ตอนที่ 366 เหลียนเฉียวผู้ไม่สนเหตุผล

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 366 เหลียนเฉียวผู้ไม่สนเหตุผล

เฉินเฟิงเหลือบมองเหลียนเฉียวอย่างเคร่งขรึม สายตานั้นเต็มไปด้วยแววไม่พอใจ

เหลียนเฉียวหัวใจหล่นตุ้บ เกิดกลัวขึ้นมาว่าเขาจะหาเหตุผลมาไล่หล่อนออกไป พลันก้มหน้าลงอย่างตื่นตระหนก

เฉินเฟิงถอนหายใจเบาๆ จนแทบไม่สังเกตเห็น แล้วหยิบน้ำอัดลมขวดหนึ่งจากมือหล่อนขึ้นมาเปิด ก่อนยื่นให้หลินม่าย “มาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

เหลียนเฉียวเห็นเฉินเฟิงไม่ได้ไล่หล่อนออกไปก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก วางน้ำอัดลมอีกสองสามขวดบนโต๊ะทำงาน แล้วนั่งลงที่มุมห้องอย่างสงบเสงี่ยม

หลินม่ายรับน้ำอัดลมมา “ฉันแค่อยากมาถามนิดหน่อย ผู้อำนวยการหลิวฝ่ายพัฒนาเมืองที่นายช่วยฉันตรวจสอบได้เรื่องว่ายังไงบ้าง?”

“ส่วนที่สามารถตรวจสอบได้ก็ตรวจสอบมาพอสมควรแล้ว สมาชิกในครอบครัวของผู้อำนวยการหลิวก็พื้นๆ ธรรมดา” เฉินเฟิงนั่งลงบนโซฟา “ภรรยาของเขาทำงานอยู่ที่องค์กรธุรกิจอะไรสักอย่าง มีลูกชายสองหญิงหนึ่ง ลูกชายทั้งสองคนแต่งงานหมดแล้ว ลูกชายลูกสะใภ้การงานก็ไม่เลว เป็นครอบครัวเล็กๆ ที่สมบูรณ์พูนสุข แต่จุดอ่อนเล็กน้อยในความสมบูรณ์นั้นก็คือ หลิวเสวี่ยลูกสาวคนเล็กจะแต่งงานในเทศกาลวันชาติปีนี้ แต่หาซื้อตู้เย็นไม่ได้”

หลินม่ายยิ้มออกมาในทันที “ฉันมีตู้เย็นที่ยังไม่ได้แกะสองสามหลังอยู่ในมือพอดี ส่งไปให้ผู้อำนวยการหลิวสักหลัง ก็สร้างความสัมพันธ์กับเขาได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

เฉินเฟิงลูบคางพลางพูด “การส่งของขวัญก็เป็นทักษะอย่างหนึ่ง ถ้าส่งได้ดี ทำงานเพียงครึ่งก็เหมือนทำงานสำเร็จแล้วทั้งหมด หากส่งไม่ดี แม้ลงแรงไปมากมายก็ได้มาไม่คุ้ม เธอวางแผนจะส่งไปยังไงล่ะ?”

หลินม่ายขยิบตาอย่างขี้เล่น “แน่นอนว่าฉันวางแผนจะทำแบบอ้อมๆ น่ะสิ ถ้าส่งตู้เย็นไปถึงบ้านกันโต้งๆ แบบนั้น ถ้าผู้อำนวยการหลิวเขาไม่รับแล้วซื้อเอาจะทำยังไงล่ะ? ฉันจะไม่ทำไปเสียเปล่าหรอกเหรอ?”

“ทำแบบอ้อมๆ…” เฉินเฟิงครุ่นคิดในใจแล้วยิ้ม “ความคิดดี!”

