนางตระกูลใหญ่อย่างพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมความคิดประชาชนได้แล้ว ทั้งยังทำให้ฮ่องเต้ผู้นั้นเข้าไปอยู่ในใจผู้คนอีกด้วย

“ปิดประชุม”

หนานกงสือเยวียนจากไปจนลับสายตาแล้ว ขุนนางตระกูลใหญ่ที่เหลืออยู่นำโดยไท่ซือ*[1] หันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย

แล้วที่นี้พวกเขาควรทำอย่างไรต่อ

เหตุผลที่ไท่ซือผู้นี้ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่ใช่ว่าเขานึกละอายหรือคิดอยากกลับตัวกลับใจ แต่เป็นเพราะเขามีแผนการที่แยบยลกว่าคนอื่น เพียงยังไม่ถูกเปิดเผย

“ไท่ซือ เราควรทำอย่างไรดี ฝ่าบาททรงหมายมั่นจะจัดการพวกเราให้ได้”

ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นเหล่านั้นล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาไม่มากก็น้อย เพราะอย่างไรเสียบุตรนอกสมรสของพวกเขาก็มีความเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น ทั้งบุตรสาวนอกสมรสที่แต่งออกไป บางคนถึงขั้นให้บุตรชายนอกสมรสที่ตนไม่รักใคร่ไปแต่งงานกับบุตรสาวของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นก็มี

แม้ตอนนี้พวกเขาจะตัดสัมพันธ์กับคนพวกนั้นไปแล้วก็ตาม ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็ต้องซัดทอดมาถึงตัวพวกเขาเป็นแน่

แต่พอนึกถึงดาบของฝ่าบาทที่พร้อมจะบั่นคอพวกตน เหงื่อเย็นพลันหลั่งไหลทั่วสรรพางค์กาย

“ในเมื่อฝ่าบาททรงไม่ยอมผ่อนปรน เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเราล่วงเกินเบื้องสูงเลย”

ความทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุดแฝงอยู่ในแววตาแข็งกร้าวของไท่ซือ “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราทุกคนจะไม่เข้าร่วมประชุมขุนนาง เพราะอาการป่วย ดูสิว่าหนานกงสือเยวียนจะปกครองบ้านเมืองต่อไปอย่างไร เมื่อขาดขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนัก!”

เช้าวันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ฉบับใหม่เริ่มวางขายทั่วเมืองหลวง ขุนนางมากกว่าครึ่งในราชสำนักไม่เข้าร่วมประชุม โดยอ้างว่าป่วย เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการบีบบังคับให้ฮ่องเต้ยอมจำนน

สงครามระหว่างฮ่องเต้และขุนนางตระกูลใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

[1] ไท่ซือ (太师) ทำหน้าที่เหมือนมหาราชครู เป็นหนึ่งในสามเสนา (三公)