บทที่ 283 พี่ชายน้องสาว (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 283 พี่ชายน้องสาว (1)

มือของกู้ฉังชิงคว้าได้เพียงอากาศ ค้างเติ่งอยู่ข้างขมับของอีกฝ่ายเนิ่นนาน

กู้เหยี่ยนไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ ทั้งยังไม่ชายตามองสภาพของเขาเลยแม้แต่น้อย สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากู้เหยี่ยนกำลังขุ่นเคือง

ทว่ากู้ฉังชิงกลับไม่แน่ใจว่าความขัดเคืองนี้มีต่อตนเพียงคนเดียว หรือว่าต่อชายทุกคน อย่างไรเสียเคยโดนถังหมิงทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้น ย่อมเกิดความต่อต้านต่อคนอื่นเป็นธรรมดา

กู้ฉังชิงคิดได้เช่นนั้นก็พลันปล่อยมือที่ค้างอยู่กลางอากาศลง จ้องตากู้เหยี่ยนด้วยความอ่อนโยนที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เคยรู้ตัว “เจ้าฟื้นเมื่อใดหรือ”

“เมื่อเช้า” กู้เหยี่ยนเอ่ยเสียงเบาหวิว เขาหลุบตาลง น้ำเสียงค่อนข้างห่างเหิน

ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้กู้ฉังชิงปวดใจ และเจ็บใจที่ตัวเองไม่ตัดแขนถังหมิงทิ้งอีกข้าง ปอยผมดำขลับข้างขมับเขาปรกลงข้างแก้มอันบอบบางของเขา

กู้ฉังชิงยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณ หมายจะปัดปอยผมไม่รักดีนั่นออกไป แต่ยังไม่ทันแตะก็นึกขึ้นได้ว่าเขาสภาพเช่นนี้ จึงได้ปล่อยมือตกลงเงียบๆ

“ข้าแค่มาเยี่ยมเจ้า”

เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าเข้าใกล้กู้เหยี่ยนเกินไปนัก ด้านหนึ่งเพราะกลัวไม่ทันระวัง อาจเรียกความทรงจำเลวร้ายพวกนั้นของกู้เหยี่ยนให้กลับคืนมา อีกด้านหนึ่ง…เขาเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

เหมือนว่ากู้เหยี่ยนไม่เหมือนเมื่อก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างโดยที่ไม่ทันได้สังเกต

เขาไม่อยากคิดลึกไป จึงอ้างสาเหตุจากถังหมิง คิดว่าทั้งหมดล้วนเป็นเพราะถังหมิง

กู้ฉังชิงมองกู้เหยี่ยนนิ่ง “ดึกมากแล้ว เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”

เขาเอ่ยจบก็ลุกขึ้นจะเดินออกไป แต่ฝีเท้ากลับหยุดชะงัก สายตาตกลงบนถังยาที่ไร้ความร้อนใดๆ แล้ว ก่อนจะโน้มตัวลง

กู้เหยี่ยนกลับเอ่ยขึ้น “ไม่ต้อง ข้าอยากจะแช่ไว้อีกหน่อย”

“…เอาสิ” กู้ฉังชิงขานรับ แล้ววางผ้าในมือกลับใส่ถังยาตามเดิม แล้วเอ่ยกับเขา “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อนนะ”

กู้เหยี่ยนเงียบ

นอกจากตอนที่กู้ฉังชิงเข้ามา กู้เหยี่ยนไม่รู้ว่าใครมาจึงเงยหน้ามองเขาทีหนึ่ง จากนั้นจนกระทั่งกู้ฉังชิงออกไป กู้เหยี่ยนก็ไม่มองเขาอีกเลย

เขาได้ยินว่ากู้ฉังชิงออกจากห้องไปแล้ว

แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขาได้ยินเสียงโซ่เหล็กรำไร

โซ่เหล็กบนข้อเท้ากู้ฉังชิงขาดออกจากกันแล้ว แต่บนข้อมือยังมีอยู่ พอออกประตูมาไม่ทันระวังมันบังเอิญหลุดจากแขนเสื้อกระทบกับตรวนเข้า

