ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 29 นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ข้ารีบเร่งมาถึงประตูสวนเหมันต์แล้วหาศพขององครักษ์พบในพุ่มไม้ แต่ทันใดนั้นหัวใจข้าพลันเย็นยะเยือก นกหวีดทองแดงเหล่านั้นถูกโยนทิ้งไว้ข้างศพ แต่พวกมันถูกทำลายเสียแล้ว เพชฌฆาตใจทมิฬทำงานรอบคอบอย่างแท้จริง ข้ามองไปรอบด้านอย่างลนลาน ทำเช่นไรดี ทำเช่นไรดี เกรงว่าข้าคงหนีไม่รอดแล้ว

ข้ากัดฟัน มองสำรวจรอบด้านครู่หนึ่งว่าตรงไหนพอจะซ่อนตัวได้บ้าง มิใช่ข้าคิดหนีเอาตัวรอด แต่หากข้าหนี เผยอวิ๋นยังผละถอยได้ แต่หากข้าไม่หนี เผยอวิ๋นย่อมได้แต่สู้จนตัวตายทางเดียว ทันใดนั้นเองข้าก็นึกขึ้นได้ว่าในเรือนที่ข้าอาศัยมียาพิษสำหรับป้องกันตัวเก็บเอาไว้ ข้ารีบเข้าไปในสวนอีกครั้งแล้ววิ่งโซซัดโซเซไปยังตัวเรือน

สองคนที่กำลังประมือกันเห็นข้ากลับมาอีกครั้ง เพชฌฆาตใจทมิฬโล่งอก ในใจคิดว่าขอเพียงเจียงเจ๋อยังอยู่ เขาก็ทุ่มสมาธิประมือกับคนผู้นี้ได้ เพชฌฆาตใจทมิฬผ่อนแรงลงครั้งนี้ ทำให้เผยอวิ๋นสบายขึ้นมาก แต่ในใจเขากลับร้อนรนยิ่งนัก เหตุใดเจียงเจ๋อจึงกลับมาอีก

ในใจทั้งสองต่างสงสัย พวกเขาประมือกันอีกสองสามกระบวนท่า เผยอวิ๋นก็เริ่มต้านไม่ไหว เขานึกขึ้นว่า คิดไม่ถึงข้าจะไม่ได้ตายในสนามรบ แต่กลับมาตายใต้เงื้อมมือมือสังหารในสวนเหมันต์ของจวนยงอ๋องแห่งนี้

แม้เป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นแน่วแน่ ไม่ยอมละความพยายาม เพชฌฆาตใจทมิฬเองก็ไม่รีบร้อนเพราะอีกประเดี๋ยวตนก็จะทำภารกิจลุล่วง

ตอนนี้เอง ข้าก็ถือกระบอกเหล็กรีบร้อนก้าวเดินเข้ามา ข้ามองทั้งสองคนที่ต่อสู้กันอย่างทรหดอยู่แล้วตะโกนเสียงดัง แม่ทัพเผยโปรดวางใจ แม้ยาพิษชนิดนี้ของข้าจะร้ายแรง แต่ไม่ถึงตายในทันที แล้วข้าจะมอบยาแก้พิษให้ท่าน

ข้าพูดจบก็หันไปทางทั้งสองคนแล้วกดกลไก กระสุนสีแดงลูกหนึ่งพุ่งออกมาจากกระบอก จากนั้นระเบิดอยู่เหนือศีรษะของทั้งสองคน หมอกควันสีชมพูปกคลุมทั้งสองคนไว้ด้านในทันที เพชฌฆาตใจทมิฬตกใจยิ่งนัก เขารู้ว่าเจียงเจ๋อเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ มียาพิษจำนวนหนึ่งไว้ป้องกันตัวก็เป็นเรื่องปกติ เขารีบทะยานร่างถอยหลัง ทว่ากลับถูกเผยอวิ๋นผู้รีดเร้นกำลังที่เหลือพัวพันไม่ห่าง เขาทำได้เพียงกลั้นลมหายใจ ใครจะรู้ว่าเมื่อหมอกควันเหล่านี้สัมผัสผิวของเขา แขนขาก็ชาหนึบในทันที แม้เผยอวิ๋นเกิดความรู้สึกเดียวกัน แต่วรยุทธ์ที่เขาฝึกปรือคือยอดวรยุทธ์ดั้งเดิมของสายพุทธ ดังนั้นเขาจึงอดทนได้มากถึงสิบกว่าลมหายใจ ด้วยเหตุนี้หนึ่งฝ่ามือจึงโจมตีเข้าที่ท้องน้อยของเพชฌฆาตใจทมิฬ ร่างกายของเพชฌฆาตใจทมิฬสะท้านเฮือกแล้วล้มลงไปกับพื้น ทว่ากระแสลมจากฝ่ามือก็เป่าหมอกควันรอบด้านออกไปด้วย ตัวเผยอวิ๋นเองก็โงนเงนใกล้ล้ม โซเซทรุดลงพื้นเช่นกัน

