บทที่ 282 รู้ความจริง
ถังเย่ว์ซานรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองเสียกิริยาไป จึงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “พี่สะใภ้ใหญ่กลับดีๆ หากพรุ่งนี้ฟื้นแล้วข้าจะให้คนไปแจ้งพี่สะใภ้ใหญ่ให้ทราบ”
“รบกวนด้วย” ฮูหยินใหญ่ถังผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องไปโดยมีสาวใช้ประคอง
จากนั้นเหล่าหมอก็รักษาตัวให้ถังหมิงต่อ ส่วนถังเย่ว์ซานกลับไปไต่สวนกู้ฉังชิงที่ค่ายทหารอีกครั้ง เซวียนผิงโหวก็อยู่ที่ค่ายเช่นกัน เขาไม่มีทางผิดคำสัญญาในช่วงบ่าย เพียงเพราะความพ่ายแพ้ในยามเช้า
เขาไม่ได้ใช้เครื่องมือทรมานกับกู้ฉังชิง แต่ใช้สภาพแวดล้อมอันเลวร้ายที่สุดในการไต่สวนแทน
กู้ฉังชิงถูกพามาในห้องมืดที่ใช้ไต่สวนทหารโดยเฉพาะ กำแพงรอบด้านมีเครื่องมือทรมานสารพัดอย่างแขวนไว้ บ้างก็ผ่านการอาบเลือดสดมากอย่างโชกโชน แม้ว่าจะเช็ดทำความสะอาดจนเงาวับแล้ว ก็ยังยากจะกลบกลิ่นคาวน่าคลื่นเหียนนั่นได้
“เจ้าจะยอมรับผิดหรือไม่”
“ตัดแขนข้างหนึ่งของถังหมิง ข้ายอมรับ”
“แล้วเรื่องที่ลอบสังหารยามวิกาลล่ะ”
“ไม่ยอมรับ ข้าไม่ได้ทำ”
ไม่ว่าถังเย่ว์ซานจะไต่สวนอย่างไร กู้ฉังชิงก็พูดแค่ไม่กี่คำอยู่อย่างนั้น เขาถูกท่านเหล่าโหวโบยจนเจ็บหนักปานนั้นแล้วแท้ๆ แต่สมองยังคงมีสติแจ่มชัด จึงทำให้ถังเย่ว์ซานเดือดดาลมาก
กู้ฉังชิงยอมรับว่าตัดแขนข้างหนึ่งของถังหมิงซึ่งก็เพียงพอที่จะลงโทษกู้ฉังชิงได้แล้ว ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ถังเย่ว์ซานต้องการ ถังหมิงกลายเป็นคนพิการ ไม่ว่ามือสังหารเมื่อคืนจะเป็นกู้ฉังชิงหรือไม่ แต่ทุกอย่างล้วนเกิดจากกู้ฉังชิงทั้งสิ้น
หากมิใช่เพราะกู้ฉังชิงทำให้ถังหมิงบาดเจ็บ ถังหมิงจะสู้ไม่ได้แม้กระทั่งมือสังหารเชียวหรือ จะพบเจอกับเรื่องเหี้ยมโหดพรรค์นี้ได้อย่างไร
กู้ฉังชิงต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ และรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงด้วย!
