ตอนที่ 365 มีเจตนาร้ายกันทั้งครอบครัว

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 365 มีเจตนาร้ายกันทั้งครอบครัว

เมื่อหม่าเทาเห็นว่าหลินม่ายตกลงให้ตนอยู่ในบ้านของเถาจืออวิ๋นต่อไปอีกครึ่งปีอย่างง่ายดาย ก็กลับบ้านไปอย่างหน้าชื่นตาบาน

ทั้งครอบครัวกำลังรอฟังข่าวดีจากเขาอยู่

ทันทีที่เขากลับมา คนทั้งบ้านก็เข้ามารุมล้อมเขาเอาไว้

แม่หม่าถามอย่างอดทนรอไม่ไหว “นังชั้นต่ำเถาจืออวิ๋นนั่นยอมให้แกอยู่ต่อไปอีกหรือเปล่า?”

หม่าเทาพูดอย่างลำพองใจ “เธอจะยอมหรือเปล่าน่ะไม่สำคัญหรอก ขอแค่ยัยคนแซ่หลินนั่นตกลงก็พอแล้ว”

เวินหงเหมยถาม “คนแซ่หลินคือใครกัน?”

“เพื่อนสนิทของจืออวิ๋น เอาแต่ออกหน้าให้หล่อนอยู่เรื่อย น่ารำคาญสุดๆ!” หม่าเทาขมวดคิ้วพูด

แม่หม่าจ้องมองท้องของเวินหงเหมยอยู่สองสามครั้ง “ขอแค่พวกแกตั้งท้องได้ภายในครึ่งปี ก็จะสามารถหาข้ออ้างอยู่ที่บ้านนี้ต่อไปได้อีก รอจนเด็กคลอดออกมา พวกเราก็ไม่ต้องย้ายไปไหนแล้ว ถ้านังชั้นต่ำนั่นกล้าให้เราย้ายออก แม่จะไปแขวนคอตายหน้าบ้านแม่นังนั่นเสียเลย ถ้าหลานของแม่ยังเล็กขนาดนี้แล้วหล่อนขับไล่เราออกไป หล่อนจะไม่เจ็บต่อมมโนธรรมบ้างเหรอ!”

พ่อหม่าแม่หม่าเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างดี ผู้คนย่อมเห็นอกเห็นใจผู้ที่อ่อนแอ

บ้านแม่ของเถาจืออวิ๋นฐานะดี ส่วนตัวหล่อนเองทำงานกับหลินม่าย มีรายได้ไม่ใช่น้อยๆ

แต่ฐานะของบ้านพวกเขานั้นเทียบกับเถาจืออวิ๋นไม่ได้เลย ถ้าหล่อนกล้ายึดบ้านคืนในช่วงเวลาที่เวินหงเหมยตั้งท้อง หรือช่วงที่เด็กยังเล็กล่ะก็ พวกเขาทั้งครอบครัวก็จะเรียกร้องความสงสาร ให้หล่อนถูกคนอื่นประณามนินทาอย่างหนัก!

อย่าว่าแต่เถาจืออวิ๋นตัวเล็กๆ แค่คนเดียวเลย ต่อให้หล่อนขอให้ทั้งโรงงานมาออกหน้าให้ ต่อหน้าพวกเขาทั้งบ้านที่กระเตงเด็กเล็กคนหนึ่ง คนในโรงงานก็คงไม่กล้าไล่พวกเขาไปง่ายๆ หรอก!

เมื่อพูดถึงตรงนี้ แม่หม่าก็มองไปยังถงถงลูกสาวของเวินหงเหมยอย่างร้ายกาจ

นังเด็กนี่มองยังไงก็ไม่เหมือนกับลูกชายของนางเลยสักนิด

ลูกชายของนางเชื่อว่าหล่อนเป็นลูกของเขาได้อย่างไร จะโง่ไปถึงไหนกัน!

