บทที่ 400 โกรธจนกระอักเลือด
บทที่ 400 โกรธจนกระอักเลือด
หลังจากที่ท่านอาเจ็ดและญาติผู้พี่ไปแล้ว เสี่ยวเป่าก็ทำตัวเป็นเตาอุ่นมือในอ้อมแขนท่านพ่อต่อไป
ขณะที่หนานกงสือเยวียนเขียนจดหมายก็มิวายบีบมือน้อย ๆ นุ่มนิ่มให้ไออุ่น ลูบผมนุ่มฟู และเกาคางน้อย ๆ ของนาง
อารมณ์ของเขาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลาย
เสี่ยวเป่าที่กลายเป็นลูกแมวไว้จับเล่น “…”
เอาเถอะ เห็นแก่ที่ท่านพ่อทำงานหนักทุกวัน ท่านเสี่ยวเป่าผู้ใจกว้างจะไม่ถือสาก็แล้วกัน
“ท่านพ่อเขียนอะไรอยู่หรือ”
เสี่ยวเป่าชะโงกหัวไปดู ในเมื่อท่านพ่อไม่ได้ห้าม ก็แสดงว่านางอ่านได้
“เขียนจดหมายหาท่านอาสี่ของเจ้า”
เนื้อความในจดหมายก็เรียบง่าย เล่าสถานการณ์ปัจจุบันในเมืองหลวงและราชสำนัก และเขียนเรื่องที่สำคัญที่สุดไว้ท้ายข้อความ
“ครั้งก่อนข้าเห็นว่าลูกชายกับลูกบุญธรรมของเจ้ามีฝีมือไม่เลว ตอนนี้ข้ากำลังขาดคน ช่วยส่งมาให้ข้าสักสองสามคน”
เสี่ยวเป่า “…”
ได้ของฟรีจากท่านอาเจ็ดแล้ว ก็เริ่มเอาจากท่านอาสี่ต่อเลยหรือ
ช่างปฏิบัติต่อทุกคน ‘อย่างเท่าเทียม’ จริง ๆ แม้แต่น้องชายทั้งสองก็ไม่เว้น
มิรู้ว่านางรู้สึกไปเองหรือไม่ ตั้งแต่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากพิษกู่และคำสาปอาฆาต บุคลิกของท่านพ่อก็ดูจะค่อย ๆ มลายหายไป
ความเย็นชาแต่เก่าก่อน และมีท่าทีราวกับเบื่อหน่ายชีวิต ทั้งยังไม่รู้สึกยินดียินร้ายต่ออะไรทั้งสิ้น
ตอนนี้น่ะหรือ ภายนอกยังคงดูเยือกเย็น แต่ว่าข้างในเริ่มเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือขึ้นทุกที
เสี่ยวเป่า : คิดไปเองหรือเปล่านะ
หนานกงสือเยวียนวางพู่กัน แม้จะไม่รู้ว่าลูกสาวกำลังคิดสิ่งใด แต่จากสีหน้าที่อ่านง่ายของเจ้าตัวน้อยก็เดาออกได้ไม่ยาก ต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงใช้สองมือบีบแก้มอันอวบอ้วนที่เต็มไปด้วยไขมันของนาง
เขาเป็นคนฟูมฟักก้อนไขมันนี้ขึ้นมาเอง บีบแล้วชวนรู้สึกถึงความสำเร็จอย่างยิ่ง
“วันเกิดปีหน้าเจ้าอยากได้อะไร?”
แม้จะยังไม่ถึงฤดูหนาว แต่ว่าปีนี้ก็พลาดวันเกิดของเสี่ยวเป่าไปแล้ว ปีหน้าเขาจึงตั้งใจที่จะจัดวันเกิดที่สมบูรณ์แบบ
เสี่ยวเป่าคลอเคลียฝ่ามือท่านพ่อ “ขอแค่ท่านพ่อกับท่านพี่อยู่ด้วย เสี่ยวเป่าก็มีความสุขแล้วเพคะ พวกท่านให้แต่ของดี ๆ เสี่ยวเป่าไม่อยากได้อะไรแล้วล่ะ”
เจ้าภูตตัวน้อยไม่โลภแต่อย่างใด ที่มีอยู่ในตอนนี้นางก็พอใจมากแล้ว
แต่หากให้อธิษฐานตอนนี้ นางก็หวังว่าท่านพ่อของนางจะผ่อนคลายสบายใจ และขอให้หายาที่ท่านพ่อต้องการให้เจอโดยเร็ว
“ฝ่าบาท ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ!”