กู้ฉังชิงรีบกดโซ่เหล็กไว้ แล้วหันไปมองทางเรือน เหมือนกำลังมองกู้เหยี่ยนผ่านม่านราตรีอันมืดมิด

ครู่ต่อมาเขาจึงดึงสายตากลับแล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้า

ก่อนจะควบม้ากลับไปที่ค่าย

พอถึงหน้าค่ายก็มีทหารในเครื่องแบบเต็มยศกลุ่มใหญ่ล้อมเข้ามาซึ่งนำโดยรองแม่ทัพหู ทหารที่เมื่อครู่ถูกกู้ฉังชิงฟาดสันมือใส่ก็ฟื้นแล้ว กำลังยืนอยู่ข้างรองแม่ทัพหู

“อ๊ะ! ใต้เท้าหู! กู้ตูเว่ยขอรับ!” ทหารนายนั้นเห็นกู้ฉังชิงก็ชักกระบี่ออกจากบั้นเอว แม้ว่าจะกลัวแต่ก็ขวางอยู่ตรงหน้ารองแม่ทัพหูอย่างเฉียบขาด “เขาเป็นคนฆ่าเสี่ยวเจิ้งกับหลิวอี่ขอรับ! ซ้ำยังฟาดข้าน้อยสลบด้วย!”

สายตาที่เขามองกู้ฉังชิงเต็มไปด้วยความระแวดระวังและเกลียดชัง ไม่รู้เลยสักนิดว่าหากมิใช่กู้ฉังชิงจงใจฟาดเขาให้สลบไป อาศัยแค่ตอนนั้นเขาเซ่อตกใจอยู่กับที่ ยามนี้สิ่งที่รอคอยเขาอยู่ก็คือโทษบกพร่องในหน้าที่แล้ว

กู้ฉังชิงก็เป็นเช่นนี้

ทำเรื่องที่ดีที่สุด และแบกรับคำครหาอันเลวร้ายที่สุด

ไม่เคยอธิบาย และไม่เคยชี้แจง

รองแม่ทัพหูมองกู้ฉังชิงด้วยสีหน้าซับซ้อน “จับตัวกู้ตูเว่ยมา”

ทุกคนพากันกรูไปล้อมกู้ฉังชิงไว้ ทว่าพลานุภาพของพญายมราชหน้าโหดก็ยังคงอยู่ ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าไปจับกุมเขาจริงๆ อยู่ดี

กู้ฉังชิงพลิกตัวขึ้นหลังม้า

ทุกคนถือหอกยาวชี้ไปที่เขา แต่พากันถอยหลังทีละก้าวๆ อย่างห้ามไม่อยู่

กู้ฉังชิงยื่นสองมือออกไปช้าๆ แล้วยื่นมือให้จับกุม

ทุกคนจึงได้ถือตรวนเดินไปหา พลางมองเขาอย่างหวาดกลัว แล้วจำต้องกัดฟันแกะตรวนเก่าของเขาออกมา เปลี่ยนเป็นตรวนใหม่สองคู่

รองแม่ทัพหูพรูลมหายใจโล่งอกออกมา ก่อนเอ่ย “พากลับไปห้องสำเร็จโทษพรุ่งนี้ฟังใต้เท้าถังตัดสินโทษ!”