เวินหงเหมยกอดลูกสาวนั่งอยู่อีกด้านอย่างเงียบงัน

หล่อนเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ในการยึดครองบ้านของเถาจืออวิ๋น จึงไม่จำเป็นจะต้องแสดงความคิดเห็นต่าง

หากในอนาคตเถาจืออวิ๋นเอะอะโวยวายขึ้นมา หล่อนก็ยังสามารถตีตัวออกห่าง บอกว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทุกอย่างเป็นฝีมือของพ่อแม่สามีทั้งสิ้น

ทุกคนในบ้านต่างมีเจตนาร้ายกันทั้งครอบครัว

ยังไม่ถึงบ่ายสองโมง หลังจากหลินม่ายพาโต้วโต้วไปส่งที่บ้านป้าติงแล้ว ก็ไปที่ตลาดสดฝูตัวตัว

เธอคิดจะไปถามเฉินเฟิงสักหน่อย ว่าข่าวของผู้อำนวยการหลิวที่ให้เขาช่วยสืบมานั้นได้เรื่องอย่างไรบ้าง

ในตลาดสดฝูตัวตัว เฉินเฟิงที่ไม่มีอะไรทำจึงมาเป็นพนักงานดารารับเชิญ ยืนขายเนื้ออยู่หน้าแผงขายเนื้อ

คุณป้าคนหนึ่งหยิบๆ เลือกๆ เนื้อที่หน้าแผงขายเนื้ออยู่นาน หล่อนชี้ไปยังซี่โครงที่เหลืออยู่ไม่มากแล้วพูด “ขอซี่โครงให้ฉันครึ่งกิโลนะ สับด้านนี้”

ขณะที่พูด หล่อนก็ทำท่าทางวาดมือบนเนื้อซี่โครงชิ้นนั้น

ท่าทางการให้บริการของเฉินเฟิงยอดเยี่ยมมาก เขาสับเนื้อซี่โครงชิ้นนั้นให้ตามที่หล่อนทำท่าทางบอก แล้วชั่งบนตาชั่ง “ครึ่งกิโลครึ่งขีดครับ”

ป้าคนนั้นค้าน “ฉันเอาแค่ครึ่งกิโล เธอจงใจสับเกินมาครึ่งขีดให้ฉันมีเจตนาอะไร? ฉันไม่สน ฉันจะจ่ายเงินแค่ครึ่งกิโลเท่านั้น!”

เหลียนเฉียวที่ยืนอยู่ข้างๆ หน้าบึ้งตึงในทันที หล่อนขมวดคิ้วแน่น กำลังคิดจะโต้เถียง

เฉินเฟิงใช้สายตาปรามหล่อน แล้วยิ้มบางๆ พลางยกมีดในมือขึ้น สับซี่โครงชิ้นเล็กๆ ออกเล็กน้อย แล้วชั่งบนตาชั่งอีกครั้ง “ครึ่งกิโลพอดีครับ”

ป้าคนนั้นตกตะลึง ได้แต่จ่ายเงินค่าเนื้อซี่โครงครึ่งกิโล แล้วถือตะกร้าหมุนตัวเดินไป

เฉินเฟิงเรียกหล่อนไว้ “คุณป้า ต้องการสับซี่โครงเป็นชิ้นเล็กๆ ไหมครับ?”

ป้าคนนั้นครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วหยิบซี่โครงออกมาจากตะกร้า วางลงบนเขียง

เฉินเฟิงถาม “ต้องการสับยาวชิ้นละหนึ่งนิ้วหรือสองนิ้วดีครับ?”

ป้ากลอกตาแล้วพูด “บ้านเรามีคนเยอะ ซี่โครงครึ่งกิโล ถ้าเธอสับสองนิ้วจะสับได้สักกี่ชิ้น? ทุกคนกินคนละชิ้นก็ยังแบ่งได้ไม่พอเลย! สับแค่หนึ่งนิ้วก็ได้แล้ว”

เหลียนเฉียวนึกตำหนิติติงอยู่ข้างๆ แค่บอกว่าสับหนึ่งนิ้วก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง เอาแต่พูดพล่ามอยู่ได้!

เฉินเฟิงสับซี่โครงตามที่คุณป้าขอมา และกำลังจะใส่ลงในตะกร้าของหล่อน

ป้าคนนั้นก็พูดด้วยหน้าบึ้งตึง “อย่ารีบเอามาใส่ตะกร้า ชั่งซี่โครงให้ฉันใหม่อีกรอบหนึ่ง”

ในที่สุดเหลียนเฉียวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “ก่อนหน้านี้ก็ชั่งไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ยังจะชั่งอีก!”

