บทที่ 398 ข้ายังมีบุตรชายอีกตั้งมาก

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 398 ข้ายังมีบุตรชายอีกตั้งมาก

บทที่ 398 ข้ายังมีบุตรชายอีกตั้งมาก

แน่นอนว่าข่าวเหล่านี้แพร่ไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระจายไปยังเมืองอื่น ๆ ในเวลาไม่นาน

สาเหตุหลักเกิดจากการจัดตั้งสถานีขนส่งเทียนเป่าขึ้นมาก่อนหน้า ในเวลานี้สามารถแสดงให้เห็นบทบาทของสถานีขนส่งเทียนเป่าได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง

และยังควบคู่ไปกับการมีหนังสือพิมพ์ที่ถูกแจกจ่ายออกไปทั่ว ไม่ว่าหนังสือเหล่านี้จะถูกส่งไปยังที่ใด แม้แต่เหล่าเจ้าหน้าที่ที่ต้องการจะฉ้อโกง เปลี่ยนข้อมูลในหนังสือก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้

ความถูกต้องของคำสั่งต่าง ๆ ที่ผ่านจากส่วนกลางไปถึงทุกแห่งหนอย่างครบถ้วนถูกต้องเพราะหนังสือพิมพ์ และไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวทำสิ่งใดที่มิชอบได้

แต่ละภูมิภาคของอาณาจักรต้าเซี่ย มีเวลาให้ทุกคนเตรียมตัวเข้ารับการคัดเลือกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น หลังจากผ่านการสอบ ผู้ที่ได้รับเลือกจะไปที่ตัวมณฑล เพื่อรับการประเมินอีกครั้ง และผู้ที่ผ่านการสอบระดับมณฑลจะได้รับเลือกให้เดินทางเข้าเมืองหลวง

ระหว่างทางมายังเมืองหลวง ทุกคนจะได้รับการคุ้มครองอย่างดีโดยกิจการขนส่งเทียนเป่า จนกระทั่งมาถึงวังหลวง

แต่การสอบเหล่านี้ต้องการผู้ควบคุมการสอบจากหลากหลายสาขาอาชีพ ดังนั้นเจ้าหน้าที่กรมมหาดไทย กรมโยธา และแม้แต่สำนักแพทย์หลวง จึงมาเป็นผู้ดำเนินการ องค์ชายสามเองก็ต้องร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน

แม้ว่าหนานกงสือเยวียนจะเป็นผู้พิจารณาการสอบครั้งนี้อย่างถี่ถ้วนด้วยตนเองแล้ว แต่ทางการก็ยังเกิดความสับสนวุ่นวาย และตำแหน่งงานเจ้าหน้าที่จำนวนมากที่ว่างเว้นลงอย่างกะทันหัน

ทว่าหนานกงสือเยวียนต้องอดทนต่อแรงกดดันเหล่านี้ เพื่อทำลายการผูกขาดอำนาจของเหล่าตระกูลขุนนางลงให้จงได้ เขาต้องใช้โอกาสในการปรับปรุงระบบราชการท้องถิ่นของอาณาจักร และดำเนินระบบสามฝ่ายหกกรมที่โปร่งใสขึ้นมา

นี่คือสิ่งที่เขาสรุปได้หลังศึกษาตำราประวัติศาสตร์ ว่าระบบการเมืองเช่นนี้เหมาะสมกับอาณาจักรมากที่สุด

ระบอบประชาธิปไตยยังไม่อาจเกิดขึ้นได้ในลักษณะสังคมเช่นปัจจุบันนี้

อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่เขายังมั่นใจอยู่แม้ตอนนี้ระบบราชการกำลังชะงักลงโดยไม่กลัวว่าอาณาจักรจะล่มสลายจากความขัดแย้งทางการเมืองในเวลานี้ มาจากความไว้วางใจที่เขามีต่อน้องชายคนที่สี่ของตนเอง เจิ้นหนานอ๋องรวมถึงกองทัพที่ประจำการทางตะวันตกเฉียงเหนือ

ความไม่สงบชั่วคราวยามนี้ไม่นับว่าเลวร้ายนัก ยังคงอยู่ในขอบเขตที่สามารถรับมือได้

สิ่งที่น่าเกรงกลัวคือ การโจมตีจากภายนอกระหว่างที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายต่างหาก

แต่เจิ้นหนานอ๋องและทัพทางตะวันตกเฉียงเหนือสามารถปราบปรามศัตรูต่างแดนที่หมายจะโจมตีต้าเซี่ยได้อย่างสมบูรณ์

“จ้าวฉี่”

“เจ้ามีความสามารถในการจัดการวางแผน ได้รับตำแหน่งขุนนางขั้นสามกรมคลัง”

“หลิวอิง รับตำแหน่งขุนนางขั้นสามกรมพิธีการ”

“ซุนเจีย..”

