บทที่ 330 ในเมื่อเจ้าไม่เป็นไรแล้ว เช่นนั้นข้าจะมาหาเจ้าในคืนนี้

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 330 ในเมื่อเจ้าไม่เป็นไรแล้ว เช่นนั้นข้าจะมาหาเจ้าในคืนนี้

บทที่ 330 ในเมื่อเจ้าไม่เป็นไรแล้ว เช่นนั้นข้าจะมาหาเจ้าในคืนนี้

“วันนี้ขอตัวก่อนแล้วกัน”

ไป๋ชิวหรานนำผังโครงสร้างคัมภีร์เทพในมือกลับไป ก่อนถอนหายใจออกมา

ชายหนุ่มพยายามวิเคราะห์ผังโครงสร้างคัมภีร์เทพที่สอดคล้องกับโลกทั้งใบนับตั้งแต่บันทึกผังโครงสร้างคัมภีร์เทพชุดนี้ จากหอตำราของเหล่าทวยเทพในดินแดนแห่งความตาย

หลังแต่งงานกับเจียงหลาน จึงอาศัยคัมภีร์เทพที่เจียงหลานในการสอนสั่งเขา ประกอบกับความช่วยเหลือของจื้อเซียน ทำให้ไป๋ชิวหรานฟื้นคืนคัมภีร์เทพส่วนใหญ่ได้ในที่สุด และเรียกกฎธรรมชาติจำนวนมากของสวรรค์และปฐพีได้ในที่สุด

และจากกฎเกณฑ์เหล่านี้ เขาสร้างวิชาขึ้นมาอีกมากมาย ตอนนี้พวกมันล้วนถูกกักเก็บไว้ในหอตำราใหญ่ของยมโลก ใช่แล้ว… มันคือแบบฝึกวิชาที่จักรพรรดิชิงเคยอ่านแต่ยังไม่จบ!

ไม่ใช่ว่าเขาจงใจปกปิดวิชาแก่รุ่นหลัง แต่เขาเขียนความเข้าใจทั้งหมดของคัมภีร์เทพในรูปแบบวิชาเหล่านั้น ผู้ที่สามารถสำเร็จการฝึกเบื้องต้นได้ ย่อมเข้าใจถึงวิชาที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด

แน่นอน หากไม่สามารถทำความเข้าใจได้จริง การเริ่มต้นที่ไป๋ชิวหรานเตรียมไว้ยังนับว่าสารพัดประโยชน์ สามารถทำตามแบบฝึกวิชาที่มีคุณลักษณะแบบเดียวกันได้ตามต้องการ

อันที่จริงด้วยคุณสมบัติของจักรพรรดิชิง เพียงมองปราดเดียว ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะอนุมานวิชาดังกล่าว แต่ในฐานะจักรพรรดิเซียนผู้องอาจ ย่อมมีความเกลียดชังวิชาตั้งแต่ขั้นกลั่นลมปราณถึงขั้นสร้างรากฐาน ไม่ต่างจากการเดินชมบุปผาที่ไม่ชวนให้ตราตรึงใจ

ทว่า สิ่งที่ไป๋ชิวหรานอยากวิเคราะห์มากที่สุดไม่ใช่คัมภีร์เทพของกฎธรรมชาติเหล่านี้ แต่เป็นคัมภีร์เทพแห่งห้วงเวลาที่ถูกจารึกไว้บนระฆังจักรพรรดิตะวันออกของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี

ในตอนนั้นพลังวิญญาณที่แท้จริงในร่างกายของเขาสามารถหลอมรวมเป็นพลังปราณแก่นแท้ได้ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะถูกเล่นงานโดยการเนรเทศห้วงเวลาของระฆังจักรพรรดิตะวันออก เขาหลงไปอยู่ในแม่น้ำแห่งห้วงเวลาที่ถูกปิดกั้นโดยวิถีสวรรค์ ทำให้ถูกสวรรค์กดขี่ ดังนั้นแก่นแท้จึงสามารถก่อเกิดขึ้นมาได้

