บทที่ 399 หักหลังลูกชาย

บทที่ 399 หักหลังลูกชาย

บิดาอย่างเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่บรรดาลูกชายกลับเอาเงินที่เขาหามาอย่างยากลำบากใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อ แบบนี้มันใช้ได้หรือ

ด้วยเหตุนี้ หนานกงหลีจึงคุกเข่าพูดกับเสด็จพี่ของตนอย่างเด็ดเดี่ยว

“เสด็จพี่ แม้ลูกชายคนโตจะไม่ค่อยมีวิชาความรู้ แต่ว่าเขาก็มีวิธีจัดการคนในแบบของตัวเอง เพื่อนที่เที่ยวเล่นกับเขา อ๊ะ ไม่สิ เพื่อนกินล้วนเห็นเขาเป็นหัวโจก ทั้งยังเชื่อฟังคำสั่งอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้มีพวกที่ไม่พอใจเขาอยู่บ้าง แต่ไม่นานเจ้าพวกนั้นก็ต้องยอมแพ้ไป”

หนานกงสือเยวียน : …เจ้ายังมีหน้าบอกว่าลูกชายของเจ้าไม่มีวิชาความรู้เนี่ยนะ

“แล้วก็ลูกชายคนรองของข้า มีความคิดแผลง ๆ เยอะทีเดียว ทั้งยังช่ำชองในการหาเงิน เขาทำเงินให้ร้านค้าหลายแห่งภายใต้ชื่อของพระชายาได้ไม่น้อยเลย”

“แล้วก็เจ้าสาม เขาเก่งวิชาคำนวณ ทั้งยังสามารถคิดเลขในใจ คำนวณได้รวดเร็วกว่าลูกคิดเป็นไหน ๆ”

“ส่วนเจ้าสี่…”

เขาทำเสียงเป็นการชื่นชม “เจ้าเด็กนั่นเจ้าเล่ห์เป็นที่สุด ทำอะไรก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องอย่างกับสุนัขจิ้งจอก ไม่ง่ายเลยที่จะโดดเด่นโดยมีเจ้าใหญ่กับเจ้ารองอยู่ด้วย และที่สำคัญที่สุดคือเขาเป็นคนช่างเจรจา แม้แต่พระชายาก็โปรดปรานเขามากทีเดียว”

“เจ้าห้าเป็นพวกเซ่อซ่า แต่ว่ามีดีตรงที่เชื่อฟังและซื่อสัตย์ โดยเฉพาะกับพ่อคนนี้”

หนานกงหลีตบแผ่นอกของเขาอย่างภาคภูมิใจ

“เจ้าหกชอบดื่มสุรา จมูกไวยิ่งกว่าสุนัข ไม่ว่ากลิ่นอะไรก็สามารถแยกแยะได้หมด แต่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ชอบทำเครื่องเทศ ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร”

“เจ้าเจ็ด…”

หนานกงหลีพยายามอย่างยิ่งที่จะชุบตัวบรรดาลูกชายของตน ทั้งยังดึงความถนัดทุกอย่างของลูกชายทุกคนออกมา

ทว่าพูดไปพูดมาก็ค้นพบว่าลูกชายของตนนั้นมีเยอะเกินไป จนเริ่มสับสนกับรายชื่อของคนหลัง ๆ ทั้งยังมิรู้ว่าพวกเขาถนัดสิ่งใด

หนานกงหลีคุกเข่าอยู่บนพื้น “หรือไม่เสด็จพี่เรียกพวกเขามาดีหรือไม่ ให้ทำงานอะไรก็ได้ที่พวกเขาถนัด ขอเพียงไม่ให้พวกเขาว่างก็พอ”

มิเช่นนั้นจิตใจของคนเป็นพ่ออย่างเขาคงไม่สงบเป็นแน่!

หนานกงสือเยวียน “…”

ช่างเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ ทั้งยังไม่คิดจะปิดบังความไม่ได้เรื่องของตนเองด้วย

“เรียกมาสิ”

เมื่อเสี่ยวเป่าได้ยินว่าท่านพ่อมีรับสั่งให้บรรดาญาติผู้พี่ที่จวนของท่านอาเจ็ดเข้าวัง ก็รีบวิ่งมาหาพวกเขาที่ตำหนักฉินเจิ้งทันที

จากนั้นนางก็ถูกท่านพ่อกอดไว้ในอ้อมแขนราวกับเป็นเตาอุ่นมือ โดยมีท่านอาเจ็ดและเหล่าญาติผู้พี่คุกเข่าเรียงสองแถวอยู่เบื้องล่าง

หนานกงสือเยวียนลูบเส้นผมนุ่มฟูของบุตรสาว คล้ายจะอารมณ์ดี

“หนานกงเหิง บิดาของเจ้าบอกว่าเจ้าเก่งเรื่องบริหาร กรมมหาดไทยกำลังขาดตำแหน่งอยู่พอดี ข้าจะให้เจ้าไปฝึกฝนที่นั่น”

