บทที่ 281 เซวียนผิงโหวออกโรง
ถังเย่ว์ซานลอบประเมินฝีมือของเซวียนผิงโหวอยู่ในใจ หากว่ากันตามจริงแล้ว เขากับเซวียนผิงโหวเคยประมือกันเพียงไม่กี่ครั้ง ทั้งยังเป็นเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนอีกต่างหาก
วรยุทธ์ของเซวียนผิงโหวนั้นเหนือกว่าเขา แต่เพราะเซวียนผิงโหวบาดเจ็บที่บั้นเอว ได้ยินมาว่าจวบจนบัดนี้ก็ยังไม่หายดี วันดีคืนดีก็มักจะเจ็บแปลบขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว
เขามั่นใจ หากสู้กันด้วยวรยุทธ์แล้ว เซวียนผิงโหวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน
หรือจะสู้กันด้วยตำราอย่างนั้นหรือ
เซวียนผิงโหวยิ่งไม่ใช่คู่แข่งของเขาไปใหญ่
แม้ท้องของเขาจะเค้นน้ำหมึกออกมาได้ไม่ถึงสองหยด ไม่ได้เชี่ยวชาญคัมภีร์ตำรามากมายขนาดนั้น แต่หากเทียบกับเซวียนผิงโหวแล้วก็นับว่าเก่งกว่าอยู่มากโข เซวียนผิงโหวคือว่านักเลงหัวไม้ที่รู้หนังสือก็ว่าได้!
เซวียนผิงโหวร้องไอ้หยา เอ่ยราวกับลำบากใจเหลือเกิน “ใต้เท้าถัง ท่านคงรู้เรื่องที่ข้าบาดเจ็บอยู่บ้าง ข้าจะขอส่งคนประลองแทนข้าได้หรือไม่”
ดูท่าทางแล้วคงเตรียมการมาเพื่อประลองยุทธ์กับเขาสินะ ถังเย่ว์ซานกวาดตามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเซวียนผิงโหว เขารู้จักเจ้าหนุ่มคนนี้ เขานามว่าฉังจิ่ง เป็นองครักษ์ลับคนหนึ่ง ส่วนเป็นใครมาจากไหนนั้น ถังเย่ว์ซานก็ไม่รู้แน่ชัด
ถังเย่ว์ซานแทบจะไม่รู้สึกถึงจังหวะลมหายใจจากร่างของอีกฝ่าย นั่นมีความเป็นได้อยู่สองอย่าง อย่างแรกคืออีกฝ่ายไม่มีวรยุทธ์ อย่างที่สองคือวรยุทธ์ของอีกฝ่ายนั้นเหนือกว่าเขามาก และแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ฉังจิ่งนั้นไม่ใช่อย่างที่หนึ่งเป็นแน่
จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าไม่แปลกก็ใช่
ไม่แปลกเพราะว่าถังเย่ว์ซานเป็นคนนำทหารออกรบ สิ่งที่เขาร่ำเรียนมาคือวิชาเอาชนะศัตรูในสนามรบ วรยุทธ์ของเขาสูงส่ง แต่ไม่จำเป็นต้องสูงเท่าองครักษ์หรือมือสังหาร
แต่ที่น่าแปลกก็คือเจ้าหนุ่มคนนี้ช่างลึกลับเหลือเกิน ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงสืบหาเบื้องหลังของเขาได้พบ