คุณป้ากลอกตาแล้วพูด “ถ้าไม่ชั่งใหม่ ใครจะไปรู้ว่าตอนสับซี่โครงอยู่พวกเธอแอบเอาซี่โครงออกไปสองสามชิ้นหรือเปล่า?”

เหลียนเฉียวโกรธจนถลึงตาแทบถลน “ผู้จัดการเฉินของเราเห็นคุณอายุมากแล้ว กลัวว่าคุณเอากลับไปแล้วจะสับซี่โครงไม่ไหว ก็เลยเสนอจะช่วยคุณสับให้ แต่ความหวังดีดันกลายเป็น….”

คำว่า“เครื่องในลา(1)”ในท่อนหลังยังไม่ทันออกจากปาก เฉินเฟิงก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน “ก็แค่ชั่งใหม่เท่านั้นเอง เธอทำตามนั้นก็พอแล้ว จะพูดเรื่องไร้สาระมากมายขนาดนั้นทำไม! อย่าลืมสิ ลูกค้าก็คือพระเจ้านะ”

เมื่อนั้นเหลียนเฉียวถึงเปลี่ยนสีหน้า นำซี่โครงที่สับเสร็จแล้วไปชั่งใหม่ให้คุณป้าดู

เมื่อคุณป้าเห็นว่าน้ำหนักไม่ได้หายไป จึงให้เฉินเฟิงใส่ลงในตะกร้าให้หล่อน

ด้วยท่าทางการบริการอย่างเอาใจใส่ของเฉินเฟิง ใครก็ดูไม่ออกว่าเมื่อก่อนเขาเคยเป็นอันธพาล!

หลังจากส่งคุณป้ากลับไปแล้ว เฉินเฟิงก็หันมายิ้มให้กับหลินม่ายที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก “มานานแล้วเหรอ?”

“ไม่นานหรอก” หลินม่ายเดินเข้าไป มองไปยังเนื้อหมูบนแผงขายเนื้อแล้วพูดขึ้น “วันนี้ขายเนื้อหมูขายได้ไม่เลวเลยจริงๆ ตอนนี้ก็ขายไปได้พอสมควรแล้ว”

เฉินเฟิงส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะขายดีหรอก แต่เพราะรับหมูเข้ามาแค่ตัวเดียวน่ะ”

หลินม่ายถามอย่างสงสัย “ทำไมรับมาน้อยขนาดนี้ล่ะ? เพราะกลัวว่าอากาศร้อน แล้วเนื้อหมูที่ขายถึงตอนบ่ายจะเสียเหรอ? ตลาดสดของเราก็ไม่ได้ขายไม่ดีเสียหน่อย นายเอาเงินส่วนกลางไปซื้อตู้แช่แข็งที่ห้างกลับมา แล้วเอาเนื้อแช่ไว้ในตู้แช่ก็ไม่เสียแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“รอให้เธอมาเตือน ตลาดก็วายหมดแล้ว” เหลียนเฉียวกลอกตาใส่เธอ แล้วชี้ไปใต้โต๊ะ “ตู้แช่น่ะซื้อมาตั้งนานแล้ว”

หลินม่ายเดินอ้อมไปดูด้านหลังโต๊ะตัวยาว มีตู้แช่เย็นอยู่จริงๆ

ทว่าภายในนั้นไม่มีเนื้อหมู แต่แช่ปลาน้ำจืดจำพวกปลาตะเพียนและปลาเกล็ดเงินอยู่ไม่น้อย

เธอถามด้วยความแปลกใจ “ในเมื่อมีตู้แช่แข็ง ทำไมไม่รับหมูเพิ่มสักตัวล่ะ?”

“มันต้องรับมาให้ได้ก่อนถึงจะได้น่ะสิ” เฉินเฟิงถอดผ้ากันเปื้อนออก ปลดแขนเสื้อลง แล้วเดินไปที่ออฟฟิศพร้อมกับเธอ

เหลียนเฉียวเดินตามอยู่ข้างหลังพวกเขา

หลินม่ายแปลงร่างเป็น ‘100,000 เพราะอะไร’(2)ทันที “ทำไมรับมาไม่ได้ล่ะ? หมูเป็นๆ มันเลี้ยงยากเหรอ? ทำไมหมูถึงเลี้ยงยากล่ะ?”