ข้าดีใจยิ่งนัก รีบวิ่งเข้าไปเทยาแก้พิษจากขวดหยกสีเขียวใบหนึ่งยัดใส่ปากของเผยอวิ๋น ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยเสียงแหบพร่า พิษคลายแล้ว ใต้เท้าโปรดวางใจ เผยอวิ๋นจะคุ้มครองใต้เท้าไปยังที่ปลอดภัย

ข้าพยุงเผยอวิ๋นขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ขอบคุณท่านแม่ทัพยิ่งนักที่ช่วยเหลือ พวกเรารีบออกไปเถิด หากมีมือสังหารอีกคงแย่

เผยอวิ๋นก็คิดเช่นเดียวกัน หากมีมือสังหารอีก เขาคงไร้กำลังปกป้องข้าแล้ว พวกเราสองคนมุ่งไปยังประตูสวน ต่างคนต่างประคองอีกฝ่าย แต่ละคนล้วนเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรง ทว่าเพิ่งก้าวพ้นประตูสวน ข้าพลันรู้สึกถึงไอสังหารจากที่ไกล ชั่วขณะที่หูได้ยินเสียงสายธนูดีดแผ่วเบา ลูกศรขนสีขาวดอกหนึ่งก็พุ่งดุจลำแสงจมหายเข้าไปในหน้าอกของข้าแล้ว

ข้ามองลูกศรตรงหน้าอกอย่างตกตะลึง โลหิตหลั่งรินออกมาทันที คิดไม่ถึงว่าชีวิตข้าจะจบลงเช่นนี้ น่าแปลกที่ในใจข้ากลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย และไม่มีความแค้นประการใด ข้าไม่กล่าวโทษผู้ที่ต้องการสังหารข้า เหล่าปุถุชนบนโลก ผู้แข็งแกร่งล้วนกัดกินผู้อ่อนแอ เขาย่อมมีเหตุผลของเขา

ข้ามองไปยังทิศทางที่ลูกธนูแล่นมา มือสังหารที่ถือคันศรเร้นกายอยู่ในเงามืดผู้นั้นกำลังมองข้าด้วยแววตาเย็นชา เขาสวมอาภรณ์สีฟ้าทั้งร่าง ใบหน้าพันผ้าไหมสีขาวโพลน ดวงตาใสกระจ่างดุจสายน้ำในวสันตฤดูคู่นั้นแฝงเสี้ยวความเสียดายยามมองข้า

ข้ารู้สึกว่าชีวิตกำลังไหลหายไปจากร่าง หูได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนกของเผยอวิ๋น แต่ข้าไร้เรี่ยวแรงจะขบคิดแล้ว ก่อนความตายมาเยือน ในใจข้าพลันปรากฏเรือนร่างงามของเพียวเซียง หลังจากนั้นก็เป็นเงาร่างเล็กจ้อยของโหรวหลัน สุดท้ายก็นึกถึงเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาที่คอยติดตามอยู่ข้างกายข้ามาตลอดคนนั้น

สายตาที่มองภาพเบื้องหน้าเริ่มเลือนราง ท่ามกลางความพร่ามัว ข้าเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อทะยานเข้ามาหาข้าด้วยสีหน้าเจ็บปวดแทบขาดใจ น่าเสียดายนักเชียว ข้ายังไม่มีโอกาสฝากฝังเขาให้ดูแลโหรวหลันเลย แต่ข้าคิดว่าเขาคงรู้ ข้าแย้มรอยยิ้มจางๆ อย่างนึกเสียดาย แล้วในที่สุดก็หลับตาลง สติจมดิ่งสู่ความมืดอันไร้ก้นบึ้งแล้วร่วงลึกลงไป

ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ได้ยินเสียงร่ำไห้โหยหวนอันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังนั่น

ในห้องโถงใหญ่ของจวนยงอ๋อง หลี่จื้อยิ้มแย้มยกสุรารับการคารวะจากแขกเหรื่อทั้งหลาย เขากวาดสายตามองผู้คน หลังจากเริ่มงานเลี้ยงได้ไม่นาน ฉินชิงก็ขอตัวกลับ หลี่จื้อรู้ว่าเขาไปที่สวนเหมันต์และเหมือนจะโต้เถียงบางอย่างกับเจียงเจ๋อ แต่ดูจากสีหน้าของเขา ความแค้นเคืองเก่าก่อนหายไปสิ้นแล้ว แม้ยังมีความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่น่าจะไม่หนักหนา

อ้อ เซี่ยโหวหลันกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงพ่อลูกก็มาร่วมงานเลี้ยงฉลองด้วย เซี่ยโหวหยวนเฟิงตำแหน่งไม่สูงนักจึงร่วมงานเลี้ยงอยู่ที่ห้องโถงข้าง คนผู้นี้ไม่อาจดูแคลนได้ เขาเป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อมาหลายปีไม่เสื่อมคลาย ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากมิใช่คนผู้นี้เอนเอียงเข้าข้างรัชทายาท อีกทั้งคิดอาจเอื้อมกับองค์หญิง ตนก็คงคิดชักชวนเขาเข้าพวกแล้ว เขาเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ สมกับที่เป็นยอดฝีมือหนุ่มอันดับหนึ่งของกองทัพต้ายง นับตั้งแต่เขาเอาชนะเผยอวิ๋นได้ ก็ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งอย่างมั่นคง

เผยอวิ๋นกลับไม่มา ความจริงผู้ที่ตนถูกใจมากที่สุดก็คือเผยอวิ๋น แม้เขาเคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของฉีอ๋อง แต่คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่ไม่ได้ละทางโลกของเส้าหลิน อีกทั้งยังไม่พอใจสำนักเฟิงอี้ น่าจะชักชวนมาเป็นพวกได้ แม้น่าเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้มา แต่ยังมีโอกาส

สายตาของหลี่จื้อโฉบผ่านไปเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อที่แต่งกายเป็นบ่าวรับใช้ยืนอยู่ในมุม แววตาเย็นยะเยือกคู่นั้นมองดูขุนนางนับร้อยในห้องโถง เสี่ยวซุ่นจื่อผู้นี้จงรักภักดีต่อเจียงเจ๋อผู้เดียว แม้ไม่ทราบว่าวรยุทธ์ของเขาเป็นเช่นไร แต่น่าจะไม่ด้อยไปกว่าเผยอวิ๋นหรือเซี่ยโหวหยวนเฟิง เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถผู้หนึ่ง ดูจากที่เขาเป็นฝ่ายขอมาที่นี่เพื่อสังเกตแขกเหรื่อซึ่งอาจเป็นศัตรูเหล่านั้นก็รู้ถึงความคิดของเขาแล้ว หากมิใช่ว่าเขาจงรักภักดีเช่นนี้ ในอนาคตหลี่จื้อคิดจะส่งเขาเข้าวังเสียด้วยซ้ำ