ถังเย่ว์ซานเป็นคนรักศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่ใช่คนที่ยอมตกนรกทั้งเป็นเพียงเพราะรักษาหน้า วิธีการท้าทายเมื่อครู่อาจจะใช้กับเขาได้ผลก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้เขายอมตกลงเดิมพันครั้งนี้เป็นเพราะความต้องการลึกๆ ของเขาเอง…เขาอยากจะกระชากตำแหน่งเซวียนผิงโหวของเซียวจี่
เพราะอย่างนั้น เขาไม่มีทางยอมให้ฉังจิ่งออกโรงแทนเซวียนผิงโหวเพียงเพราะต้องการรักษาหน้าหรอก ต่อให้หลังจากนี้เซวียนผิงโหวจะโอดครวญว่าเขานั้นรังแกตนที่บาดเจ็บ เอาชนะมาอย่างไร้ความชอบธรรมก็ตาม
“ไม่ได้” ถังเย่ว์ซานเอ่ยสีหน้าจริงจัง
เป็นไปตามที่คาดไว้ เซวียนผิงโหวบ่นพึมพำออกมาจริง “รังแกคนเอวบาดเจ็บเช่นข้า หากแพร่งพรายออกไป ไม่กลัวว่าคนจะหัวเราะเยาะท่านว่าเอาชนะมาอย่างไร้ความชอบธรรมหรือ”
ถังเย่ว์ซานแค่นหัวเราะเอ่ย “จะเดิมพันก็ว่ามา หากไม่เดิมพันก็จงไปเสีย”
“เดิมพันสิ ต้องเดิมพันอยู่แล้ว ข้าเป็นคนพูดแล้วคืนคำหรืออย่างไร” เซวียนผิงโหวนั้นเป็นขึ้นชื่อเรื่องหน้าไม่อาย ถังเย่ว์ซานกลัวว่าจะแพ้ แต่เซวียนผิงโหวนั้นไม่กลัวอะไรทั้งนั้น สองพยางค์สั้นๆ ‘หน้าด้าน’ เพราะอย่างนั้นเขาจึงกล้าเดิมพัน และก็กล้าแพ้ด้วย
หากมองในอีกแง่หนึ่ง แม้เซวียนผิงโหวจะมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดี แต่ถังเย่ว์ซานก็ไม่กลัวว่าเขาจะเล่นตุกติกภายหลัง
“เอาละ เช่นนั้นก็ลงมือเลย” เซวียนผิงโหวแบมือ เผยให้เห็นลูกแก้วที่ทำจากหยกสองลูก “ท่านเลือกมาหนึ่งลูก”
ถังเย่ว์ซานชะงักไป “จะทำอะไร”
เซวียนผิงโหวตอบ “ดีดลูกแก้วอย่างไรเล่า!”
ถังเย่ว์ซานแทบสำลัก “ที่…ที่เจ้าพูดว่าลงมือเลย…คือดีดเจ้านี่น่ะหรือ”
“อ้าว ก็ใช่นั่นสิ!” เซวียนผิงโหวสีหน้ามั่นใจ “ไม่อยากนั้นท่านจะลงมือทำอะไรเล่า”
ลงมือ…ประลองยุทธ์น่ะสิ!
ถังเย่ว์ซานกำหมัดแน่น โมโหจนมุมปากกระตุกเหยเกไปหมดแล้ว
เมื่อครู่เป็นเขาเองที่พูดว่าจะเดิมพันก็ว่ามา หากไม่เดิมพันก็จงไปเสีย จะมาเสียใจเอาตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ในเมื่อไม่ใช่ปัญหาเรื่องศักดิ์ศรี แต่จะเอ่ยแล้วคืนคำไม่ได้อยู่ดี
ถังเย่ว์ซานสูดปากด้วยความโกรธ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองอายุปูนนี้แล้วจะต้องมาแข่งอะไรเช่นนี้อีก
สติปัญญาของเซวียนผิงโหวไม่ได้มีปัญหาจริงๆ รึ เหตุใดเขาถึงคิดอะไรเช่นนี้ขึ้นมาได้ เขาไม่กลัวขายหน้าเลยหรืออย่างไร
“ได้ ได้ ได้ ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น!”