เมื่อประกาศรายชื่อทั้งหมดแล้ว พวกเขาทุกคนก็คุกเข่าลงอย่างตื่นเต้น

วันนี้มีผู้มีความสามารถสามสิบคนได้รับเชิญให้มากินเลี้ยงหลังผ่านสอบ ในตอนทำการประกาศผล ไม่มีใครเลยที่จะไม่กังวลใจ

“อันหลาง”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มที่มีดวงตาเป็นประกายคุกเข่าลงอย่างเคร่งขรึม

“ข้าจะมอบตำแหน่งขุนนางขั้นสองกรมตุลาการแก่เจ้า หากสามารถไขคดีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมซึ่งขุนนางในกรมเป็นผู้ก่อขึ้นภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ ตำแหน่งนี้จะเป็นของเจ้า แต่หากไม่สำเร็จ จะต้องคืนตำแหน่ง”

อันหลางคุกเข่าลงที่พื้นทันที “กระหม่อมน้อมรับตามพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

“หวังอวี้อัน”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าแต่งตั้งให้เป็นขุนนางขั้นสองรองผู้ว่าหนานโจว ต่อจากนี้จงไปประจำที่หนานโจว”

แน่นอนว่าหวังอวี้อันเข้าใจสถานการณ์ความเป็นไปที่หนานโจวอย่างดี นี่ไม่ต่างอะไรกับเผือกร้อน แต่เขาก็จะสู้ไม่ถอย นี่เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ฝึกฝนและแสดงความสามารถออกมา

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“ซ่งชิง”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

ชายหนุ่มร่างผอมบางซีดเซียวนั่งอยู่บนรถเข็น ประสานมือไว้ที่หน้าตัก จ้องมองฝ่าบาทที่อยู่เบื้องบนด้วยท่าทีกังวลใจ

ท่าทางเช่นเขาจะเป็นข้าราชการได้จริง ๆ หรือ แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังยากลำบาก

ในบรรดาพวกเขาทั้งสามสิบคน สถานการณ์ของซ่งชิงถือว่าพิเศษที่สุด และเขาก็ยังเป็นคนที่มีความสามารถที่สุดอีกด้วย

“รับตำแหน่งราชเลขาธิการ ขุนนางขั้นสาม สำนักราชเลขาธิการ”

สำนักราชเลขาธิการเป็นตำแหน่งที่ฝ่าบาททรงตั้งขึ้นเพื่อทดแทนเฉิงเซี่ยง มีหน้าที่ถวายคำแนะนำในการว่าราชการของพระองค์

แม้ว่าจะฟังดูเป็นงานที่ไม่ได้มีบทบาททางอำนาจมากนัก รับผิดชอบเพียงการถวายคำแนะนำฎีกา แต่ก็เป็นตำแหน่งที่ต้องติดต่อกับฝ่ายต่าง ๆ มากที่สุด

นี่เป็นตำแหน่งที่พิเศษมาก และถือว่าเป็นขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้อีกด้วย

ก่อนหน้านี้มีราชเลขาอยู่ทั้งหมดสี่คน สองในนั้นเป็นคนจากตระกูลขุนนางเก่า และพวกเขาก็ออกไปคราวนี้ด้วย หนึ่งในสองที่เหลือก็ชรามากเกินแล้ว หมายความว่าเหลือเพียงหนึ่งคนที่ทำหน้าที่ได้

แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีงานล้นมือไปหมด

หนานกงสือเยวียนเลื่อนตำแหน่งให้หลีรุ่น หลังจากที่ซ่งชิงเข้ามาเขาจะได้เรียนรู้จากราชเลขาทั้งสอง หากผลงานเป็นที่ยอมรับ หนานกงสือเยวียนก็ไม่รังเกียจที่จะเลื่อนขั้นให้เขาอีก แต่หากผลงานไม่เป็นที่พอใจจะถูกให้ออกจากตำแหน่ง

แม้ว่าทั้งสามสิบคนที่ได้รับเลือกในครั้งนี้จะมากความสามารถ แต่ในตอนนี้ก็ยังเปรียบได้กับเพียงทหารกระดาษ

ดังนั้นจึงเป็นโอกาสสำหรับหนานกงสือเยวียนที่จะฝึกฝนพวกเขาก่อน

หากทำได้ดี ก็จะได้ทำงานนี้ต่อ แต่หากล้มเหลวก็เพียงแค่ลดตำแหน่งให้เหมาะสม

หนานกงสือเยวียนแจ้งพวกเขาโดยตรงอย่างไม่ปิดบัง “ไม่ว่าหลังจากนี้จะได้ตำแหน่งสูงขึ้นหรือต่ำลง ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าแล้ว ข้าจะรอคอยชมผลงานของพวกเจ้าทุกคน”