ฝูไห่เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “ฝ่าบาท พบเถียนช่ายที่ท่านให้ตามหาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เถียนช่ายก็คือพืชที่เสี่ยวเป่าบอกว่าสามารถนำไปทำเป็นน้ำตาลได้
เพียงแต่ให้คนออกตามหาอยู่ปีกว่าแต่ก็ไม่เคยมีข่าวคราว บัดนี้หาเจอแล้วนับว่าเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง
ฝูไห่ยิ้มหน้าบานพลางอธิบาย “เรื่องนี้ต้องขอบคุณองค์หญิง คราวก่อนท่านบอกว่าให้ลงประกาศในหนังสือตี้เป่าได้ แต่ก็ไม่มีร้านค้าไหนมาลงประกาศ
แต่หลังจากที่รองเสนาบดีกรมมหาดไทยที่เพิ่งได้รับตำแหน่งรู้ว่ามีภารกิจออกตามหาเถียนช่าย เขาก็จัดการอธิบายรูปร่างและเอกลักษณ์ของเถียนช่ายทั้งยังเสนอรางวัล โดยมิคาดคิดว่ามันจะได้ผล
ชาวนาคนหนึ่งรู้สึกว่าหัวไชเท้าที่ตนปลูกมีลักษณะคล้ายกับเถียนช่ายจึงรีบนำไปให้ดู คิดไม่ถึงว่ามันจะใช่จริง ๆ กระหม่อมนำของมาแล้ว ฝ่าบาทจะทอดพระเนตรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ
หนานกงสือเยวียนและเสี่ยวเป่าสบตากัน
“นำเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เถียนช่ายที่ล้างจนสะอาดถูกยกเข้ามาเป็นจำนวนสิบตะกร้าเต็ม ๆ
หัวของมันไม่นับว่าใหญ่ แต่ว่าก็เป็นเถียนช่ายจริง ๆ
ที่มันสามารถเทียบเคียงกับอ้อยได้ ก็เพราะว่ามีปริมาณน้ำตาลที่สูง
“ท่านพ่อ เป็นเถียนช่ายจริง ๆ!”
เสี่ยวเป่าตาเป็นประกาย
หนานกงสือเยวียนเห็นนางดีใจ ก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
“เช่นนั้นก็นำเถียนช่ายหนึ่งตะกร้าไปดูว่ามีปริมาณน้ำตาลเป็นอย่างไร”
เสี่ยวเป่าชูมือขึ้น “ข้าไปด้วย ๆ เสี่ยวเป่ารู้วิธีทำน้ำตาลทรายขาวระยิบระยับ!”
หนานกงสือเยวียนไม่ห้ามนาง “ไปสิ รีบกลับมาล่ะ”
เมื่อเสี่ยวเป่าไปแล้ว เขาจึงทำงานของตัวเองต่อ
หากว่าข้าราชการใหม่เข้ามาในราชสำนักแล้ว มิรู้ว่าตระกูลขุนนางเหล่านั้นจะยังนั่งติดหรือไม่ เขาตั้งหน้าตั้งตารอทีเดียว
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขานั่งไม่ติดจริง ๆ
เนิ่นนานมาแล้วที่ฮ่องเต้มิเพียงไม่ประนีประนอมกับพวกเขา ทั้งยังได้ยินว่าฝ่าบาททรงแต่งตั้งคนหนุ่มกลุ่มหนึ่งให้เข้ามาแทนที่พวกเขาอีกด้วย
มิหนำซ้ำยังให้คนมาส่งข่าวว่า ‘ข้ารู้สึกละอายใจอย่างยิ่งที่ทำให้ทุกท่านต้องเหน็ดเหนื่อยจนมิสามารถเข้าประชุมขุนนางได้ เพื่อเห็นแก่สุขภาพร่างกายของพวกท่าน จากนี้ไปพวกท่านก็พักรักษาตัวอยู่ที่จวนเถอะ’
ส่วนเรื่องที่ว่าหากพักรักษาตัวจนหายดีแล้วจะให้กลับไปหรือไม่นั้น
หนานกงสือเยวียนแสยะยิ้ม คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป เห็นท้องพระโรงเป็นสวนหลังบ้านหรืออย่างไร
ด้วยเหตุนี้บรรดาขุนนางพวกนั้นจึงกระวนกระวายกันยกใหญ่ ถึงขนาดไปหารือเรื่องนี้กับไท่ซือตอนกลางดึก
ครั้งนี้ฝ่าบาททรงเอาจริง เขาหา ‘ตัวแทน’ มาได้แล้ว เช่นนี้จะทำอย่างไร!