ฝนกระหน่ำทั้งคืนจวบจนวันรุ่งขึ้น

เนื่องจากฝนตกในตอนกลางคืน พื้นจึงเปียกชุ่ม เสี่ยวจิ้งคงออกจากบ้านแล้วหกล้มไปรอบหนึ่ง

กู้เจียวอุ้มเขาขึ้นมา แล้วเช็ดมือน้อยๆ ให้เขา เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ ก่อนจะส่งเขาไปโรงเรียน

สำนักฮั่นหลินเข้าเวรเช้ามาก เซียวลิ่วหลังจึงออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

กู้เจียวส่งเสี่ยวจิ้งคงที่กั๋วจื่อเจียนแล้วก็กลับไปที่โรงหมอ

เถ้าแก่รองกำลังชี้มือชี้ไม้สั่งคนรับใช้ให้ยกกล่องยาขึ้นรถม้าทีละกล่อง

กู้เจียวมองพลางถามว่า “นี่จะเอาไปส่งที่ไหนรึ”

เถ้าแก่รองเอ่ย “เสี่ยวกู้มาแล้ว ไม่ได้เจอเจ้าหลายวันเลย ที่บ้านสบายดีกันหรือไม่”

กู้เจียวไม่ได้มาโรงหมอหลายวัน นางบอกว่าที่บ้านยุ่งๆ ส่วนยุ่งกับอะไรนางไม่ได้บอก เถ้าแก่รองก็ไม่ได้ถามซักไซ้

“อืม สบายดี” กู้เจียวพยักหน้า

เถ้าแก่รองจึงวางใจพลางเอ่ยต่อ “พวกนี้เป็นยาห้ามเลือดชุดใหม่ที่ต้องส่งไปค่ายใหญ่หู่ซาน อีกเดี๋ยวข้าจะให้ใต้เท้าซ่งกับเสี่ยวซานจื่อไปส่ง”

“ข้าไปดีกว่า” กู้เจียวบอก

เถ้าแก่รองขมวดคิ้ว “เจ้าจะไปรึ ฝนเพิ่งจะตกไปเมื่อคืน ถนนหนทางเดินทางลำบาก ข้ากลัวรถม้าจะลื่น”

“ข้าจะไป” กู้เจียวท่าทีหนักแน่นมาก

เถ้าแก่รองรู้นิสัยนางดี พอได้ตัดสินใจแล้วต่อให้มีม้าแปดตัวมาลากก็ฉุดไม่อยู่ นับประสาอะไรกับแค่การส่งยา เขาให้เสี่ยวซานจื่อขับช้าสักหน่อยก็ได้แล้ว

“เช่นนั้นระหว่างทางเจ้าอย่ารีบร้อนนัก แล้วก็…” เหมือนว่าเขาจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยเตือนเสียงแผ่วเบา “หลายวันมานี้เกิดเรื่องที่ค่ายใหญ่หู่ซาน หลานชายใต้เท้าถังถูกคนทำร้าย ตอนเจ้าไปส่งยาก็ระวังหน่อยล่ะ อย่าไปปะทะกับใครเขา”

“ข้าทราบดี” กู้เจียวขานรับ

หลังจากขนสินค้าเสร็จเรียบร้อย กู้เจียวกับเสี่ยวซานจื่อก็ไปค่ายใหญ่หู่ซาน

ฝนเพิ่งตกไปเมื่อคืน วันนี้ฟ้าจึงไม่ค่อยเปิดนัก ซ้ำยังมีเมฆดำอึมครึม นกแร้งบนวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ

เมื่อใกล้จะถึงค่ายใหญ่หู่ซาน กู้เจียวก็พบกู้เฉิงเฟิงเข้าโดยบังเอิญ

กู้เฉิงเฟิงก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน เขาลงรถม้าของจวนอันติ้งโหวมา ยามนี้กู้เจียวยังนั่งอยู่ในรถม้า แต่เขารู้จักเสี่ยวซานจื่อจึงเอ่ยถาม “บนรถม้านั่นใคร”

กู้เจียวเลิกม่านขึ้น

“เจ้าเองรึ เจ้ามาได้อย่างไร” กู้เฉิงเฟิงขึ้นไปบนรถม้าของกู้เจียวเองโดยไม่ได้รับเชิญ ก่อนเอ่ยกับเสี่ยวซานจื่อ “เจ้าดูต้นทางให้ที มีคนมาก็บอกพวกข้าด้วย”