หลินม่ายยังต้องไปโรงงานใหม่เพื่อพบปะกับพนักงานใหม่ที่รับเข้าทำงาน เมื่อคุยธุระเสร็จจึงเดินจากไป

แต่ออกจากตลาดสดไปได้ไม่ไกลนัก เหลียนเฉียวก็ไล่ตามเธอมาจากด้านหลัง

หลินม่ายเห็นหล่อนแล้วก็ปวดหัวขึ้นมา เธอกุมขมับพูด “พี่สาว ฉันไม่ได้ทำอะไรให้พี่เฟิงเข้าใจผิดสักหน่อย”

เหลียนเฉียวกระแอมเบาๆ “เมื่อกี้นี้เธอเพิ่งจะส่งสายตาให้พี่เฟิงนะ”

“ฉันส่งสายให้พี่เฟิง?!”

หลินม่ายนึกอย่างละเอียดจริงจังอยู่นาน แล้วพูดยืนยันเต็มที่ “ฉันไม่ได้ทำ!”

“เธอทำ! เมื่อกี้เธอทำแบบนี้” เหลียนเฉียวเลียนแบบท่าทางขยิบตาของเธอตอนที่คุยกับเฉินเฟิงเมื่อครู่

หลินม่ายแทบจะคุกเข่าให้หล่อน พลันแก้ไขอย่างเอาจริงเอาจัง “นั่นไม่ใช่ส่งสายตา มันคือการขยิบตา”

“มันก็คือส่งสายตานั่นแหละ!” เหลียนเฉียวยืนกราน

สีหน้าของหลินม่ายบึ้งตึงขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันกับพี่เฟิงคุยกันจะมีสีหน้าท่าทางบ้างไม่ได้เลยหรือไง? แสดงสีหน้าแค่นิดเดียวในสายตาของเธอก็เป็นการส่งสายตาแล้ว ทำไมเธอไม่แสดงออกมาตรงๆ เลยล่ะ ว่าไม่อยากให้ฉันกับพี่เฟิงเจอกันจะดีที่สุด!”

พูดจบ เธอก็เดินไปด้วยความขุ่นเคือง

เหลียนเฉียวตะโกนไล่หลัง “ฉันอยากให้เธอไม่ต้องมาเจอพี่เฟิงอีก เธอจะฟังไหมล่ะ?”

หลินม่ายทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ไร้เหตุผลสิ้นดี!” แล้วเดินไปโดยไม่หันกลับมามองอีก

เหลียนเฉียวเดินฟึดฟัดกลับไปที่ออฟฟิศ ก็เห็นสีหน้าของเฉินเฟิงถมึงทึงอย่างน่าหวาดหวั่น

ในใจหล่อนพลันตระหนก พยายามลดการมีตัวตนของตัวเองให้มากที่สุด แทบจะเขย่งปลายเท้าเดิน ไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่น้อย

ขณะที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เฉินเฟิงก็พูดขึ้น “เกณฑ์ทหารของฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ เธอไปลงชื่อสมัครซะ”

เหลียนเฉียวตะลึงเล็กน้อย แล้วเอ่ยปฏิเสธในทันที “ฉันไม่อยากไป”

เฉินเฟิงหันไปมองหล่อนอย่างเฉียบขาด “เธอต้องไป!”

“ทำไมล่ะ?”

“เพราะเธอเอาแต่หาเรื่องม่ายจื่ออยู่เรื่อย!”

เหลียนเฉียวกำลังจะแก้ต่างให้ตัวเอง เฉินเฟิงก็ถามขึ้น “ถามตัวเธอเองเถอะ ว่าเธอได้จงใจหาเรื่องม่ายจื่อหรือเปล่า?”

เหลียนเฉียวหุบปากลงครึ่งหนึ่ง

หล่อนเองก็รู้ตัวว่ากำลังหาเรื่องหลินม่าย แต่หล่อนควบคุมตัวเองไม่ได้

หล่อนอยากไล่หลินม่ายไปให้พ้นจากสายตาของเฉินเฟิง หายไปจากชีวิตของเขาโดยสมบูรณ์

บางทีเฉินเฟิงอาจจะมองมาที่หล่อนมากขึ้นอีกสักหน่อย หล่อนจะได้มีความหวังอันเลือนรางขึ้นมาอีกนิด

เหลียนเฉียวเอ่ยขอร้องเสียงเบา “ฉันรับประกันว่าต่อไปจะไม่หาเรื่องหลินม่ายอีก พี่อย่าส่งฉันไปเป็นทหารเลย ได้ไหมคะ?”

