บทที่ 321 สิ้นสุดการแสดงธรรม ค่าความประทับใจจากผู้ยิ่งใหญ่

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 321 สิ้นสุดการแสดงธรรม ค่าความประทับใจจากผู้ยิ่งใหญ่

มรรคาสวรรค์ดีกว่า หรือมหามรรคดีกว่าอย่างนั้นหรือ

คำถามอะไรกัน!

ต้องเป็นมหามรรคอยู่แล้วสิ!

หานเจวี๋ยค่อนขอดอยู่ในใจ บรรดาเจ้าพ่อในแถวแรกถามเรื่องอะไรออกมากัน

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยตอบว่า “ก่อนที่จะบรรลุมรรค การฝึกบำเพ็ญมรรคาสวรรค์ดีที่สุด ใต้ร่มมรรคาสวรรค์ สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ หลังบรรลุมรรค ฝึกบำเพ็ญมหามรรค แสวงหาภพภูมิที่สูงยิ่งกว่า การฝึกบำเพ็ญไร้ที่สิ้นสุด ต่อให้เป็นตัวข้า ก็ยังอยู่ระหว่างสืบเสาะหาหนทาง”

ผู้ที่เอ่ยถามถามต่อไปอีก คำถามในครั้งนี้เป็นความละเอียดอ่อนด้านการบำเพ็ญ หานเจวี๋ยฟังไม่เข้าใจ

จากนั้นก็มีคำถามอีกมากมายนัก ทว่าหานเจวี๋ยล้วนฟังไม่เข้าใจทั้งสิ้น เอ่ยถึงหยินหยาง ผังแปดทิศ โชควาสนา บ่วงกรรม ดวงชะตาต่างๆ นานา

มรรคเหล่านี้ แม้แต่หลักพื้นฐานหานเจวี๋ยยังไม่เคยเรียนรู้เลย ย่อมเข้าใจได้ยาก

และเขาก็ไม่อยากทำความเข้าใจในตอนนี้

มหาเคราะห์จ่ออยู่ตรงหน้า เขาไม่สามารถร่ำเรียนมรรคอย่างอื่นเพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ตนเองได้ ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้คือพยายามสุดกำลังเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อรอดชีวิตจากมหาเคราะห์ไปได้ ยังมีเวลาอีกมากสำหรับเสริมสร้างความเข้าใจของตนที่มีต่อมรรคต่างๆ

ปัญหาบางอย่าง ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยเพียงประโยคเดียวก็ตอบได้แล้ว แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญ ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงตอบอยู่นานยิ่งนัก มีคำถามหนึ่งที่กินเวลาถึงหนึ่งเดือน หานเจวี๋ยได้แต่บำเพ็ญตบะไปเงียบๆ เป็นการฆ่าเวลา

เขาสังเกตเห็นว่าคนจำนวนมากในแถวด้านหลังก็ทำเช่นนี้ ฉากหน้าแต่ละคนแสร้งทำเป็นตั้งใจฟัง แต่ความจริงต่างลอบบำเพ็ญตบะอยู่

ต่อให้ฟังไม่เข้าใจ ก็ไม่สามารถล่วงเกินปรมาจารย์ลัญจกรสรวงได้

ชั่วพริบตาเดียว

เวลาผ่านไปสี่ปีแล้ว

จักรพรรดิเซียนผู้หนึ่งที่อยู่ในแถวด้านหน้าหานเจวี๋ยกำลังถามอยู่ คำถามของสามแถวด้านหลัง ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงตอบอย่างรวดเร็ว หานเจวี๋ยก็ค่อยๆ ฟังเข้าใจขึ้นมาแล้ว

เมื่อมาถึงสองแถวด้านหน้าหานเจวี๋ย แทบไม่มีคำถามในการบำเพ็ญเลย สิ่งที่ถามออกมาก็ไม่เข้าท่าอย่างเห็นได้ชัด มิสู้ถามปัญหาภาพรวมและมรรคจิตเสียจะดีกว่า

‘ข้าขอเลือกถามตามที่ใจต้องการแล้วกัน’

หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้ นี่เป็นโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ มีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าครั้งหน้าจะได้มาอีกเมื่อไร

เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งเดือน ในที่สุดก็ถึงคราวของหานเจวี๋ยแล้ว

หานเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงจิตสำนึกสายหนึ่ง

เป็นความห่วงใยจากจักรพรรดิสวรรค์

หานเจวี๋ยเอ่ยปากถามว่า “เรียนถามปรมาจารย์ หากถ่อมตนฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด ห่างไกลจากการต่อสู้แย่งชิง ไม่เข้าร่วมมหาเคราะห์ จะมีโอกาสบรรลุมรรคเช่นนี้หรือไม่”

เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไป สายตามากมายพลันมองมาที่ร่างของหานเจวี๋ย

คำถามนี้ดูผ่าเหล่าผ่ากอเหลือเกิน ถึงขั้นที่ค่อนข้างน่าขันอยู่บ้าง

จักรพรรดิสวรรค์อดที่จะส่ายหน้าไม่ได้

หลี่เต้าคงยิ้มออกมา หลี่เสวียนเอ้ามีสีหน้าหยามหยัน

จักรพรรดิปีศาจและบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ต่างเหลือบมองหานเจวี๋ย ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