เสี่ยวซานจื่อไม่ได้ขานรับเขา แต่มองไปยังกู้เจียว เห็นกู้เจียวพยักหน้าน้อยๆ เขาจึงได้กระโดดลงจากรถม้า เฝ้ายามให้ทั้งสองคนอย่างระแวดระวัง

ที่แห่งนี้เป็นถนนหลวงที่มุ่งไปยังค่ายใหญ่หู่ซาน ห่างออกไปห้าร้อยก้าวก็คือค่ายแล้ว อยู่ในเขตอำนาจของค่าย คนทั่วไปไม่มีทางเดินมาที่นี่สุ่มสี่สุ่มห้า

คนที่เข้าออกค่ายทหารก็เป็นพวกทหาร แต่ไม่ได้เยอะมากอะไร

กู้เฉิงเฟิงเห็นว่ารอบด้านปลอดภัยยิ่งแล้ว จึงเอ่ยกับกู้เจียว “เจ้าก็ได้ยินเรื่องเมื่อคืนเหมือนกันใช่หรือไม่ พี่ใหญ่เลอะเลือนเสียจริง จะหนีออกจากคุกกลางดึกกลางดื่นไปทำไม แม้ว่าเขายังไม่ถูกตัดสินโทษ แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นขุนนาง ซ้ำยังอยู่ในค่ายทหาร หากหลบหนีโดยพลการต้องโดนจัดการตามกฎหนีทหาร! ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ากลางดึกกลางดื่นแบบนั้นเขาไปไหนกันแน่” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็พบว่ากู้เจียวไม่หือไม่อืออะไรเลยสักอย่าง สายตาเขาตกอยู่บนใบหน้าที่ไร้ความตกใจใดๆ ของกู้เจียว จึงเบิกตาโตขึ้น “เจ้ารู้หรือว่าเมื่อคืนนี้พี่ใหญ่ไปไหนมา”

กู้เจียวไม่เอ่ยคำ

นางย่อมรู้อยู่แล้ว

นางมาทำแผลให้กู้เหยี่ยน เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูก็เห็นกู้ฉังชิงควบม้าจากไปต่อหน้าต่อตานาง กู้ฉังชิงจากไปแล้ว เขาจึงไม่เห็นนาง

แม้ว่าจะยังไม่มีข่าวแพร่งพรายออกไปข้างนอก แต่นางเคยรักษาให้ถังหมิง จึงเดาออกว่ากู้ฉังชิงทำให้เขาบาดเจ็บถึงสภาพนั้น และเดาออกว่ากู้ฉังชิงอาจจะถูกขังอยู่ในค่ายเพื่อตรวจสอบ

คนที่กำลังถูกไต่สวนไม่สามารถออกจากค่ายโดยพลการได้ วันนี้นางจึงมาดูว่ากู้ฉังชิงเป็นอย่างไรบ้าง

“พี่ใหญ่คงไม่ได้ไปตรอกปี้สุ่ยกระมัง” กู้เฉิงเฟิงลองถามหยั่งเชิง เห็นกู้เจียวสีหน้ายอมรับกรายๆ เขาพลันลุกพรวดขึ้นมา “ไปหากู้เหยี่ยนใช่หรือไม่ โอ๊ย”

เขาลุกขึ้นเร็วเกินไป ลืมไปว่าอยู่ในรถม้าของโรงหมอ ซึ่งสูงไม่เท่ารถม้าของจวนโหว ศีรษะเขาจึงชนเพดานรถ เจ็บเสียจนเขาสูดหายใจลึก

“โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย!”

เขาร้องเสียงดัง

ไม่รู้เหมือนกันว่าร้องโวยวายเพราะเจ็บหรือเพราะว่าพี่ใหญ่คลุ้มคลั่งไปเยี่ยมกู้เหยี่ยนกันแน่