เหลียนเฉียวกลอกตาใส่เธออีกครั้ง “เลี้ยงหมูหนึ่งตัวตั้งแต่เป็นลูกหมูจนถึงส่งขายอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลา 10 เดือน ตลาดสดของเราเปิดกิจการมานานขนาดนี้ ขายหมูวันละสามตัว เราซื้อหมูของเกษตรกรที่เลี้ยงเองในพื้นที่ของเมืองซื่อเหม่ยมาหมดแล้ว หมูเป็นๆ นั่นเลยได้มายากขึ้นทุกวัน เรื่องแค่นี้เธอก็ยังคิดไม่ได้อีก!”

เฉินเฟิงเห็นเหลียนเฉียวทำท่าทีไม่ดี พลันเอ่ยสั่ง “เธอไปซื้อน้ำอัดลมมาสักสองสามขวดสิ”

เหลียนเฉียวมุ่ยปากแล้วหมุนตัวเดินไปอย่างไม่เต็มใจ

เฉินเฟิงส่ายหน้า “พูดยังไงหล่อนก็ไม่ฟัง เห็นเธอแล้วก็ชักสีหน้าตลอด เดี๋ยวปั้ดส่งหล่อนไปเป็นทหารเกณฑ์ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้เสียเลย จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าตาบูดเบี้ยวของหล่อนทุกครั้งที่เธอมาหาฉัน”

หลินม่ายพูดอย่างเที่ยงธรรม “ท่าทางของหล่อนคราวนี้ดีกว่าก่อนหน้านี้ตั้งเยอะแล้ว เมื่อก่อนเห็นฉันแล้วเหมือนเห็นคนฆ่าพ่อหล่อนยังไงยังนั้น แทบอยากจะจ้วงฉันสักสองสามแผล…”

เฉินเฟิงหัวเราะอย่างชั่วร้าย

“ถ้าซื้อหมูเป็นที่เมืองซื่อเหม่ยไม่ได้แล้ว งั้นก็ออกไปซื้อไกลหน่อยสิ” หลินม่ายเสนอขึ้น

“จัดการให้คนไปซื้อที่เมืองอื่นแล้ว” เฉินเฟิงพูดอย่างเป็นกังวล “ฉันกลัวว่า หมูในหมู่บ้านรอบๆ จะถูกพวกเราซื้อมาจนเกือบหมดก่อนจะถึงวันปีใหม่เสียอีก แล้วจะจัดหาเนื้อหมูในช่วงปีใหม่ยังไง?”

นี่แหละคือปัญหา

“ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่สักสองสามแห่งก่อนจะถึงวันปีใหม่สิ ให้รถบรรทุกทั้งหมดวิ่งไปหาซื้อหมูมาจากหมู่บ้านในเมืองข้างเคียงพร้อมกัน แล้วล้อมคอกเลี้ยงในฟาร์มเลี้ยงหมู ถึงช่วงปีใหม่ก็เอามาเชือด แบบนี้ก็รับประกันการจัดหาหมูในช่วงปีใหม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”

เฉินเฟิงหัวเราะ “ก็เป็นวิธีที่ดีนะ”

ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินเข้ามาในออฟฟิศ เหลียนเฉียวก็ถือน้ำอัดลมวิ่งมาอย่างรวดเร็ว สายตากวาดมองไปมาระหว่างหลินม่ายและเฉินเฟิง

หลินม่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย “พอแล้ว หยุดมองได้แล้ว ฉันมีแฟนแล้ว ไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทางหรอกน่า”

ทันใดนั้นเหลียวเฉียวก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย

…………………………………………………………………………………………………………………… (1) เจตนาดีกลายเป็นเครื่องในของลาไปแล้ว หมายถึง มีเจตนาที่ดีช่วยเหลือผู้อื่น แต่อีกฝ่ายกลับเข้าใจผิดว่าคือเจตนาไม่ดี

(2) 100,000เพราะอะไร เป็นหนังสือสำหรับเด็กของประเทศจีน รวม 100,000 คำถามน่ารู้

สารจากผู้แปล

รอดูทั้งครอบครัวกัดกันเองนะคะ ถึงตอนนั้นน่าจะได้เห็นธาตุแท้แต่ละคนชัดขึ้น

ม่ายจื่อมีแฟนแล้ว หยุดบู้บี้ม่ายจื่อได้แล้ว

ไหหม่า(海馬)