ตอนนี้จักรพรรดิตะวันออกไท่อีตายแล้ว อีกทั้งระฆังของจักรพรรดิตะวันออกยังพังแล้วเช่นกัน หากต้องการเข้าแม่น้ำแห่งห้วงเวลา เขาจะต้องพึ่งตัวเองในการแยกแยะคัมภีร์เทพแห่งห้วงเวลา เพื่อทำความเข้าใจพลังเหนือธรรมชาติ

แต่การวิเคราะห์คัมภีร์เทพแห่งห้วงเวลากลับยากยิ่งกว่าการวิเคราะห์คัมภีร์เทพก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น แม้กระทั่งไป๋ชิวหรานและจื้อเซียนยังรู้สึกว่ามันคลุมเครือไปหมด

เดิมจักรพรรดิตะวันออกไท่อีไม่มีความสามารถที่จะควบคุมเวลา แต่การที่สามารถควบคุมเวลาได้ก็เพราะเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ ตอนที่มันสร้างจักรพรรดิตะวันออกไท่อีขึ้นมา อำนาจได้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ทำให้ก่อเกิดเป็นอดีตผู้ฝึกตนจักรพรรดิตะวันออกไท่อี แต่เดิมจักรพรรดิตะวันออกไท่อีสามารถหยุดได้เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเคลื่อนหรือย้อนกระแสเวลาได้ดังใจต้องการ

จนกระทั่งภายหลัง เขาขโมยส่วนหนึ่งของพลังสวรรค์ไป คุกคามอีกาสามขาให้ใช้เปลวไฟที่แท้จริงของดวงอาทิตย์ เพื่อช่วยเขาในการขัดเกลาสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างระฆังจักรพรรดิตะวันออก มีเพียงสิ่งนี้ที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ อย่างการเนรเทศผู้คนเข้าสู่แม่น้ำแห่งห้วงเวลาได้

แต่ไป๋ชิวหรานไม่ใช่เทพ ไม่ใช่ผู้ฝึกตน วิถีสวรรค์จึงไม่สามารถแบ่งพลังแห่งห้วงเวลาให้สิ่งมีชีวิตอื่นได้ หากต้องการทำความเข้าใจพลังเหนือธรรมชาติแห่งห้วงเวลา มีแต่จะต้องศึกษาด้วยตัวเองเท่านั้น

โชคยังดีที่จื้อเซียนเคยเตือนในตอนแรก เขาจึงทำการเขียนโครงสร้างคัมภีร์เทพไว้ในหอตำราเทพ นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์เทพแห่งห้วงเวลาของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีอีกด้วย

หลังจากค้นคว้ามาหลายปี เขาก็พอจะมีความรู้อย่างผิวเผิน อาจจะทำได้เพียงอัญเชิญคัมภีร์เทพด้วยการท่องคาถา ทว่าคงอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ นั่นไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา แต่การมีจุดเริ่มต้น ย่อมดีกว่าไม่มีอะไรเสมอ

ไป๋ชิวหรานทำการออกกำลังกายยืดเส้นยืดสาย หลังจากบิดและตั้งท่าอยู่นานจึงรู้สึกผิดปกติที่เอวเล็กน้อย

จื้อเซียนผู้สนับสนุนชายหนุ่มในการถอดรหัสคัมภีร์เทพลอยไปที่โต๊ะขณะหันหน้ามาทางเขา

“หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ต้องใช้เวลาหลายร้อยถึงหลายพันปีถึงจะสามารถถอดรหัสความลับของห้วงเวลาได้อย่างสมบูรณ์”

“แบบนั้นก็ดีกว่าให้ข้าเอาแต่ตรากตรำไปมา”

ไป๋ชิวหรานยืดเส้นสายขณะตอบ

“ข้าฝึกฝนทีละขั้นตอนอาจจะใช้เวลาสามพันปีเพื่อสร้างรากฐาน อีกอย่าง นี่ยังสามารถเปิดพลังเหนือธรรมชาติแห่งห้วงเวลาได้ ทำไมจะไม่มีความสุขล่ะ?”