“ไม่ได้!” เฉินเฟิงตอบกลับอย่างเด็ดขาดที่สุด “ถ้าตอนนี้ฉันไม่ส่งเธอไปเป็นทหาร ให้เธอลับคมอย่างเต็มที่ ฉันกลัวว่าวันหนึ่งเธอจะควบคุมความอิจฉาริษยาที่มีต่อหลินม่ายของตัวเองไม่ได้ แล้วทำอะไรรุนแรงกับหล่อน ถึงตอนนั้นฉันควรจะทำยังไงล่ะ? เพื่อจะแก้แค้นให้ม่ายจื่อ ฉันควรจะต้องฆ่าเธอใช่ไหม? แต่ฆ่าเธอแล้วในใจของฉันจะรู้สึกดีเหรอ? ไม่ว่ายังไง พวกเราสองคนก็โตมาด้วยกัน เหมือนกับเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ฉันไม่อยากให้วันหนึ่งเธอต้องตายด้วยน้ำมือฉัน ยิ่งไม่อยากเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ต้องสูญเสียทั้งเพื่อนอย่างม่ายจื่อ ทั้งคนใกล้ชิดอย่างเธอไปด้วยกัน”

เหลียนเฉียวพูดอย่างไม่ยินยอม “ทำไมพี่ถึงมาชอบฉันไม่ได้?”

เฉินเฟิงถอนหายใจเบาๆ “อย่าถามเลยว่าทำไม ก็เหมือนกับต่อให้ตายยังไงม่ายจื่อก็ไม่มีทางมาชอบฉันนั่นแหละ เรื่องของความรู้สึก มันอธิบายกันไม่ได้หรอก ไม่รักก็คือไม่รัก”

เหลียนเฉียวกัดริมฝีปาก “ถ้าฉันไม่ยอมไปเป็นทหารแล้วหนีไปล่ะ?”

เฉินเฟิงพยักหน้า “เธอจะเลือกหนีไปก็ได้ แต่เธอเองก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาจากการหนีด้วย นั่นคือพวกเราสองคนตั้งแต่นี้ไปจนตายไม่ต้องติดต่อกันอีก รวมไปถึงอย่าเจอหน้ากันด้วย”

เหลียนเฉียวจ้องเขม็งไปที่เขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปทางอื่นด้วยความโกรธเคือง

เมื่อหลินม่ายมาถึงโรงงานใหม่ ผู้สมัครที่ได้รับเข้าทำงานทุกคนต่างมีรอยยิ้มบนใบหน้า

ป้าติงยิ้มทักทายกับหลินม่ายเล็กน้อย คนอื่นๆ เองก็ทักทายเธอด้วยเช่นกัน

หลินม่ายตอบกลับแต่ละคนด้วยรอยยิ้ม แล้วพาทุกคนเข้าไปที่ห้องทำงาน

เธอจัดการประชุมอย่างง่ายๆ ให้กับพนักงานของโรงเรียนอนุบาลก่อน อธิบายว่าจะเริ่มงานอย่างเป็นทางการเมื่อใด

ทว่าหลังเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการแล้ว ครูใหญ่จะเป็นผู้รับผิดชอบกิจธุระทั้งหมดของโรงเรียนอนุบาลทั้งหมด เธอเพียงแค่มาตรวจดูเล็กน้อยเป็นครั้งคราวเท่านั้น

เมื่ออธิบายเสร็จ หลินม่ายก็ให้พวกเขากลับไป

ทันทีครูใหญ่และคนอื่นๆ เดินออกไป ด้านหลังก็มีคนคนหนึ่งผลุนผลันเข้ามา

คนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น ก็คืออาจารย์ปลดเกษียณที่มาสมัครวันนั้นนั่นเอง

อาจารย์ปลดเกษียณคนนั้นเดินเข้ามาแล้วถามอย่างไม่เป็นมิตร “ทำไมในรายชื่อรับเข้าทำงานไม่มีฉัน?”