เขารับคำอย่างขอไปที พลางเลือกลูกแก้วมาลูกหนึ่ง
มองเผินๆ แล้วลูกแก้วของฉังจิ่งนั้นดูไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ทว่าความจริงแล้วแต่ละลูกนั้นไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นลูกที่ถังเย่ว์ซานเลือกคือหยกชิงฮวา ส่วนลูกที่อยู่ในมือของเซวียนผิงโหวคือหยกอวี้ฮวา ลวดลายแสนวิจิตร
เซวียนผิงโหวสั่งให้คนขุดโพรงเล็กๆ สองโพรงสำหรับเขาและถังเย่ว์ซาน ลูกแก้วนั้นมีวิธีการละเล่นมากมาย เขาให้ถังเย่ว์ซานเป็นคนเลือก ถังเย่ว์ซานเลือกการละเล่นที่ไม่ต้องเลือกผู้เล่นก่อนหลัง ส่วนวิธีการเล่นนั้นทั้งสองคนจะได้ถือลูกแก้วคนละสิบลูก โดยไม่รวมลูกแก้วที่อยู่ในมือ หากใครดีดเข้าโพรงได้ทั้งสิบลูกก่อน คนนั้นจะเป็นผู้ชนะ
ฟังดูเหมือนง่าย
ทว่าหากต้องมานั่งยองลงดีดลูกแก้วต่อหน้าลูกน้องใต้บังคับบัญชามากมายเช่นนี้ ก็พลันรู้สึกเหมือนคนสติไม่สมประกอบอย่างไรก็ไม่รู้
โชคดีที่เซวียนผิงโหวคือคนบ้ารูปงาม ไม่ว่าจะทำอะไรก็เพลินหูเพลินตาเหลือเกิน แต่พอถังเย่ว์ซานนั่งย่อตัวลงก็ดูไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย
ถังเย่ว์ซานพลันนึกเสียใจขึ้นมา เหตุใดเขาต้องมาเดิมพันกับเจ้าบ้านี่ด้วย เขาลืมไปแล้วหรือไรว่าเจ้าบ้านี่ไม่เคยทำเรื่องปกติเหมือนชาวบ้านเขา
เซวียนผิงโหวนั่งยองลงบนพื้น เหลียวไปมองถังเย่ว์ซาน “ใต้เท้าถังเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่”
ในตอนนั้นคนจำนวนไม่น้อยได้ยินข่าวว่าเจ้านายใหญ่สองคนกำลังประลองกันที่หน้าห้องสำเร็จโทษ จึงพากันวิ่งมามุงดู แต่กลับกลายเป็นว่า…พวกเขาต้องมาดูอะไรแบบนี้น่ะหรือ
ถังเย่ว์ซานอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แสร้งตวาดเสียงเข้ม “มาดูอะไรกัน ไม่ต้องฝึกซ้อมหรืออย่างไร!”
ทุกคนตื่นตระหนกพากันลนลานวิ่งออกไป!
จุดเกิดเหตุจึงเหลือเพียงคนบ้าสองคน…เอ่อ ไม่ใช่สิ สองผู้ยิ่งใหญ่และผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของทั้งสองกับกู้ฉังชิง
กู้ฉังชิงไม่ได้สนใจการเดิมพันนี้เลยสักนิด นั่งอยู่บนกองฟางในห้องสำเร็จโทษ เอนหลังพิงกับกำแพง หลับตาลงเพื่อนสงบจิตใจ
ถังเย่ว์ซานก่นด่าเซวียนผิงโหวอยู่ในใจนับพันครั้ง จากนั้นเสียงฆ้องสำริดที่ฉังจิ่งตีก็ดังขึ้น การประลองดีดลูกแก้วนัดชี้ชะตาของวันนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เดิมที่ถังเย่ว์ซานมั่นใจไม่น้อย เพราะตั้งแต่เอวของเซวียนผิงโหวได้รับบาดเจ็บก็ไม่ได้ซ้อมวรยุทธ์มานาน แต่ตัวเขาฝึกซ้อมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เทียบกันแล้วอย่างไรเสียก็ย่อมเป็นต่อเซวียนผิงโหวอยู่แล้ว
ทว่าว่าพอเซวียนผิงโหวลงมือ ก็เหมือนตบฉาดเข้าที่หน้าของถังเย่ว์ซานจนลงไถลไปกันพื้น
ถังเย่ว์ซานยังไม่ทันดีดเข้าโพรงเลยสักลูก เซวียนผิงโหวก็ดีดลูกแก้วสิบลูกเข้าไปโพรงไปติดๆ ใช่แล้ว เขาใช้ลูกแก้วลูกเดียวดีดลูกแก้วทั้งสิบลูกอย่างง่ายดาย ฝีมือเฉียบขาด เรียกได้ว่าระดับเซียน!