ณ ตรอกปี้สุ่ย
หลังจากที่กู้เหยี่ยนสลบไปสามวัน ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมา
แม่นางเหยานั่งเฝ้าเขาอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ศีรษะพิงเสาไม้หลับไป
นางตั้งครรภ์เป็นทุนเดิม จึงมักจะง่วงนอนอยู่บ่อยครั้ง หลายวันมานี้เอาแต่เฝ้ากู้เหยี่ยนตลอด จึงหลับไปโดยไม่รู้ตัว
กู้เจียวเพิ่งเปลี่ยนน้ำเกลือขวดใหม่ให้กู้เหยี่ยน นางหันไปเห็นเขาลืมตาขึ้นจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าฟื้นแล้วรึ รู้สึกอย่างไรบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
กู้เหยี่ยนส่ายหน้า เขาไม่ได้ไม่สบายอะไร แค่ร่างกายอ่อนเพลียนิดหน่อยเท่านั้น
เขาหันไปมองภายในห้อง แล้วถามว่า “ที่นี่ที่ไหนรึ”
“บ้านท่านปู่น่ะ” กู้เจียวบอก
ตอนที่เพิ่งพากู้เหยี่ยนมา สภาพของกู้เหยี่ยนอเนจอนาถจนทนมองไม่ได้ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนจิตใจแม่นางเหยา กู้เจียวจึงให้มาพักอยู่ที่นี่ จากนั้นพอแม่นางเหยารู้แล้ว ก็ไม่ได้ย้ายเขาไปไหน
สำหรับแม่นางเหยาแล้ว กู้เจียวย่อมไม่มีทางเล่าความจริงทั้งหมดออกมาอยู่แล้ว นางรู้แค่ว่ากู้เหยี่ยนไปซื้อของเอง สุดท้ายหลงทางแล้วสลบไป
กู้เหยี่ยนเป็นโรคหัวใจอยู่ เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก่อนเหมือนกัน แม่นางเหยาจึงไม่ได้สงสัยอะไร แต่ยังคงสงสารกู้เหยี่ยนและเป็นห่วงเขามาก
กู้เหยี่ยนหันไปเห็นแม่นางเหยาที่หลับสนิท เขาอ้าปากพะงาบๆ หมายจะถามบางอย่าง แต่ได้ยินกู้เจียวเอ่ยขึ้นเสียก่อน “ข้าไม่ได้พูด”
ประโยคสั้นๆ ไม่กี่คำที่ไร้ที่มาที่ไป ทว่ากู้เหยี่ยนกลับเข้าใจ
บางทีนี่อาจจะเป็นสื่อสัมผัสกันระหว่างฝาแฝดก็เป็นได้
กู้เหยี่ยนจึงวางใจลง แล้วถามอีกว่า “ข้าหลับไปนานเท่าใดแล้ว”
กู้เจียวลูบหน้าผากเขาแล้วเอ่ย “สามวัน”
“แล้ว…” ในแววตากู้เหยี่ยนเป็นประกายบางอย่างที่อยากจะเอ่ยแต่ก็ยั้งไว้
กู้เจียวปรับให้น้ำเกลือหยดช้าลง “ข้าจะไปทำอะไรมาให้เจ้ากิน ข้าวต้มกับน้ำแกงไข่ดีหรือไม่”
“อะไรก็ได้” กู้แหยี่ยนหลบสายตาลงพลางบอก
กู้เจียวพยักหน้าแล้วเดินออกไป พอถึงหน้าประตูนางกลับชะงักฝีเท้าลง ผินหน้ากลับมาเล็กน้อย ก่อนจะมองพื้นข้างๆ พลางเอ่ย “จัดการไอ้สารเลวนั่นแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ เขาไม่มีทางทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว”
เจ้าเดินอยู่ภายใต้แสงตะวันได้อย่างองอาจและวางใจได้เลย
กู้เหยี่ยนส่งเสียงอืมออกมาเบาๆ
กู้เจียวไม่ได้รีบร้อนให้น้องชายกลับมาเป็นคนร่าเริงกระโดดโลดเต้น บาดแผลบางอย่างต้องใช้กาลเวลาเป็นเครื่องบรรเทา
ที่กู้เจียวไม่รู้ก็คือหลังจากที่กู้เหยี่ยนฟื้นขึ้นมานั้น สิ่งที่เขากำลังคิดเป็นอย่างแรกความจริงแล้วไม่ใช่การกระทำชั่วช้าของถังหมิง เนิ่นนานทีเดียวที่เขาจะคิดเรื่องพวกนั้นที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