หนานกงเหิง “…”

“หนานกงเหยี่ยน บิดาเจ้าบอกว่าเจ้าเชี่ยวชาญการค้าขาย บังเอิญว่าบิดาเจ้าก็สังกัดกรมคลังด้วย ให้เจ้าดูแลงานที่กรมคลังก็แล้วกัน”

หนานกงเหยี่ยน “…”

“หนานกงฮ่วน บิดาเจ้าบอกว่าเจ้าเก่งเรื่องคิดคำนวณ…”

เมื่อแต่ละคนถูกเรียกชื่อ บรรดาลูกชายก็ไม่สนความกตัญญูอีกต่อไป พวกเขาล้วนแต่จ้องท่านพ่อไม่ได้เรื่องด้วยสายตาขุ่นเคือง

หนานกงหลีลูบจมูกอย่างร้อนตัว ไม่สิเสด็จพี่ ท่านจะพูดธุระก็พูดไป เหตุใดตอนพูดกับทุกคนต้องเติมประโยค ‘บิดาเจ้าบอกว่า’ ด้วยเล่า

เจ้าเล่ห์นักนะท่าน!

หลังจากที่มอบหมายงานให้กับบรรดาลูกคนที่หนานกงหลีเอ่ยถึงเรียบร้อยแล้ว เขาก็มองไปยังคนที่เหลืออยู่

“ใครคือเจ้าสิบ”

หนุ่มน้อยรูปร่างอ้วนกลมเหมือนซาลาเปายกมือขึ้นอย่างสั่นเทา

“ข้าขอรับ”

“เจ้าเก่งอะไร”

เจ้าสิบกัดฟันพูดด้วยความระมัดระวังโดยมีสายตาของเสด็จลุงจ้องมองมา “กิน กินเก่งนับหรือไม่”

ลำพังแค่เห็นรูปร่างหน้าตาจ้ำม่ำของเขาก็รู้ได้แล้วว่าจัดอยู่ในพวกกินเก่ง

หนานกงสือเหยวียนเห็นว่าเขายังเด็กนัก พวกที่เหลือยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาจึงทำเพียงแค่โบกมือ

“นับตั้งแต่วันนี้ไป ให้เจ้าสิบและคนที่เหลือไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาร่วมกับองค์ชายคนอื่น ๆ”

ต้องเล่าเรียนก่อนแล้วจึงจะทำงานให้กับเขาได้

ทันใดนั้นเขาก็พบว่าการมีน้องชายออกลูกดกก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร อืม… เรียกลูก ๆ ของเจิ้นหนานอ๋องมาด้วยดีหรือไม่ เขาจำได้ว่าลูกชายของเจิ้นหนานอ๋องมีวิทยายุทธไม่เลว และลูกบุญธรรมบางคนของเขาก็เพียบพร้อมทั้งบู๊และบุ๋น

ตอนนี้ในเมืองหลวงกำลังขาดแคลนทหารหลายตำแหน่ง

จดไว้ก่อน พอเซียวเหยาอ๋องไปแล้วค่อยเขียนจดหมายหาเจิ้นหนานอ๋องอีกที

บรรดาคุณชายที่ไม่อยากเรียนหนังสือและทำตัวไร้ประโยชน์ไปวัน ๆ เพราะได้รับอิทธิพลมาจากเสด็จพ่อและเหล่าพี่ชาย “…”

ไม่น้า (T^T)

บรรดาคุณชายที่ถูกบังคับให้รับตำแหน่งราชการ ทั้งยังต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าตั้งแต่วันนี้ “…”

รู้สึกได้ว่าชีวิตมืดมนขึ้นมาทันที

ไม่เว้นแม้แต่หนานกงหลี หลายวันมานี้เขายุ่งจนแทบจะร่ำไห้

“เสด็จพี่ ท่านจะรับสมัครคนเพิ่มเมื่อใดหรือ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

เขาแค่อยากเป็นอ๋องเที่ยวเล่นสนุกสนานไปวัน ๆ ต้องลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

หากว่าเป็นอ๋องอาณาจักรอื่น ส่วนใหญ่ก็ต้องต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ใครบ้างจะไม่ทะเยอทะยานพอที่จะคิดถึงตำแหน่งนั้น ต่อให้เป็นองค์ชายที่โง่เขลาก็ยังรู้จักแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ

ด้วยนิสัยรักสงบไม่ชอบแก่งแย่งกับผู้ใดของเขาหากไปอยู่อาณาจักรอื่น…เอาเถอะ ก็ใช่ว่าชีวิตจะราบรื่น อย่างไรเสียการแย่งชิงอำนาจก็เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล ต่อให้เป็นพวกเสเพลไม่มีอำนาจก็เป็นเรื่องยากที่จะเลี่ยงความขัดแย้ง