“ท่านต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ด้วย”

จื้อเซียนกล่าวอย่างเกียจคร้าน

“หากเข้าไปที่แม่น้ำแห่งห้วงเวลา วิถีสวรรค์จะลงมือสร้างปัญหาจริงหรือไม่? ท่านลืมไปแล้วหรือว่าตอนที่กลับมามันไม่เผยสัญญาณใด ๆ ”

ร่างกายของไป๋ชิวหรานแข็งทื่อ จากนั้นบิดเอวและสูดหายใจเข้าลึก

“บัดซบ ปวดเอวเป็นบ้า…”

เขากล่าวกับจื้อเซียนว่า

“เจ้าบอกว่ามันมีปัญหา ดูท่าข้าจะต้องหาทางอื่น… จะไปทั้งแบบนี้ไม่ได้”

“ท่างลองคิดด้วยตัวเองดู”

จื้อเซียนลอยอยู่กับที่

“เช่นนั้นข้าจะไปอ่านตำราก่อน ถ้าท่านพบสถานที่สนุก ๆ อย่าลืมเรียกข้าด้วย”

มันกระแทกหน้าต่างจนเปิดกว้างและทะยานพุ่งออกไป เมื่อไป๋ชิวหรานเห็นดังนี้ เขาเอื้อมมือกุมไปที่เอวก่อนผลักประตูออกไป

ทันทีที่เปิดประตู เขาบังเอิญชนเข้ากับซูเซียงเสวี่ยที่เพิ่งกลับมาจากหน้าที่ราชการ

จ้าวสำนักซูมองมือที่กุมเอวของไป๋ชิวหรานอย่างเงียบงัน จากนั้นสีหน้าจึงเผยความกังวลออกมา

“ชิวหราน”

นางถามด้วยความกังวลว่า

“ไม่นานมานี้มีการสั่งซื้อของบำรุงเข้ามาในสำนัก ถ้าเจ้าต้องการ ข้าจะให้จิ่นเหยาเอามาให้”

เซียงเสวี่ยเอ๋ย ทำไมเจ้าอยากให้ข้ากินของบำรุงแทนที่จะปล่อยให้ข้าออกไปสักหน่อย?

ไป๋ชิวหรานลอบถอนหายใจ จากนั้นอธิบายว่า

“มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด เซียงเสวี่ย ข้าแค่จะไปยืดเอวเท่านั้น”

“เจ้าสามารถขยับเอวได้อย่างนั้นหรือ?”

ซูเซียงเสวี่ยมองขึ้นลง ชายตามองไป๋ชิวหรานด้วยความสงสัย ไม่นานแววตาก็เผยแสงอ่อนลง

“ชิวหราน”

นางเผยอริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อกระซิบว่า

“ที่นี่มีแค่เจ้ากับข้า… เช่นนั้นยังคิดปกปิดอีกหรือ? มันไม่ใช่สิ่งที่ไม่สามารถบอกกับข้าได้เสียหน่อย มันก็เรื่องของข้าเช่นกัน”

“มันไม่ใช่เช่นนั้น”

ไป๋ชิวหรานยิ้มขมขื่น

“แน่นอนว่าข้าจะไปยืดเอวเหมือนกัน อันที่จริงต้องบอกว่าในโลกใบนี้มีคนเดียวที่สามารถยืดเอวข้าได้ก็คือตัวข้าเอง”

“หืม?”

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้เสแสร้ง ซูเซียงเสวี่ยก็รู้สึกโล่งอกก่อนหน้าจะแดงระเรื่อพร้อมกับกระซิบว่า

“ข้ากังวลว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเจ้าก็เลยไปสนทนากับศิษย์พี่หลานมา จนได้ข้อสรุปว่าให้เจ้าพักผ่อนสองวัน ในเมื่อไม่เป็นไรแล้ว เช่นนั้นข้าจะมาหาเจ้าในคืนนี้”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น ไป๋ชิวหรานตกตะลึงนิ่งงัน ขณะนั้น ซูเซียงเสวี่ยจิ้มหน้าเขาอย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินจากไป

เมื่อเห็นนางออกจากลานกระท่อมไป ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นรีบตะโกนว่า

“เซียงเสวี่ย รอเดี๋ยวก่อน”