ยามนี้ในหัวของเขามีแต่ชื่อนั้นที่ได้ยินจากปากของถังหมิงก่อนที่เขาจะสลบไป
กู้ฉังชิง
ในฐานะท่านชายน้อยแห่งจวนโหว แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นกู้ฉังชิง…
เขานึกย้อนไปถึงความทรงจำตอนเด็กๆ ที่สุดจะทนพวกนั้น
เนื่องจากร่างกายเขาอ่อนแอ ตอนเขาสองขวบจึงเพิ่งจะเดินได้ ตอนสามขวบเพิ่งจะวิ่งไปทั่วได้
มีอยู่วันหนึ่งเขาอาศัยตอนนอนกลางวันแอบปีนลงจากเตียงเงียบๆ มายังสวนดอกไม้เล็กๆ ของจวน ตอนนั้นมีเด็กผู้ชายในอาภรณ์สีดำกำลังฝึกดาบอยู่ในสวนดอกไม้พอดี
เด็กผู้ชายคนนั้นดูท่าทางยังไม่ถึงสิบขวบ แต่สูงกว่าเด็กวัยสิบขวบเสียอีก กำลังแกว่งไกวดาบยาวที่ไม่เข้ากันกับรูปร่างเขาเลยสักนิด ท่าทางเขาสง่างาม บุคลิกองอาจห้าวหาญ
นั่นคือพี่ชาย
เขารู้
พอเด็กผู้ชายคนนั้นเก็บดาบลง เขาก็วิ่งตึกๆ ไปหา “พี่ชาย ข้าคือกู้เหยี่ยน เรียกข้าว่าเหยี่ยนเอ๋อร์ก็ได้ หรือจะเรียกข้าว่าอาเหยี่ยนก็ได้เช่นกัน! อืม…ท่านแม่เรียกข้าว่าสุดที่รัก หากพี่ชอบก็เรียกแบบนั้นก็ได้นะ”
เขาเห็นอีกฝ่ายมีแต่เหงื่อเต็มหน้า ซ้ำยังดึงผ้าอ้อมผืนน้อยออกจากคอให้อีกฝ่ายด้วย “เอาไปสิ”
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รับ แววตาที่มองมายังเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา “ข้าไม่ใช่พี่ชายเจ้า และเจ้าก็ไม่ใช่น้องชายข้า”
แววตานั้นตอนนั้นเขาไม่เข้าใจ รู้สึกแค่ว่ารู้สึกเจ็บปวด แต่พอโตขึ้นค่อยๆ คิดพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว นั่นไม่ใช่บาดแผล แต่เป็นความเจ็บปวดจากปลายมีดแหลมที่บาดใจดวงน้อยอันอ่อนไหวของเขา
“พี่เป็นพี่ชายข้า! พี่เป็นลูกชายของท่านพ่อ ข้าก็เป็นลูกชายของท่านพ่อเหมือนกัน!”
“แต่เจ้าไม่ใช่ลูกชายของแม่ข้า พวกเราไม่มีวันเป็นพี่น้องกันได้!”
เขาในวัยสามขวบก็ถูกคนทิ้งขว้างไว้ในลมหนาวเสียแล้ว
คงจะเจ็บปวดมากจริงๆ มากเสียจนเขายังจำได้มาจนถึงตอนนี้
แต่เขาจะยอมแพ้รึ
ไม่เลย
เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านพ่อของเขาเป็นท่านพ่อของพี่ชาย แต่ท่านแม่ของเขากลับไม่ใช่ท่านแม่ของพี่ชาย เขาจึงไปถามท่านพ่อ
ท่านพ่อบอกว่า แน่นอนว่าเขาเป็นพี่ชายของเจ้าอยู่แล้ว และเจ้าก็เป็นน้องชายของเขาด้วย
อ๋อ เขาจึงได้รู้!
เขามีความสุขมากเลย
ทว่าเพียงพริบตาเขาก็เห็นท่านพ่อเดินไปที่เรือนของพี่ชาย แล้วหิ้วพี่ชายที่กำลังฝึกคัดอักษรออกมาชกจนน่วม
“ใครอนุญาตให้เจ้ารังแกน้อง หากเจ้ายังกล้าพูดเพ้อเจ้ออีก ข้าจะตัดขาเจ้า!”
ไม่เอา อย่าตัดขาพี่ชายนะ!
เขารีบวิ่งไปกอดต้นขาท่านพ่อเอาไว้ ไม่ให้ท่านพ่อตี “อย่าตีพี่ชาย ไม่เอา…อย่าตี!”
ท่านพ่ออุ้มเขาเดินจากไป เขาเห็นพี่ชายคุกเข่ากับพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและอัปยศ
พี่ชายมาหาเขา
แล้วตวาดเขาว่า “เจ้าอย่ามาหาข้าอีก แค่ข้าเห็นเจ้าก็รังเกียจแล้ว! ข้าเกลียดเจ้า! ข้าหวังว่าในบ้านหลังนี้จะไม่มีเจ้าอยู่!”