ซ่งไท่ซือยังคงสงบนิ่ง ราวกับไม่เห็นภัยคุกคามของฝ่าบาทอยู่ในสายตาเลยสักนิด
อย่างน้อยภายนอกก็ดูเป็นเช่นนั้น
“จะร้อนใจไปไย พวกเรามีสายสัมพันธ์ในราชสำนักมานานหลายปี หนานกงสือเยวียนคิดจะใช้พวกคนหนุ่มมาแทนที่พวกเรา ช่างเป็นความคิดที่เพ้อฝันยิ่งนัก”
น้ำเสียงของเขาแสดงความดูถูกอย่างชัดเจน ถึงขั้นเรียกขานฮ่องเต้ด้วยพระนามจริง
“พวกเจ้ารออยู่เฉย ๆ ก็พอ ก็แค่คนหนุ่มกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ให้พวกเขาได้ลิ้มรสความหวาดกลัวของงานราชการไปเถอะ ได้เจอกับตัวก็จะรู้เอง ส่วนฮ่องเต้น่ะหรือ ยิ่งเขาได้ใจมากเท่าไร ตอนขอร้องอ้อนวอนให้พวกเรากลับไปก็ยิ่งจนตรอกมากเท่านั้น พวกเรายังสามารถใช้โอกาสนี้ทำลายความน่าเกรงขามของเขาเสีย ให้อำนาจของฮ่องเต้ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป”
หากนึกไปถึงยุคของราชวงศ์ก่อน ตระกูลขุนนางมีอำนาจล้นฟ้าจนสามารถควบคุมได้แม้กระทั่งผู้สืบเชื้อสายของฮ่องเต้ คิดแล้วตระกูลขุนนางในตอนนั้นจะยิ่งใหญ่เพียงใด
ในเมื่อขุนนางในราชวงศ์ก่อนทำได้ พวกเขาก็ต้องทำได้เหมือนกัน!
เมื่อนึกถึงภาพฝันเช่นนั้น ซ่งไท่ซือก็อดหายใจแรงด้วยความตื่นเต้นไม่ได้
คนอื่น ๆ มองหน้ากันไปมา แต่พอได้เห็นท่าทีสงบเยือกเย็นของซ่งไท่ซือ พวกเขาก็ไม่มีอะไรให้กังวลอีก
“ไปสืบมาว่าเด็กหนุ่มพวกนั้นเป็นใครบ้าง”
เขาไม่รังเกียจที่จะสร้างปัญหาเล็กน้อยให้กับฮ่องเต้
เพียงแต่ก่อนที่เขาจะทันได้ก่อปัญหา ฐานะของขุนนางที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งก็ทำให้เขาซวนเซจนแทบจะกระอักเลือด
“เจ้า เจ้าว่าอย่างไรนะ! พวกเขา พวกเขา…”
คนรีบเข้ามาประคองซ่งไท่ซือ มือของเขาสั่นเทา ดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับใบหน้าซีดเซียว
เขามองบ่าวรับใช้ที่คุกเข่าบนพื้นด้วยสายตาดุร้าย “เจ้าบอกว่าพวกเขาเป็นใครนะ!”
เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับจะกินคนทั้งเป็นก็มิปาน
บ่าวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตอบเสียงสั่น “ปะ เป็นลูกที่เกิดจากฮูหยินรองจากตระกูลใหญ่ขอรับ”
อัก…
คราวนี้ซ่งไท่ซือโมโหจนกระอักเลือดของจริง มิหนำซ้ำยังเหลือกตาและเป็นลมเพราะรับความจริงไม่ได้