ถังเย่ว์ซายนิ่งอึ้ง
เจ้าหมอนี่วันๆ ไม่ฝึกซ้อม แต่เอาเวลาไปดีดลูกแก้วอย่างนั้นหรือ
เซวียนผิงโหวร้องไอ้หยา ราวกับหมดเรี่ยวหมดแรง ก่อนจะค่อยๆ หยัดตัวยืนขึ้นช้าๆ มองต่ำลงมายังถังเย่ว์ซานที่กำลังตกตะลึง “ท่านแพ้แล้ว ใต้เท้าถัง”
ตอนที่เขาหลอกล่อฉังจิ่งจนมาเป็นองครักษ์ลับของตัวเอง เขาเองก็แอบซุ่มซ้อมดีดลูกแก้วมาตั้งนาน
คราวนี้หากถังเย่ว์ซานจะบอกว่าตัวเองถูกเซวียนผิงโหวลอบตลบหลังตอนยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็คงฟังไม่ขึ้น แต่หากตั้งตัวทันแล้วอย่างไรเล่า เขาปากดีเองตั้งแต่แรก แล้วจะมาเสียใจเอาตอนนี้หรือ
บังเอิญว่าในขณะเดียวกัน บ่าวของจวนหยวนไซว่คนหนึ่งก็เข้ามาอย่างรีบเร่ง กระซิบข้างหูเขาสองสามคำ
แววตาของเขาไหววูบ ก่อนจะลุกยืนขึ้นพลางมองเซวียนผิงโหวด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วหันไปมองกู้ฉังชิงในห้องสำเร็จโทษ เขาเอ่ยด้วยเสียงไม่สบอารมณ์นัก “เหอะ วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่เจ้าทำให้หมิงเอ๋อร์เจ็บ ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าลอยนวลแน่นอน!”
พูดจบ เขาก็โยนลูกแก้วในมือทิ้ง เดินจากไปด้วยสายตาแน่วแน่
เซวียนผิงโหวใช้ให้คนเก็บลูกแก้วขึ้นมา ก่อนจะเช็ดถูด้วยตัวเองแล้วยื่นคืนให้ฉังจิ่ง
ฉังจิ่งหงุดหงิดไม่น้อย
เขาไม่ชอบให้ใครแตะต้องลูกแก้วของเขา
เซวียนผิงโหวจัดแจงเสื้อผ้าบนบ่าเขาพลางเอ่ยปลอบใจ “คราวหน้าจะซื้อให้เจ้าใหม่ เอาแบบที่กลมๆ งามๆ ดีไหม”
ฉังจิ่งหน้าบึ้งตึง แววตาคับแค้นใจ “ท่านพูดมาสามสิบเจ็ดหนแล้ว”
เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “เอ๊ะ เคยหรือ คราวนี้ซื้อให้แน่นอน ซื้อให้แน่นอน!”
ฉังจิ่งก้มหน้า พินิจมองลูกแก้วของตนอย่างละเอียด
เซวียนผิงโหวหยุดอยู่ที่หน้าห้องสำเร็จโทษ มองดูดวงตาคู่นั้นของกู้ฉังชิงที่หลับลงราวกับไม่แยแสกับความเป็นความตาย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ยังหนุ่มยังแน่อยู่แท้ๆ เหตุใดถึงคิดสั้นเช่นนี้”
กู้ฉังชิงลืมตาขึ้นช้าๆ มองไปยังกำแพงผุพังมืดมิดที่เต็มไปด้วยคราบน้ำเปียกชื้นเบื้องหน้า “ข้าไม่ได้คิดสั้น”
เซวียนผิงโหวหยุดเพียงเท่านั้น ไม่โต้แย้งเขาแต่อย่างใดก่อนจะเอ่ยต่อ “หากเจ้ามีเรื่องอัดอั้นตันใจ จะกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่ายบาทก็ได้”
กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้มีเรื่องอัดอั้นตันใจ”
ไม่เรื่องอัดอั้นนั่นแลคือสิ่งที่อัดอั้นตันใจที่สุด เพราะไม่รู้จะพูดออกไปอย่างไร
เซวียนผิงโหวรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ไม่พูดออกไป ก่อนจะหัวเราะเสียงแผ่วเบา “เช่นนั้นก็ได้ เรื่องราวก็คลี่คลายแล้ว ข้าก็ควรจะกลับจวนไปนอนชดเชยแล้วล่ะ แล้วพบกันใหม่”
กู้ฉังชิงค้อมตัวให้เล็กน้อยเชิงคำนับ
เซวียนผิวโหวอ้าปากหาววอดแล้วขึ้นรถม้าไป
ฉังจิ่งนั่งอยู่นอกตัวรถเพื่อขับรถ แม้เซวียนผิงโหวจะหลับตาลงก็รู้ว่ารถเคลื่อนไปทางใด เขาเอ่ยเสียงยานคาง “ไปหอหร่วนเซียง”
สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเอะอะโวยวาย หากกลับไปนอนที่จวนคงไม่สบายเท่าไหร่ หากได้หลับใหลในอ้อมกอดของหร่วนอวี้เซียงคงไม่เลว
ฉังจิ่งไม่ชอบไปสถานที่เช่นนั้นสักเท่าไหร่ เพราะมีหญิงสาวเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งยังชอบส่งเสียงประหลาดกันด้วย
เพียงแต่แม่นางเซียงเอ๋อร์แห่งหอหร่วนเซียงนั้นทำของอร่อยเป็นหลายอย่าง
อีกฟากหนึ่ง ถังเย่ว์ซานก็รีบกลับมาที่จวนหยวนไซว่
“ท่านชายเล่า เขาฟื้นแล้วจริงหรือ” เขาถามพ่อบ้านที่รออยู่หน้าประตูในทันทีหลังลงจากม้า
พ่อบ้านตอบกลับในทันใด “ขอรับ เมื่อครู่ฟื้นแล้วจริงๆ ข้าจำคำสั่งของท่านได้ หากท่านชายฟื้นแล้วให้รีบแจ้งท่านทันที”
ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืนวาน ถังเย่ว์ซานก็ไม่ยอมปล่อยให้ถังหมิงอยู่ในเรือนโดยลำพังอีก จึงสั่งการให้คนย้ายถังหมิงมาอยู่ที่เรือนของตน
ยามนี้ถังหมิงกำลังนอนอยู่ในห้องของเขา หลับใหลอยู่บนเตียงของเขาเอง
ภายในห้องมีแต่กลิ่นยาตลบอบอวลไปหมด กลบกลิ่นคาวเลือนบนกายถังหมิงไปจนสิ้น
ทว่าถังเย่ว์ซานยังคงได้กลิ่น เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วหยุดอยู่หน้าเตียง
หมอเจี่ยงและหมออู๋ก็อยู่ด้วยเช่นกัน
ทั้งสองคำนับให้เขา “ใต้เท้าถัง”
ถังเย่ว์ซานยกมือปัด ให้ทั้งสองยืนขึ้นได้ เขานั่งลงข้างเตียง ขมวดคิ้วมองถังหมิงด้วยความกังวล สองตาของเขาหลับแน่น ดวงแก้มไร้สีเลือด ถังเย่ว์ซานเอ่ยถาม “ไหนว่าฟื้นแล้วมิใช่หรือ”
หมออู๋ตอบ “ฟื้นแล้วครู่หนึ่งขอรับ ดื่มยาไปสองคำแล้วก็หลับไป”
อันจริงดื่มไปเพียงแต่คำเดียว แถมยังสำลักกระเด็นออกมาอีกครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
สีหน้าของถังหมิงซีดขาวเสียยิ่งกว่าตอนเช้าที่ถังเย่ว์ซานออกจากจวนไป ลมหายใจก็รวยริน ถังเย่ว์ซานปวดใจเหมือนโดนมีดกรีด เขารับผ้าขนหนูจากมือของสาวใช้ พลางชับเหงื่อเย็นบนหน้าของถังหมิงที่ผุดขึ้นเพราะความเจ็บปวดแม้จะยังหลับใหลไม่ได้สติก็ตาม
จากนั้นเขาก็เอ่ยถามหมอทั้งสอง “เขา…ยังมีหวังหรือไม่”
หมอทั้งสองคนหันมาสบตากัน ต่างฝ่ายต่างส่งสายตาเกี่ยงกันไปมา สุดท้ายหมอเจี่ยงจึงกระแอมขึ้นมาเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “พวกข้าพยายามสุดความสามารถแล้วขอรับ!”
