ตอนที่ 402 ได้มาไม่ง่าย
วันรุ่งขึ้น ตี้อู๋เว่ยกลับประเทศเหยียนหวงพร้อมภรรยาก่อน
ตี้จินเหยี่ยน้องสาวของเจ้าถุงลมน้อยเพิ่งอายุสามเดือน จึงไม่ได้พามาด้วย สองสามีภรรยาไม่วางใจจึงขอกลับก่อน
เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงหยุดวันชาติเจ็ดวันของประเทศเหยียนหวง ทุกคนจึงไม่รีบร้อนกลับ อยู่เที่ยวชมทัศนียภาพธรรมชาติกับโบราณสถานก่อน
เมื่อท่องเที่ยวกันพอประมาณ นอกจากสองผู้อาวุโสของตระกูลอวิ๋นกับตระกูลตี้ที่ดูแลเจ้าถุงลมน้อยแล้ว ก็มีแค่หยวนเหยี่ย ซย่าโหวโซ่วกับภรรยาที่ยังอยู่ที่เผ่าต่อ คนอื่นๆ ต่างกลับไปทำงานหรือไม่ก็เรียน
สุขภาพของตี้อู๋เปียนดีขึ้นแล้ว เขากำลังวุ่นอยู่กับโปรเจกต์เปลี่ยนแปลงหมู่บ้านยากจนกับทำเส้นทางระบายน้ำ
ทุกคนต่างมีเรื่องสำคัญที่ตัวเองต้องทำยกเว้นผู้อาวุโสสูงวัย
นับตั้งแต่เย่ว์เลี่ยงตั้งครรภ์ พอถึงสุดสัปดาห์มู่เถาเยาก็จะกลับเผ่าพร้อมลู่จือฉิน ลู่หันซู และปาอิน
ตี้อู๋เปียนก็ไปทุกครึ่งเดือน เพราะเขายังต้องฝังเข็มอยู่
เป็นแบบนี้ไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ฉือซานคลอดลูก
ตอนมู่เถาเยาได้รับสายแจ้งข่าวเธอเพิ่งเลิกเรียนกลับถึงบ้านพอดี กำลังเตรียมเก็บของกลับเผ่า จึงเปลี่ยนใจกะทันหันบินไปเจียงตู เพราะอาเขยร้องห่มร้องไห้ บอกว่าฉือซานแย่แล้ว
ก่อนขึ้นเครื่องบินเธอโทรหาหวังคุนจื้อศิษย์พี่รองให้ไปดูก่อน
เมื่อเธอกับเหลียงจีไปถึงโรงพยาบาล อาเขยก็จับมือมู่เถาเยาเหมือนเห็นเธอเป็นที่พึ่งสุดท้าย จากนั้นก็ร้องไห้อย่างหนักโดยไม่สนภาพลักษณ์
ผู้อาวุโสสูงวัยทั้งสองรวมถึงญาติของสองฝั่งต่างมีสีหน้าย่ำแย่
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้างคะอาเขย”
“ซานซานตกเลือด เลือดไหลไม่หยุด”
“ศิษย์พี่รองล่ะคะ”
“อยู่ในห้องผ่าตัด”
“งั้นก็ไม่ต้องกังวลนะคะ การฝังเข็มไม่ใช่แค่ห้ามเลือดได้ ยังรักษาได้แม้กระทั่งต้นตอของการตกเลือดด้วยค่ะ ก่อนหน้านี้หนูตรวจร่างกายให้อาซานก็แข็งแรงมาก ไม่มีอาการอย่างเซลล์เม็ดเลือดผิดปกติ หรือลูคีเมีย ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
อาเขยเช็ดน้ำตา
เสี่ยวเยาเยามาเขาก็สบายใจขึ้นเยอะแล้ว
“เด็กเป็นยังไงบ้างคะ”
“เด็กปลอดภัยดี เป็นเด็กผู้ชาย หลับไปแล้ว อาจะพาไปดูนะ”
“ค่ะ หนูขอไปดูเด็กก่อน”
ในห้องผ่าตัดมีศิษย์พี่รองอยู่ เธอไม่ห่วงเท่าไร อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะรู้สุขภาพของฉือซานดี
แต่ต่อให้เป็นการผ่าตัดที่ถนัดแค่ไหนก็มีความเสี่ยงทั้งนั้น เพราะมันเกี่ยวข้องกับสุขภาพของคนไข้ที่ถูกผ่าตัด ดังนั้นต่อให้เป็นหมอฝีมือดีขนาดไหนก็ไม่สามารถรับประกันเรื่องการผ่าตัดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
มู่เถาเยาปลอบใจบรรดาญาติๆ แล้วออกไปดูเด็กพร้อมอาเขย
เด็กน้อยแรกเกิดตัวแดง หน้าย่นเหมือนคนแก่ แต่แข็งแรงดีมาก
ดูเด็กเสร็จก็กลับไปที่ห้องผ่าตัด เห็นประตูเปิดพอดี
คนครอบครัวสวีกับครอบครัวฉือรีบเดินเข้าไปรุมถามหมอ