ซูเซียงเสวี่ยหันมาด้วยความสงสัย สายตามองมาทางเขา

“ของบำรุงนั่นน่ะ”

ไป๋ชิวหรานสูดหายใจเข้า ในที่สุดก็ละทิ้งศักดิ์ศรีที่ยืนหยัดมาตลอด

“เจ้าไปหาจิ่นเหยา เพื่อขอให้ข้าชุดหนึ่งทีสิ”

หลีจิ่นเหยาไม่ได้กลับสำนักอสูรสวรรค์ แต่เลือกที่จะตามไป๋ชิวหรานและอาศัยอยู่ที่นี่

ตอนนี้นาง ไป๋ชิวหราน เจียงหลาน และถังรั่วเวย พวกเขาล้วนอยู่ในสำนักเหอฮวน ภายใต้การจัดการของซูเซียงเสวี่ย พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ในลานกระท่อมเดียวกัน ใช้ชีวิตไม่ต่างจากครอบครัวหนึ่ง

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อและจี้หลิงอวิ๋น รวมถึงพวกหวงฝู่เฟิงต่างพากันบ่นกล่าวว่าตอนนี้อาจารย์ลุง อาจารย์ป้ารั่วเวย และสาวน้อยหลีแห่งสำนักอสูรสวรรค์ล้วนหักหลังสำนักเพื่อมุ่งหน้าไปสำนักเหอฮวน!

จี้หลิงอวิ๋นรวมถึงหวงฝู่เฟิง ทั้งสองก็เห็นด้วยไม่ต่างกัน

ใช่แล้ว หลังจากถูกไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยาพบ พวกเขาล้วนทำความสะอาดตำหนักกันอย่างสาหัส แต่ในท้ายที่สุด ไป๋ชิวหรานและพวกเขาอีกห้าคนยังใช้ชีวิตด้วยกันอยู่ในสำนักเหอฮวน!

ปกติแล้วแต่ละคนจะยุ่งอยู่กับเรื่องตัวเอง แต่เมื่อเป็นช่วงมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็น พวกเขาล้วนกลับมาที่ลานกระท่อมขนาดเล็กนี้เพื่อมารับประทานอาหารด้วยกัน

ส่วนเรื่องทำอาหาร หลีจิ่นเหยาเป็นผู้รับผิดชอบ พวกไป๋ชิวหรานไม่คิดมากเช่นกัน อสูรน้อยคนนี้คล้ายกับมีทักษะการเอาตัวรอดกับระดับทักษะการทำงานในกระท่อมที่ดีที่สุด

ตามคำพูดของนาง นี่คือสิ่งที่นางลอบฝึกฝนเพื่อกลายเป็นภรรยาและมารดาที่ดี

ในไม่ช้าช่วงเวลากลางคืนก็มาถึง ทุกคนกลับมาที่ลานกระท่อมและหลีจิ่นเหยาเป็นคนเตรียมอาหารเช่นกัน

หลังจากถังรั่วเวยนั่งลงก็ส่งสายตาเหลือบมองมาและถามด้วยความประหลาดใจว่า

“หืม? ทำไมถึงมีอาหารเสริมเยอะจัง?”

“แค่ก นี่คือของดี ถ้าเจ้าไม่กิน… ข้าจะกินเอง”

ไป๋ชิวหรานไอด้วยความลำบากใจเล็กน้อย เพื่อทำการกลบเกลื่อน

มีเพียงหลีจิ่นเหยาที่มองมาทางซูเซียงเสวี่ยและหันกลับมามองเจียงหลานอีกครั้ง จากนั้นเผยรอยยิ้มอย่างมีนัยให้

“เอาน่า ๆ กินกัน ๆ ”

ชายหนุ่มหยิบชามและตะเกียบ ขณะกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

กลุ่มคนเริ่มขยับตะเกียบ ในเวลาเดียวกันนั้นก็เริ่มสนทนา เมื่อกินไปได้ครึ่งทาง หลีจิ่นเหยาพลันกัดตะเกียบและกล่าวว่า

“จริงสิ วันนี้ข้าเจอจักรพรรดิเซียนโม่เฉินด้วย”