“ข้าไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้าพยายามสุดความสามารถ! ข้าต้องการให้พวกเจ้ารักษาเขาให้หาย! ข้ามีเขาเพียงคนเดียว…” ถังเย่ว์ซานพูดถึงเพียงเท่านั้นก็กำหมัดแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแสบเจ็บปวด “หลานชายของข้า ข้าไม่มีลูกสืบสกุล เขาคือผู้สืบทอดของข้า ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องร้ายอันใดกับเขา! ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือว่า…ของเขา”
เอ่ยถึงเพียงเท่านั้น ถังเย่ว์ซานก็กวาดตามองไปยังส่วนนั้นของถังหมิง “เขายังจะ…ตื่นตัวได้อีกหรือไม่”
เขาไม่ใช่บัณฑิตเคร่งตำรา พูดคำไพเราะเสนาะหูทั้งยังสื่อความหมายโดยนัยพวกนั้นไม่เป็นอย่างใครเขา คำว่าตื่นตัวเป็นคำสุภาพที่สุดที่เขาเค้นออกมาเพื่อพูดกับหมอแล้ว
หมอทั้งสองคนไม่รู้จะตอบอย่างไร
ในเมื่อ…พวกเขาไม่แน่ใจจริงๆ ขาดถุงอัณฑะไป ว่ากันตามหลักแล้วก็ไม่ถึงกับกลายเป็นขันที แต่เขาบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น จะกลับไปเหมือนบุรุษทั่วไปได้หรือไม่นั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
เหล่าหมอไม่ตอบแน่ชัด ถังเย่ว์จึงเดือดดาลเป็นอย่างมาก ขณะที่เหล่าหมอถูกเขาตวาดจนตัวสั่นงันงก ก็มีบ่าวมารายงานว่าฮูหยินใหญ่ถังมาถึงแล้ว
สีหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟพลันหายไปในพริบตา ระงับรังสีอาฆาตที่แผ่ซ่านออกมาจากร่าง “พวกเจ้าออกไปก่อน!”
“ขอรับ!”
หมอทั้งสองเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ฮูหยินใหญ่ถังมาได้เวลาเสียจริง
ฮูหยินใหญ่ถังเดินเข้ามาในห้องด้วยสองตาบวมเป่ง เหตุร้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก นางร้องไห้ตั้งแต่เช้ามืดจนเกือบเป็นลมล้มพับไป
สายตาของถังเย่ว์ซานหยุดอยู่ที่สองตาที่ร้องไห้จนแดงก่ำของนาง แววตาของเขาไหววูบ ก่อนจะสละพื้นที่ข้างเตียงพลางยกมือขึ้นประสานคำนับ
ฮูหยินใหญ่ถังไม่ชายตามองเขาที่ทำนับให้แม้แต่นิด
ทั้งสองรักษาระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด
“รินน้ำชาให้ฮูหยินใหญ่” ถังเย่ว์ซานสั่งบ่าว
บ่าวรับใช้ “เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก” ฮูหยินใหญ่ปฏิเสธเสียงสะอื้น ลูบใบหน้าของถังหมิง น้ำตาเอ่อคลอหน่วยอีกครั้ง “ลูกชายผู้น่าสงสารของข้า…”
ถังเย่ว์ซานจ้องมองใบหน้าด้านข้างของฮูหยินใหญ่ถังอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “พี่สะใภ้ใหญ่โปรดวางใจ ข้าจะรักษาหมิงเอ๋อร์ให้หายดีแน่นอน!”
ฮูหยินใหญ่ถังป้องปาก พยักหน้ารับทั้งน้ำตา
ฮูหยินใหญ่ถังนั่งอยู่พักหนึ่ง ก็ถึงเวลาที่หมอต้องให้ยาถังหมิง นางไม่อยากรบกวนการรักษาของลูกชาย จึงลุกยืนขึ้นแล้วออกจากห้องไป
เป็นเพราะร้องไห้นานเกินไป พอลุกยืนขึ้น สายตาของนางก็พร่ามัวศีรษะโยกคลอน ร่างทั้งร่างก้าวโงนเงนไปได้ไม่กี่ก้าว
สีหน้าของถังเย่ว์ซานพลันเปลี่ยน รุดเข้ามาพยุงนางไว้ แววตาตื่นตระหนก “พี่สะใภ้ใหญ่!”
ฮูหยินใหญ่ถังถูกประคองอยู่ ไม่นานความวิงเวียนก็หายไป นางมองดูฝ่ามือที่พยุงต้นแขนของตัวเองเอาไว้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด ก่อนจะรีบชักแขนกลับมา