ศิษย์พี่รอง “คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ยังต้องระมัดระวังในการพักฟื้น…ต้องใช้ยา ดังนั้นจะให้เด็กกินนมแม่ไม่ได้…เชิญสามีไปที่ห้องทำงานหมอหน่อยครับ”
สวีจิงเทาตามหมอสูตินรีแพทย์และศิษย์พี่รองไปที่ห้องทำงานพร้อมมู่เถาเยาและพ่อแม่ครอบครัวสวี
ศิษย์พี่รองบอกสถานการณ์ในตอนนี้ให้ฟัง บอกสิ่งที่ต้องพึงระวังเยอะประมาณหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่
คนครอบครัวสวีต่างมีสีหน้าขอบคุณ
พอออกมาจากห้องทำงานหมอ สวีจิงเทาถึงสังเกตเห็นว่าเย็นมากแล้ว
“เสี่ยวเยาเยา เหลียงจี ยังไม่ได้กินข้าวกันใช่ไหม”
“กินนม ขนมปัง และก็เนื้อแห้งบนเครื่องบินมาแล้วค่ะ ตอนนี้ไม่หิว พวกคุณอาน่าจะยังไม่ได้กินข้าวหรือเปล่าคะ หนูจะอยู่เฝ้าที่นี่ให้ ไปกินกันก่อนเถอะค่ะ กินเสร็จคนแก่ก็กลับบ้านก่อน อาเขยอยู่ต่อ อาซานคงยังไม่ฟื้นเร็วๆ นี้ ทุกคนค่อยมาพรุ่งนี้นะคะ พี่เหลียงจีก็ไปกินข้าวด้วยนะคะ”
เหลียงจีพยักหน้า
คนครอบครัวสวีกับครอบครัวฉือพอรู้ว่าฉือซานพ้นขีดอันตรายแล้วก็สบายใจขึ้น
พ่อสวี “เสี่ยวเยาเยา เดี๋ยวตากินข้าวเสร็จจะพาหนูกับเหลียงจีกลับบ้านพักผ่อนนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกับพี่เหลียงจีไปพักที่บ้านศิษย์พี่รองได้ค่ะ”
ศิษย์พี่รองพยักหน้า “ทุกคนไปกินข้าวเถอะครับ ผมกับศิษย์น้องรอคุณสวีกับเหลียงจีกลับมาค่อยกลับบ้านกัน”
ศิษย์น้องเล็กอุตส่าห์มาเจียงตูทั้งที ย่อมต้องให้พักที่บ้านเขา
คนครอบครัวสวีกับครอบครัวฉือมองด้วยสีหน้าตื้นตันใจแล้วพากันออกไป
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาอาเขยกับเหลียงจีก็กลับมาพร้อมโจ๊กไก่เห็ดหอมสองชามให้มู่เถาเยากับศิษย์พี่รอง
กินโจ๊กเสร็จศิษย์พี่รองก็พามู่เถาเยากับเหลียงจีกลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นก็มากันแต่เช้า
มู่เถาเยานั่งเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้แล้วถาม “อาซานรู้สึกยังไงบ้างคะ”
“เสี่ยวเยาเยา อาโอเคดี รบกวนหนูแย่เลย” เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองคลอดลูกจะมีปัญหา แต่ก็ไม่เคยนึกเสียใจ
มู่เถาเยาจับชีพจรให้ฉือซาน
“พอไหวค่ะ อีกครึ่งเดือนออกจากโรงพยาบาลตั้งใจบำรุงสักสามเดือน แต่จะเอาแต่นอนอยู่บนเตียงไม่ได้นะคะ ต้องเดินออกกำลังพอประมาณด้วย ช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น เดือนถัดไปค่อยลงไปเดินเล่น จะให้ดีในสามเดือนนี้อย่าเพิ่งไปไหนไกลค่ะ”
“เสี่ยวเยาเยา อาเชื่อหนูจ้ะ” เธอยังอยากอยู่กับลูกไปจนโต ไม่มีทางเอาสุขภาพของตัวเองมาล้อเล่น
“ค่ะ ตอนบ่ายหนูจะไปโรงพยาบาลผิงคังทำยามาให้นะคะ ไว้กินหลังออกจากโรงพยาบาล ช่วยให้ฟื้นตัวได้ไวค่ะ รักษาพวกอาการเล็กๆ น้อยๆ หลังคลอดได้ด้วยค่ะ”
“จ้ะ”
“เดี๋ยวย้ายไปอยู่ห้องพักผู้ป่วยธรรมดาหนูจะให้คุณลุงคุณป้าช่วยอุ้มเด็กมาหานะคะ วันนี้ฉีดวัคซีนไปแล้ว พรุ่งนี้หนูจะให้คุณลุงคุณป้าพาเด็กกลับบ้านไปก่อน ตอนนี้อาซานยังอยู่กับลูกไม่ได้ค่ะ”
“จ้ะ”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น คนครอบครัวสวีกับครอบครัวฉือก็มาถึง
จากนั้นมู่เถาเยาก็เห็นคนคุ้นเคย
“น้าเจิง!”