พวกเขาล้วนมีค่าความเกลียดชังต่อหานเจวี๋ย ย่อมรู้จักหานเจวี๋ยอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเท่านั้น

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าในยุคบุกเบิกฟ้าดินมีนักพรตบากบั่นบำเพ็ญอยู่มากมาย หลีกห่างจากการต่อสู้แย่งชิง แต่มีน้อยคนนักที่บรรลุมรรคสำเร็จ ปวงประชาในยุคนี้ ต่างเป็นสิ่งมีชีวิตหลังกำเนิดฟ้า หากไม่ช่วงชิงโชควาสนา คิดจะบรรลุมรรคก็ยากเย็นนัก”

หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด

ผู้ทรงพลังจำนวนไม่น้อยส่ายหน้าหลุดขำออกมา รู้สึกว่าคำถามนี้เปล่าประโยชน์

“อย่างไรก็ตาม…ถึงแม้จะยากยิ่ง แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตจะเปลี่ยนแปลงอนาคต ปวงสวรรค์ก็จะแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน” สุ้มเสียงของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสงบราบเรียบ ทว่าผู้ทรงพลังหลายร้อยคนที่ได้ฟังต่างมีแววตาวูบไหว

มหาเคราะห์จะเกิดความเปลี่ยนแปลงหรือ

หานเจวี๋ยจมอยู่ในภวังค์ความคิด ไม่ได้เก็บคำพูดของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงมาใส่ใจเลย

เขาไม่ได้รับความสะเทือนใจเลย ถึงขึ้นที่นึกขันเสียด้วยซ้ำ

แม้ว่าไม่มีผู้ใดทำได้ เช่นนั้นเมื่อเขาพากเพียรบำเพ็ญ เหล่าศัตรูล้วนจะต้องรู้สึกว่าน่าขันเป็นแน่ คร้านจะมาสนใจเขาอีก คิดว่าเขาเป็นคนโง่เง่า

ผู้บำเพ็ญที่อยู่ทางด้านซ้ายของหานเจวี๋ยเริ่มเอ่ยถาม

เวลาดำเนินต่อไป

เวลาผ่านไปห้าปีกว่าแล้ว

การแสดงโอวาท ณ ตำหนักเอกอนันต์สิ้นสุดลงอย่างแท้จริง

เสียงระฆังแว่วดังขึ้น ผู้สดับมรรคทั้งหลายล้วนกล่าวอำลา

หลังออกจากตำหนักเอกอนันต์ หานเจวี๋ยไปพบยอดแม่ทัพเทพและหลงจวิน

ยอดแม่ทัพเทพเอ่ยหยอกเย้าว่า “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าพวกเรา ปกปิดได้มิดชิดนัก”

หลงจวินก็มองหานเจวี๋ยเช่นกัน แววตาเปี่ยมไปด้วยความนัยลึกล้ำ

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ต่อให้ข้าแข็งแกร่งมากกว่านี้เพียงใดก็สู้พวกเจ้าไม่ได้ ข้าใจฝ่อ วันๆ เอาแต่เก็บตัวบำเพ็ญอยู่ในถ้ำ ใช้เวลาฝึกบำเพ็ญเท่านั้น พวกเจ้าทำงานยุ่งเพื่อวังสวรรค์ มีเวลาบำเพ็ญน้อย หากว่าพวกเจ้าเป็นเช่นเดียวกับข้า ถึงข้าขี่ม้าก็ตามพวกเจ้าไม่ทัน”

ทั้งสองหลุดยิ้มออกมา ทว่าไม่ได้แสดงความถ่อมตัวเลย

จักรพรรดิสวรรค์เข้ามาหาพวกหานเจวี๋ยทั้งสามคน เอ่ยว่า “ไปเถิด สมควรกลับได้แล้ว”

พวกหานเจวี๋ยทั้งสามคนย่อมไม่ได้คัดค้าน หานเจวี๋ยอยากรีบกลับใจแทบขาดแล้ว

จักรพรรดิสวรรค์โบกแขนเสื้อ ใช้พลังเวทห่อหุ้มคนทั้งสามไว้ กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งจากไปอย่างรวดเร็ว หายลับไปท่ามกลางความมืดมิด คนอื่นๆ ที่อยู่หน้าตำหนักเอกอนันต์ก็แยกย้ายกันจากไป

ระหว่างเดินทางกลับ หานเจวี๋ยวิตกยิ่งนัก ด้วยกลัวว่าจักรพรรดิปีศาจจะตามมาโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว

ระดับความเร็วของจักรพรรดิสวรรค์ว่องไวกว่าตอนขามา

ผ่านไปไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป เขาก็พาหานเจวี๋ยมาส่งเหนือห้วงอวกาศอันเป็นที่ตั้งของโลกเขย่าพิภพแล้ว

หานเจวี๋ยยังไม่ทันได้พูดจา พวกจักรพรรดิสวรรค์ทั้งสามก็จากไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ หานเจวี๋ยจึงรีบกระโจนเข้าสู่ยมโลก