ฮ่องเต้ของอาณาจักรอื่นต่างกลัวว่าอ๋องจะก่อการกบฏจึงทำทุกวิถีทางเพื่อยึดอำนาจไปจากพวกเขา

แต่ทางด้านนี้ อ๋องผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาที่หวังจะใช้ชีวิตอย่างสำราญแต่ก็ทำไม่ได้ เจ้าพวกลูกเหลวไหลที่เขาเลี้ยงดูก็ล้วนถูกจับมาหวังจะให้เติบโตเป็นหนุ่ม

แม้ว่าลูกชายเหลวไหลพวกนั้นถูกเขาหักหลัง แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาถูกเสด็จพี่เพ่งเล็งไม่ใช่หรือไร

‘สุขคนเดียวมิสู้สุขไปด้วยกัน’ คราวซวยก็ตัวใครตัวมัน ต่อให้เป็นลูกในไส้ก็ไม่เว้น!

หนานกงสือเยวียนพูดอย่างขอไปที เขาสอดมือเข้าในแขนเสื้อทั้งสองพลางครุ่นคิดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะบ่มเพาะข้าราชการรุ่นต่อไปให้สามารถใช้งานได้ เจ้าก็ทำตัวให้ดีล่ะ

เสี่ยวเป่ารู้สึกเห็นใจท่านอาเจ็ดและคนอื่น ๆ นี่มันหายนะชัด ๆ

แต่เมื่อนึกถึงพระราชวังที่เต็มไปด้วยญาติผู้พี่มากมาย ต่อไปก็จะไม่ยิ่งครึกครื้นหรอกหรือ

เสี่ยวเป่าที่รู้ดีว่าเหล่าญาติผู้พี่เป็นจอมขี้เกียจก็มีความสุขขึ้นมาหลังจากปวดใจได้ประเดี๋ยวเดียว

หนานกงหลีพาบรรดาลูก ๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว มีเรื่องให้ทำเยอะทีเดียว ไหนจะพวกที่ต้องไปทำงาน แล้วไหนจะพวกที่ต้องเรียนหนังสืออีก

ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากตำหนักฉินเจิ้ง พวกลูกชายก็เริ่ม ‘ก่อกบฏ’

“เสด็จพ่อ ท่านช่างหักหลังลูกได้เก่งจริง ๆ!”

“เสด็จพ่อ ท่านทำร้ายพวกเราป่นปี้หมดแล้ว!”

“เสด็จพ่อทำเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าไม่อยากตื่นแต่เช้ามาทำงานทุกวันหรอกนะ”

หนานกงหลีจ้องเขม็งไปที่ลูกชายแต่ละคน จากนั้นก็ใช้พัดเคาะไปที่หัวของพวกเขาอย่างแรง

“พวกเจ้าไม่อยากทำ ข้าเองก็ไม่อยาก ข้าทำงานตรากตรำทุกวัน ทั้งยังเครียดจนผมร่วงเต็มไปหมด เงินเดือนที่ได้มาก็เอามาให้พวกเจ้าล้างผลาญ มัวฝันหวานอะไรอยู่”

“พวกเราก็ยังมีเสด็จแม่มิใช่หรือ”

หนานกงหลีหันไปจ้อง “ขี้เกียจจนเป็นนิสัยแล้วล่ะสิ พวกเจ้าจงดีใจเสียเถอะที่ข้าไม่ไล่ลูกอกตัญญูอย่างพวกเจ้าออกจากบ้าน วัน ๆ ไม่ทำการทำงาน เอาแต่เล่นสนุก ไม่ทำประโยชน์ใดเลย!”

“เมื่อก่อนท่านเองก็…”

หนานกงหลียืดอก “ตอนนี้ข้าเปลี่ยนไปแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าเรียนรู้จากข้า จึงไม่มีเหตุผลที่พวกเจ้าจะเอาแต่สบายในขณะที่ข้าตรากตรำทำงาน พวกเจ้าโตป่านนี้แล้วไม่ละอายใจกันบ้างหรือ ข้าเห็นแล้วขายขี้หน้าแทนพวกเจ้านัก ถึงได้หางานให้พวกเจ้าทำ ตั้งใจฝึกฝนให้ดีล่ะ”

พูดจบหนานกงหลีก็ตบบ่าพวกเขา ช่างเป็นการสำแดงฤทธิ์อย่างหน้าไม่อายที่ถึงอกถึงใจทีเดียว

ถึงได้บอกว่าขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าขิงใหม่*[1] พ่อก็ยังเป็นพ่ออยู่วันยังค่ำ ต่อให้ลูกชายรวมหัวกันก็สู้เขามิได้หรอก ฮิฮิ…

[1] ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าขิงใหม่ เปรียบเปรยผู้ใหญ่สูงอายุสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้รวดเร็วกว่าดีกว่า เนื่องจากสั่งสมประสบการณ์มามากแล้ว