เวลานี้เอง หลี่จื้อก็เห็นองครักษ์คนหนึ่งรีบร้อนเดินเข้ามากระซิบบางอย่างข้างตัวโก่วเหลียนผู้รับผิดชอบจัดการงานเลี้ยงฉลอง โก่วเหลียนขมวดคิ้วแล้วออกคำสั่งสองสามประโยค จากนั้นโก่วเหลียนจึงเดินไปหยุดข้างกายเสี่ยวซุ่นจื่อพูดจาอีกสองสามคำ เสี่ยวซุ่นจื่อเปลี่ยนสีหน้าไปทันทีแล้วถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ โก่วเหลียวกำลังเดินเข้ามาหาตน แต่ในเวลานี้ขุนนางคนสำคัญในราชสำนักหลายคนก็รุมล้อมเข้ามาด้วย หลี่จื้อจึงผละออกมาไม่ได้ชั่วขณะ เมื่อหาจังหวะได้ในที่สุด โก่วเหลียวจึงขยับเข้ามาใกล้ตน แล้วเอ่ยเสียงเบา องค์ชาย สถานการณ์ไม่ดี รองหัวหน้าองครักษ์หูที่คุ้มกันสุยอวิ๋นกับผู้ใต้บังคับบัญชาสองนายถูกคนสังหารอยู่ด้านในจวน ข้างกันยังมีศพขันทีอีกสองคน ข้าส่งคนไปคุ้มครองเจียงซือหม่าแล้ว

หลี่จื้อตกตะลึง รีบเอ่ยทันที ข้าจะไปดูด้วยตนเอง โก่วเหลียวกลับเอ่ยว่า ตอนนี้เกรงว่าองค์ชายจะผละจากไปไม่ได้

ในตอนนี้เอง เสียงร่ำร้องโศกศัลย์แจ่มชัดก็ดังมาจากทิศที่ตั้งสวนเหมันต์ เสียงโศกสลดนั่นอัดแน่นไปด้วยความโศกเศร้าอันสิ้นหวัง เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้นของการสูญเสียครอบครัว เสียงแหลมเล็กโหยหวนนั่นแม้อยู่ไกลเช่นนี้ก็ยังคงทิ่มแทงจนในหูเจ็บปวดยากจะทน จอกสุราในมือหลี่จื้อร่วงหล่นลงพื้นแตกกระจาย หัวใจเขาเต็มไปด้วยลางสังหรณ์ร้าย ทิศทางนี้ เสียงนี้ เขารู้ว่ามีเพียงสถานการณ์เดียวเท่านั้นจึงจะเป็นเช่นนี้ได้

หลี่จื้อลุกพรวดแล้วตวาดเกรี้ยวกราดทันที ทุกคนรับบัญชา เฝ้าจวนอ๋องทุกทาง ไม่ว่ายศสูงต่ำห้ามเข้าออกตามอำเภอใจ ตามข้ามา หลี่จื้อพูดจบก็สะบัดอาภรณ์แพรไหมวิ่งไปทางสวนเหมันต์ ในใจเขาร้อนรนเสียยิ่งกว่ายามนั้นที่เจียงเจ๋อเอ่ยปฏิเสธ ขณะที่วิ่งไปยังสวนเหมันต์ เขาก็ภาวนาต่อสวรรค์อยู่เงียบๆ หากคุ้มครองเจียงเจ๋อให้ปลอดภัยได้ ข้ายินยอมสละอายุขัยเป็นการแลกเปลี่ยน

เมื่อเร่งรีบมาถึงสวนเหมันต์ ก็เห็นสวนเหมันต์ถูกองครักษ์กับทหารคนสนิทที่ส่งมาก่อนหน้าคอยคุ้มกันไว้แล้ว หลี่จื้อพุ่งผ่านประตูสวนแล้วนิ่งอึ้งในทันใด ผืนดินในสวนทุกหนแห่งมีแต่เลือดสีแดงฉานและร่องรอยการต่อสู้อันโหดร้าย นอกจากองครักษ์ที่ตนส่งมาแล้วไม่เห็นร่างของเจียงเจ๋อสองนายบ่าว องครักษ์หลายคนยืนเงียบดุจจักจั่นยามเหมันต์อยู่หน้าประตูเรือนนอน หลี่จื้อเดินมาถึงหน้าประตูอย่างไร้สติ แล้วจึงเห็นเจียงเจ๋อนอนนิ่งสงบสีหน้าซีดเผือดอยู่บนตั่งนุ่ม ตรงหน้าอกมีลูกธนูหักครึ่งดอกหนึ่งปักอยู่ เสี่ยวซุ่นจื่อคุกเข่าอยู่หน้าตั่งนุ่มกุมมือข้างขวาของเจียงเจ๋อไว้แน่น

หลี่จื้อรู้สึกปวดใจแสนสาหัสแทบจะเป็นลม พูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ

ตอนต่อไป