“เสี่ยวเยาเยา! ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” สวีเสี่ยวเจิงเองก็ตกใจมากเหมือนกัน
“หนูมาเยี่ยมอาซานค่ะ น้าเจิงเป็นญาติกับครอบครัวสวีเหรอคะ”
“ครอบครัวพ่อแม่น้าอยู่หมู่บ้านเดียวกับครอบครัวสวี ตอนเด็กน้าเรียนโรงเรียนเดียวกับจิงเทาด้วยจ้ะ” ตอนนี้ยังเป็นเพราะน่าหลานอวิ๋นหร่านลูกสาวเธอเรียนที่เจียงตูด้วย ก็เลยไปมาหาสู่กับครอบครัวของสวีจิงเทาอยู่ไม่น้อย
พ่อสวียิ้มพลางพยักหน้า “ตากับพ่อแม่ของเสี่ยวเจิงเสี่ยวอวิ๋นโตมาด้วยกัน ต่อมาตามาเรียน ทำงาน ตั้งรกรากที่นี่ ไม่ค่อยได้กลับบ้านเกิดแล้ว พวกเธอรู้จักกันได้ยังไงเหรอ”
สวีเสี่ยวเจิง “อารองคะ ตอนเดือนกันยาแม่สามีของหนูป่วย หนูเลยขอให้อาอวิ๋นช่วยเชิญเสี่ยวเยาเยาไปรักษาค่ะ”
“แม่คะ ย่าป่วยตอนเดือนกันยาเหรอ ทำไมหนูไม่รู้เรื่องเลยล่ะ” เด็กสาวรูปร่างสูงที่อยู่ข้างสวีเสี่ยวเจิงขมวดคิ้วทำปากขมุบขมิบถาม
“เพราะไม่นานก็หายดีแล้ว ก็เลยไม่ได้บอกพวกลูกๆ เสี่ยวหร่าน นี่เสี่ยวเยาเยา ลูกศิษย์คนเล็กของสำนักแพทย์โบราณกับสำนักซย่าโหว ไม่ใช่แค่เป็นหมอที่รักษาย่าจนหาย ยาที่กินกันในบ้านก็เสี่ยวเยาเยาเป็นคนทำเองเลยนะ”
“ว้าว น้องเยาเยาเก่งจังเลย!”
สวีเสี่ยวเจิงหัวเราะ “เรียกผิดแล้วลูก! เสี่ยวเยาเยาเป็นพี่ อายุสิบเก้า”
“สิบเก้าเหรอ” น่าหลานอวิ๋นหร่านแอบสงสัยว่าดวงตาของตัวเองมีปัญหา เพราะเธอรู้สึกว่าคนที่เธอเห็นอายุสิบหกปี!
มู่เถาเยายิ้ม “สิบเก้าค่ะ”
“…ก็ได้ พี่เยาเยา”
หลังจากรู้จักกันแล้ว ความสนใจของทุกคนก็กลับมาที่คนหลัก
“จิงเทา กลับบ้านไปล้างหน้าพักผ่อนสักหน่อยก่อนเถอะ” พ่อฉือสงสารลูกเขยที่ดูแลลูกสาวของเขามาทั้งคืน
“ครับ เดี๋ยวผมกลับมา ผมอยากขอให้เสี่ยวเยาเยาตั้งชื่อให้ลูกด้วย”
คนครอบครัวสวีกับครอบครัวฉือต่างหันไปมองมู่เถาเยา
มู่เถาเยาครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “ปู๋อี้[1] ได้มาไม่ง่าย เกิดมาไม่ง่าย…”
พ่อสวี “ปู๋อี้…ซานซานได้ลูกคนนี้มาไม่ง่าย งั้นให้ชื่อว่าฉือปู๋อี้” ต่อให้แซ่ฉือก็เป็นหลานของเขาอยู่ดี
พ่อฉือ “เหล่าสวี?”
พ่อสวียิ้มพูด “รอมีเหลนค่อยให้แซ่สวีก็เหมือนกัน ซานซานลำบากคลอดออกมาก็ให้แซ่เดียวกับแม่นั่นแหละ”
แม่สวีกับสวีจิงเทาต่างไม่ขัดข้องอะไร
พอเห็นทั้งสองครอบครัวพอใจ มู่เถาเยาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ตั้งชื่อได้แย่แล้ว
[1]ปู๋อี้ แปลว่า ไม่ง่าย