“กระหม่อมจะตั้งใจถวายการรับใช้พ่ะย่ะค่ะ”

ในเวลานี้หัวใจของคนสามสิบคนกำลังเต็มไปด้วยไฟลุกโชน พวกเขาทุกคนเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ และความปรารถนาที่จะเริ่มต้นการทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างเต็มกำลัง

หลังจากการเข้าเฝ้าอย่างเป็นทางการสิ้นสุดลง หนานกงสือเยวียนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เขาไม่ได้นอนหลับมาสองวันแล้ว

เสี่ยวเป่ารีบเข้ามาเกือบจะทันทีที่ขุนนางใหม่ทั้งสามสิบคนเดินออกไป

เมื่อเห็นท่านพ่อของนางขมวดคิ้วสีหน้าเหนื่อยล้า เด็กน้อยก็พลันปวดใจขึ้นมา

“ท่านพ่อเพคะ กินข้าวก่อนเร็วเข้า อย่าปล่อยให้ท้องหิวนะเพคะ”

เขายุ่งมากจนยังไม่ได้กินอะไรอย่างจริงจังเลย

เสี่ยวเป่าทุกข์ใจ นางพยายามมอบพลังวิญญาณแก่บิดาเพื่อหวังว่าท่านพ่อจะไม่เหนื่อยเกินไป และให้กินอาหารว่างแม้จะเล็กน้อยก็ตาม

คราวนี้ก็เช่นกันระหว่างที่ท่านพ่อกินข้าว เสี่ยวเป่าก็ช่วยนวดขมับ บีบไหล่ นวดหลัง และมอบพลังวิญญาณเพื่อฟื้นฟูร่างกายบิดาอีก

“ท่านพ่อกินข้าวเสร็จแล้วต้องรีบไปนอนนะเพคะ ถ้านอนหลับเต็มอิ่มพรุ่งนี้ก็จะอ่านฎีกาได้ดีขึ้น”

หนานกงสือเยวียน “ข้าสบายดี”

เขาพูดความจริง แม้ว่าจะเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่ทรมานเลยเมื่อเทียบกับยามที่ถูกกู่กัดกินหัวใจและครอบงำด้วยความแค้น

สถานการณ์ของอาณาจักรยามนี้เป็นการยากที่จะหยุดพักผ่อนได้

“ข้าจะผ่อนคลายขึ้นได้มากเมื่อพี่ใหญ่ของเจ้าและคนอื่น ๆ กลับมา”

ก่อนหน้านั้นเขาคิดมาโดยตลอดว่ามีลูกชายทั้งแปดก็เพียงพอแล้ว แต่คราวนี้เริ่มรู้สึกว่าแปดคนก็ยังไม่เพียงพอ

ลูกคนเล็กทั้งสามยังอายุน้อยเกินกว่าจะให้ไปช่วยราชกิจได้ ลูกชายที่โตพอจะส่งออกทำงานราชการที่อื่นก็มีเพียงเจ้าใหญ่และเจ้ารอง เจ้าสามแทบจะไม่ได้ช่วยอะไร เจ้าสี่และเจ้าห้าก็ไปเป็นแม่ทัพ ไม่พอต่อการแบ่งเบาภาระของเขาเอาเสียเลย

ดังนั้น…

ลืมเสียเถอะ เขาจะไม่มีลูกเพิ่มอีกแล้ว และหากมีเพิ่มอีกก็ยังต้องรออีกเป็นสิบปีกว่าพวกเขาจะโต

เดี๋ยวก่อนนะ…

“ตามเซียวเหยาอ๋องมา”

เขาไม่มีบุตรชายอีกแล้ว แต่ยังมีบุตรของน้องชายอยู่อีก

การมีบุตรมากมายก็ควรจะให้พวกเขามาช่วยงานไม่ใช่หรือ

ดังนั้นเมื่อหนานกงหลียุ่งจนเวียนหัว เขาจึงสับสนอย่างยิ่งเมื่อเสด็จพี่ตรัสถามเกี่ยวกับบุตรชายของตน

“เจ้ามีบุตรคนไหนที่โดดเด่นเรื่องงานราชการ วางแผน และอื่น ๆ อีกบ้าง”

หนานกงหลี “???”

หลังจากที่คิดแล้วหนานกงหลีก็ตกใจ “!!!”

เขาตบหัวตนเองแล้วเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว เหตุใดข้าจึงโง่เขลานัก ข้ามีบุตรชายอีกตั้งมากนี่นา!”