อันที่จริงเขาอยากบอกกับอีกฝ่ายว่า พี่ชาย พี่รองกับพี่สามตีข้า พวกเขาตีแขนข้าจนช้ำเลย เจ็บยิ่งนัก
ทว่าตอนนั้นเขารู้สึกว่าดวงใจตัวเองเจ็บปวดกว่าแขนมากนัก
เขาคิดว่าพี่ใหญ่จะแตกต่างกันกับพี่ชายอีกสองคน เขาเคยเห็นอีกฝ่ายลูบกระต่ายน้อยอยู่บนพื้น และเห็นอีกฝ่ายเคยช่วยนกน้อยบนต้นไม้ อีกฝ่ายเป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง แม้แต่นกน้อยก็ยังชอบ ตนน่ารักถึงเพียงนี้ เขาต้องชอบตนแน่
ทว่าเขาไม่ชอบ เขาเกลียดตน เขาแทบจะไม่เคยเห็นตนอยู่ในสายตาเลยสักนิด
เขายกดวงใจของตัวเองให้กับอีกฝ่ายอย่างเลื่อมใสและจริงใจ เพื่อแลกกับการที่อีกฝ่ายทิ้งมันไปอย่างไม่ใยดี
ทว่าต่อให้เป็นอย่างนั้น เมื่อเขาถูกพี่สามขังอยู่ในห้องมืด ใจเขาก็ยังหวังว่าจะเป็นอีกฝ่ายที่มาช่วย เขาคาดหวังแม้จะแค่ครั้งเดียวก็ยังหวังว่าอีกฝ่ายจะมาปกป้อง…
อีกฝ่ายเป็นพี่ชายที่เขาเคารพรักที่สุดนี่นา…
ต่อมาเขาก็ไปแล้ว เขาเหยียบขึ้นรถม้าไปยังหมู่บ้านหุบเขา
เขาหันกลับมามองเป็นระยะๆ
ตอนนั้นเขาคิดว่าหากพี่ชายออกมาส่งเขาเพียงสักครู่หนึ่ง ความน้อยอกน้อยใจทั้งปวงคงมลายหายไปจนสิ้น และเขาก็จะไม่ไปแล้ว เขาไม่กลัวว่าจะถูกพี่สามกับพี่รองรังแกด้วย
แต่อีกฝ่ายก็ไม่มา
ในที่สุดเขาก็ซุกอยู่ในอ้อมอกมารดา ร้องไห้โฮออกมายกใหญ่
อยู่ที่หมู่บ้านสิบวันเต็มๆ อีกฝ่ายไม่มาเยี่ยมหาแม้แต่ครั้งเดียว ในที่สุดเขาก็บีบตัวเองให้ยอมรับความเป็นจริงทีละนิด
เขาไม่ใช่น้องชายของอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ไม่ใช่พี่ชายของเขา พวกเขามีบิดาเดียวกัน แต่ไม่มีทางมีความสัมพันธ์ใดกันได้
ความทรงจำพรุ่งพรูขึ้นมาในสมอง กู้เหยี่ยนหลับตาลง
กลางดึกสงัดเงียบ ดวงจันทร์แจ่มจรัส แสงดาวกลับริบหรี่ ทั่วทั้งค่ายทหารตกสู่ความเงียบงัน
กู้ฉังชิงนั่งอยู่บนเบาะฟาง แต่ไร้ซึ่งความง่วงงุน
จู่ๆ เสียงคลื่อนไหวก็ลอยมาจากนอกประตู ตามด้วยเสียงร่างสองร่างกระแทกพื้น
กู้ฉังชิงดวงตาเป็นประกายแววตาระแวดระวัง
ครู่ต่อมา ประตูห้องสำเร็จโทษก็ถูกคนเปิดออก อาวุธลับเย็นเยียบสิบกว่าอันพุ่งมายังศีรษะและใบหน้าของเขา!
นี่กะจะยิงเขาให้พรุนเป็นตะแกรงหรืออย่างไร!
กู้ฉังชิงรีบกลิ้งกับพื้น เขาคว้ากองฟางข้างกำแพงขึ้นมาโยนไปทางอาวุธลับ เก็บอาวุธลับทั้งหมดโดยการเอาชนะความแข็งแกร่งด้วยความนุ่มนวล จากนั้นพอกองฟางกระจุยออกก็ยิงอาวุธลับออกไปยังอีกฝ่าย!
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตั้งตัวไว้แต่แรกแล้ว ไม่ได้รีบร้อนจะเข้ามาในห้องสำเร็จโทษ ชั่วขณะที่อาวุธลับยิงกลับมา เขารีบหลบไปด้านหลังกำแพงทันที
อาวุธลับปักลงบนพื้นนอกห้องสำเร็จโทษ!