เมื่อกลับถึงยมโลก ในที่สุดหานเจวี๋ยก็โล่งใจแล้ว

‘เพียงครั้งนี้เท่านั้น หากไม่บรรลุต้าหลัว ไม่อาจออกไปสดับมรรคได้อีก’

หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้

การสดับมรรคครานี้นอกจากตบะจะเพิ่มขึ้นแล้ว ยังได้เข้าใจมหามรรคแห่งกรรมด้วย

มรรคนี้มิสามัญ รอจนเขาก้าวสู่ระดับเทพ การฝึกบำเพ็ญมรรคแห่งกรรมและมรรเวียนว่ายตายเกิด ย่อมก้าวหน้ารุ่งเรือง

เพื่อความปลอดภัย ระหว่างที่หานเจวี๋ยอยู่ในยมโลกได้วนอ้อมหักเลี้ยวอยู่หลายแสนครั้ง กว่าจะกลับถึงเกาะสำนักซ่อนเร้น

การเดินทางในครั้งนี้ไม่มีอันตรายเลยจริงๆ

นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ความมีตัวตนของหานเจวี๋ยต่ำต้อยถึงเพียงนั้น ชื่อเสียงสู้ผู้บำเพ็ญธรรมดาในแดนเซียนไม่ได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งเขาไม่เคยเป็นฝ่ายไปหาเรื่องศัตรูก่อน จะเผชิญการโจมตีได้อย่างไร

เมื่อกลับมาถึงเกาะสำนักซ่อนเร้น หานเจวี๋ยเรียกเหล่าศิษย์มารวมตัว เล่าเรื่องสดับมรรคในครานี้พอสังเขป ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกซึ้ง เพียงให้เหล่าศิษย์ได้รู้ว่านภาสูงเพียงใด

มหามรรคแห่งกรรม เขาเพียงตระหนักรู้ ยังไม่สามารถเผยแพร่ได้

จอมปีศาจคุกรัตติกาลเอ่ยด้วยความปลดปลง “ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง แต่ก่อนข้านึกว่าเป็นตัวตนในเทวตำนานบรรพกาลเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีตัวตนอยู่จริง”

สวินฉางอันก็ปลงอนิจจังอย่างยิ่งเช่นกัน

ในอดีตบรรพชนพุทธเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในสายตาของเขา ยามนนี้พอได้ฟังหานเจวี๋ยเล่าแล้ว บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์เมื่ออยู่ต่อหน้าปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ก็ยังต้องเคารพนบน้อมเสมือนผู้เยาว์ ถือว่าได้เปิดโลกกว้างแล้วจริงๆ

เหล่าศิษย์ต่างเลือดลมสูบฉีด ล้วนถูกกระตุ้นความฮึกเหิมในการบำเพ็ญขึ้นมา

หานเจวี๋ยเอ่ยกำชับอีกไม่กี่ประโยค ก็กลับเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

เขาเริ่มเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ

เพื่อป้องกันไม่ให้การมีอยู่ของระบบถูกเปิดเผย เขาตั้งใจจำกัดข้อมูลของเหล่าผู้ทรงพลังหลายร้อยคนจากตำหนักเอกอนันต์ไว้ มีเพียงหานเจวี๋ยที่สามารถท้าประลองกับพวกเขาได้ เมื่อศิษย์คนอื่นๆ เข้าสู่แบบจำลองการทดสอบจะไม่เห็นพวกเขา

ถึงอย่างไรศิษย์สำนักซ่อนเร้นก็ไม่ได้มีเพียงสามสี่คนแล้ว หานเจวี๋ยจำเป็นต้องระมัดระวัง

แม้แต่ร่างแยกอย่างหลิวเป้ย หานเจวี๋ยก็มีความระแวงเช่นกัน ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เกรงว่าจะถูกศัตรูสวมรอยสับเปลี่ยนวิญญาณ

ต้องระวังไว้ถึงจะอายุยืนหมื่นปี!

หลังจากหาเรื่องใส่ตัวอยู่พักหนึ่ง หานเจวี๋ยก็เริ่มฝึกฝนลมปราณ ยกระดับจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้น

ส่วนมหามรรคแห่งกรรม รอให้เข้าสู่ระดับเทพก่อนแล้วค่อยบำเพ็ญ

ตอนนี้เขาคือจักรพรรดิเซียนหกวัฏแล้ว ไม่รู้ว่าจะเข้าสู่ระดับเทพได้ภายในพันปีหรือไม่

….

ครึ่งปีหลังจากนั้น

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังบำเพ็ญอยู่ จู่ๆ ก็มีอักขระแถวหนึ่งปรากฏขึ้นมา

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1.5 ดาว]

[ตี้จวินเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

[อวี้ผูถีเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

[อริยะเจ็ดวิถีเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

หานเจวี๋ยตกตะลึง

เกิดอะไรขึ้น

เหตุใดจู่ๆ ถึงมีข้อความแจ้งเตือนระดับความประทับใจปรากฏขึ้นมาถึงสี่คนเล่า

ดูเหมือนจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งนั้นด้วย!

………………………………………………………………