หลินม่ายมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเรียบเฉย “ทำไมในรายชื่อรับเข้าทำงานถึงต้องมีคุณเหรอคะ?”

อาจารย์ปลดเกษียณคนนั้นเชิดคาง “เพราะฉันมีคุณสมบัติดีกว่าคนอื่นๆ น่ะสิ?”

หลินม่ายหัวเราะ “ต่อให้คุณสมบัติของคุณดีแค่ไหน แต่อายุเกินกำหนดมากเกินไป ก็รับเข้าทำงานไม่ได้หรอกค่ะ”

ความจริงเธอไม่ได้ไม่รับอาจารย์ปลดเกษียณคนนั้นเข้าทำงานเพราะหล่อนอายุเกินเกณฑ์หรอก แต่เพราะหล่อนไม่มีจิตใจเอื้อเฟื้อ ไม่เหมาะสมที่จะทำงานในโรงเรียนอนุบาล

แต่เธอไม่อยากพูดเหตุผลที่แท้จริง เพราะอาจารย์ปลดเกษียณคนนี้จะต้องเถียงข้างๆ คูๆ แน่

ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงกันไปมา เสียเวลากันเปล่าๆ

ไม่สู้ยกกฎระเบียบที่เข้มงวดมาไล่หล่อนไปเสีย

อาจารย์ปลดเกษียณคนนั้นโกรธจัด หล่อนชี้หน้าหลินม่ายพูด “แล้วเธอจะเสียใจ!”

หลินม่ายยิ้มเล็กน้อย “ฉันมีอะไรต้องเสียใจด้วยคะ? หรือถ้าไม่รับคุณเข้าทำงานแล้วโลกจะหยุดหมุนเหรอ?”

อาจารย์ปลดเกษียณเดินจากไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด

หลินม่ายให้ผู้พิการทั้ง 11 คนรวมถึงเหยาเยี่ยนนั่งลงล้อมรอบโต๊ะทำงาน

เธอให้เศษผ้าจำนวนหนึ่งกับพวกเขาทุกคน “ก่อนที่จะเริ่มงานอย่างเป็นทางการ ฉันจะให้พวกคุณฝึกอบรมกันก่อนสองสามวัน พอเรียนทำดอกไม้เป็นแล้ว พวกเราค่อยเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ”

พนักงานผู้พิการทั้ง 11 คนรับเศษผ้าไว้ แล้วต่างก็เรียนการทำดอกไม้กับหลินม่ายอย่างเอาจริงเอาจัง

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง หลินม่ายสอนทำรูปทรงดอกไม้ที่เธอทำเป็นไปแล้วกว่าสิบแบบ

ในบรรดากลุ่มผู้พิการ เหยาเยี่ยนนั้นหัวไวมือคล่องที่สุด ไม่ว่าจะเป็นดอกอะไรหล่อนเรียนเพียงครั้งเดียวก็ทำเป็นแล้ว

หงซิ่วเหมยเองก็ไม่เลว ไม่ว่าดอกไม้อะไรหล่อนเรียนเพียงสองสามครั้งก็ทำเป็นเช่นกัน

ส่วนคนอื่นๆ เมื่อเทียบกับพวกเธอแล้วก็ดูค่อนข้างเงอะงะงุ่มง่าม

หลินม่ายให้เหยาเยี่ยนกับหงซิ่วเหมยช่วยฝึกพนักงานผู้พิการคนอื่นๆ ทำดอกไม้เป็นเวลาอย่างน้อยสามวัน เพราะเธอยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ไม่อยากเห็นหน้าม่ายจื่อนัก พี่เฟิงเลยจัดการให้ไม่เห็นหน้าม่ายจื่อสมใจเลยเป็นไงล่ะ

มันก็มีเยอะอยู่นะ คนประเภทที่คุณสมบัติไม่ถึงแต่ยังดันทุรังจะทำให้ได้เนี่ย

ไหหม่า(海馬)