คราวนี้อีกฝ่ายจึงได้วาดกระบี่เข้ามาในห้อง หมายจะสังหารกู้ฉังชิง
มือและเท้าของกู้ฉังชิงมีโซ่เหล็กและตรวนพันธนาการไว้ เขายกมือขึ้นสองข้าง ใช้โซ่เหล็กที่อยู่ระหว่างตรวนยึดกระบี่อีกฝ่าย แล้วถือกระบี่ไว้ในมือ ก่อนจะแทงเข้าหน้าอกอีกฝ่ายอย่างแรง
เขาได้รับบาดเจ็บจริง แต่หากว่าด้วยเรื่องฝีมือแล้ว ฝีมือเขายังคงเหนือกว่าอีกฝ่ายมากนัก
ชายชุดดำสวมหน้ากากคนนั้นเกือบจะโดนกู้ฉังชิงแทงอย่างหวุดหวิด เขารีบถอยออกจากห้องสำเร็จโทษ ตรวนข้อเท้าของกู้ฉังชิงถูกล่ามไว้กับห่วงเหล็กตรงกำแพง เขาจึงออกไปไม่ได้
ชายชุดดำยืนอยู่นอกรัศมีอันตราย สองมือกอดอก หัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัวใคร “คิดไม่ถึงจริงๆ บาดเจ็บแล้วยังมีฝีมือเพียงนี้อีก สมกับเป็นกู้ตูเว่ยพญายมหน้าตายจริงๆ”
“เจ้าเป็นใคร” กู้ฉังชิงถามเสียงเย็นเยียบ
ชายชุดดำยิ้มน้อยๆ “ข้าคือคนที่จะมาฆ่าเจ้า มีคนจ่ายเงินซื้อชีวิตเจ้า แต่ดูท่าแล้วข้าจะประเมินฝีมือเจ้าต่ำไป หากคืนนี้ข้าฆ่าเจ้าทิ้งไม่ได้ ข้าคงต้องไปฆ่าน้องชายเจ้าแทน”
กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว
ชายชุดดำเอ่ยอย่างเนิบช้า “นายจ้างบอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาชีวิตของพวกเจ้าสองคนพี่น้องมาให้ได้สักคนหนึ่ง มิฉะนั้นคงเคียดแค้นคับอกเป็นแน่!”
เคียดแค้นคับอกอย่างนั้นรึ
กู้เฉิงเฟิงกับกู้เฉิงหลินไม่เคยไปสร้างความแค้นกับใคร หรือว่าจะเป็น…
กู้ฉังชิงหนักใจขึ้นมาทันที กำลังจะถามออกไปอีกหน อีกฝ่ายกลับใช้วิชาตัวเบาหายลับไปกับราตรีสีมืด
กู้ฉังชิงนึกย้อนไปถึงหน้ากากของอีกฝ่าย หน้ากากนั่นคุ้นตามาก ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ไหนจะอาวุธลับที่ปักบนพื้นนั่นอีก ให้ความรู้สึกคุ้นๆ อย่างแปลกประหลาด
อีกฝ่ายอาจจะไปฆ่ากู้เหยี่ยนจริงๆ หรืออาจจะโกหกก็ได้
กู้ฉังชิงแววตาลุ่มลึกขึ้น
เขาไม่ได้ลังเลนานนัก ยกกระบี่ยาวในมือตัดโซ่เหล็กบนมือบนเท้าทันที
ก่อนจะเดินออกจากห้องสำเร็จโทษไป
ในขณะนั้นเอง ทหารที่มาเปลี่ยนเวรมายังนอกห้องสำเร็จโทษ เขาเห็นกู้ฉังชิงถือกระบี่ สวมตรวนแต่โซ่เหล็กขาด ซ้ำยังเห็นศพสองศพบนพื้นอีก
ศพนั่นเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ส่วนบนกระบี่ของกู้ฉังชิงก็มีเลือดหยดติ๋งๆ ลงมา…
สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน “กู้ตูเว่ย!”
กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้อธิบายอะไร เขาโยนกระบี่ทิ้ง แล้วครุ่นคิด ก่อนจะฟาดสันมือให้อีกฝ่ายสลบ
อันที่จริงไม่ค่อยจำเป็นนัก อีกฝ่ายตกใจเกินไป จึงลืมขวางเขาไปเสียสิ้น
ทว่าหากไม่ฟาดอีกฝ่ายให้สลบ อีกฝ่ายก็จะต้องโดนข้อหาบกพร่องในหน้าที่อยู่ดี
กู้ฉังชิงไปจูงม้าตัวเองจากคอกม้า แล้วมุ่งไปตามถนนใหญ่ฉางอันอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางเขาระวังตัวตลอดว่าจะโดนคนสะกดรอยตามหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มี จึงได้เลี้ยวเข้าตรอกปี้สุ่ยมา
เขาตรงไปหาจี้จิ่วอาวุโสทันที
ก่อนจะพุ่งเข้าไปในห้องกู้เหยี่ยน
กู้เหยี่ยนใช้ยาสมุนไพรที่กู้เจียวต้มมาแช่เท้า มีแม่นางเหยาอยู่กับเขาข้างๆ
ทั้งคู่เห็นกู้ฉังชิงเข้าห้องมาอย่างรีบร้อน จึงพากันนิ่งอึ้งไป
กู้ฉังชิงคงไม่รู้ว่าตัวเองโดนขังมากี่วันแล้ว เขามีสภาพอเนจอนาถน่าตกใจอยู่ไม่น้อย เสื้อผ้าเขาเปื้อนเลือด มุมปากฟกช้ำเพราะไม่ทันระวังโดนแส้เข้า
หลายวันมานี้ไม่ได้โกนหนวด รอบริมฝีปากจึงมีสีเขียวขึ้นจางๆ
แววตาเขากลับเป็นประกายบีบคั้นท่ามกลางความมืด
กู้เจียวบอกกับแม่นางเหยาและคนในบ้านว่ากู้เหยี่ยนหลงทางแล้วสลบไป ด้วยเหตุนี้แม่นางเหยาจึงไม่รู้ว่าลูกชายเจอถังหมิงมา อีกทั้งยังรู้จากปากถังหมิงด้วยว่าเขาคือกู้ฉังชิง
แม่นางเหยาจึงนึกว่าพวกเขายังคงมีไปมาหาสู่กันเหมือนเมื่อก่อน นางลุกขึ้นแล้วเอ่ย “เจ้ามาเยี่ยมเหยี่ยนเอ๋อร์กระมัง”
อันที่จริงอยากถามกู้ฉังชิงว่าเป็นอะไรไป แต่ก็ไม่ค่อยจะดีนัก
“ข้าจะไปดูว่าต้มยาเสร็จหรือยัง” แม่นางเหยาเอ่ยพลางออกไป
กู้ฉังชิงเห็นสภาพยามนี้ของกู้เหยี่ยนก็ค่อนข้างมึนงง
แต่เขาไม่ได้เสียใจ ตรงกันข้ามกลับพรูลมหายใจโล่งอกออกมาด้วย
เขาดีใจมากที่อีกฝ่ายมาคิดบัญชีตน ไม่ได้ไปทำร้ายกู้เหยี่ยนจริงๆ
“เจ้า…สบายดีหรือไม่”
กู้เหยี่ยนหลุบตาลง ไม่ได้ตอบคำใด
ผ่านเรื่องนั้นมาแล้ว ไม่ว่าใครก็คงอารมณ์ห่อเหี่ยวเช่นกัน ในสายตากู้ฉังชิงนั้นปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขาไม่ได้แปลกอะไร
กู้ฉังชิงนึกถึงชื่อที่ถังหมิงเรียกเขาในวันนั้น ตอนนั้นดูเหมือนว่ากู้เหยี่ยนจะสลบไปแล้วกระมัง คงจะไม่…ได้ยินหรอกกระมัง
กู้ฉังชิงเรียกกำลังใจตัวเองเดินมาข้างเตียง ก่อนจะยื่นมือไปลูบหน้าผากเขาเหมือนเก่าก่อน
เขากังวลว่าตรวนจะโผล่ออกมา จึงใช้แขนเสื้อปิดเอาไว้เป็นพิเศษ
ทว่าเมื่อเขากำลังจะแตะต้องกู้เหยี่ยนนั้น กู้เหยี่ยนกลับเบี่ยงหน้าหลบไป ไม่รู้ว่ารู้หรือไม่รู้ตัว