ตอนที่ 406 ลงมืออย่างอำมหิต (1)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 406 ลงมืออย่างอำมหิต (1)

องค์หญิงอวี้เหอต้องใช้ความพยายามเท่าใด กว่านางจะควบคุมตนเองไม่ให้ไปแย่งได้! ภายในใจของนาง อดไม่ได้ที่จะมองสตรีตระกูลมั่วทั้งสองด้วยความเกลียดชัง

คนที่ไม่รู้ คงจะเข้าใจว่าองค์หญิงอวี้เหอกับคุณหนูใหญ่มั่วสนิทสนมกัน เพื่อขนมหนึ่งจาน องค์หญิงอวี้เหอถึงกับเผยแววตาเกลียดชังเช่นนั้นได้!

แค่ว่า แม้อวี้เหอจะคับแค้นใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเมื่อครู่ของพวกนางทั้งสองคน นางก็ตระหนักได้แล้ว

หญิงชั้นต่ำสองคนนี้กินเข้าไปก็ดีเหมือนกัน คนที่นางไม่ได้ครอบครอง ผู้อื่นก็อย่าคิดจะแตะต้อง ไม่อาจเป็นมั่วเชียนเสวี่ยได้ สตรีทั้งสองคนที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตา ก็ยิ่งไม่ได้

เห็นสีหน้าของทุกคนที่คิดไปต่างๆ นานา มั่วเชียนเสวี่ยรีบลุกขึ้น แกล้งทำเป็นจนปัญญา เชิญทุกคนออกไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ด้านนอก เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจนั่งอยู่ด้านในตลอดเวลา!

บรรยากาศในตอนนี้น่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เจ้าภาพไม่อยากถือสาเอาความต่อหน้าทุกคน อยากจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ พวกนางจะมีความคิดเห็นอะไรได้ ก่อนหน้านี้ทุกคนยังริษยามั่วเชียนเสวี่ย ทว่าเวลานี้กลับเริ่มสงสารนางเล็กน้อยแล้ว

ผู้ใดจะรู้ มั่วเชียนเสวี่ยในเวลานี้ดีอกดีใจอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะมีคนอยู่ด้วย เกรงว่านางคงจะหัวเราะเสียงดัง เผยความสุขใจออกมาแล้ว

เมื่อครู่ นางกำลังคิดว่า จะทำอย่างไรให้สองพี่น้องนั่นกินขนมเหล่านี้ วางแผนอย่างไรให้แยบยล…

มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้น ทุกคนก็ลุกขึ้นตาม เดินตามมั่วเชียนเสวี่ยออกไป

ก่อนออกไป มั่วเชียนเสวี่ยมองสองพี่น้องตระกูลมั่วที่ยังคงนั่งกินขนมอยู่ตรงนั้น นางเบะปาก รู้สึกสงสารเล็กน้อย

ใครให้พวกนางทั้งสองคนรนหาที่ตายเอง ไม่อาจโทษนางได้ คนที่กล้าล่วงเกินนาง ต้องรับจุดจบเช่นนี้! นางเองก็ไม่หาเรื่องผู้ใดง่ายๆ เมื่อหาเรื่องแล้ว นางก็ไม่กลัวที่จะหาเรื่องให้ถึงที่สุด!

ก่อนที่มั่วเชียนเสวี่ยจะเดินออกไป มองไปทางสืออู่อย่างมีเลศนัย ทว่าสืออู่กลับเข้าใจ!

ชูอีมองสตรีตระกูลมั่วทั้งสองคนที่กำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย หัวเราะในใจ

คุณหนูไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว ช่างดีเหลือเกิน!

ให้พวกนางได้ดื่มด่ำกับของที่องค์หญิงอวี้เหอเตรียมเอาไว้ให้คุณหนู ไม่ใช่สิ่งที่จะล้างผลาญได้ง่ายๆ!

สืออู่อยู่ในห้องโถงตลอดเวลาตามคำสั่ง

ชูอีตอบรับสายตาของมั่วเชียนเสวี่ย หลังจากรอครู่หนึ่ง นางก็เดินออกไปด้านนอก ที่นั่นเป็นที่พักผ่อนของแขกผู้ชาย

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ใดรู้ คนอื่นๆ ไม่ทราบเรื่องแม้แต่น้อย

ในมุมที่ไม่มีคนพลุกพล่านของจวนกั๋วกง เวลานี้มีคนสองคนยืนอยู่

คนหนึ่งคืออวิ๋นอิ๋นที่สวมชุดกระโปรงสีเขียว อีกคนหนึ่งคือบุรุษที่สวมชุดสีน้ำเงิน เพียงแต่บุรุษชุดสีน้ำเงินกลับสวนหน้ากากผีที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว

บุรุษคนนี้ เห็นชัดว่าเป็นบุรุษลึกลับที่พูดคุยกับผู้อาวุโสใหญ่ในวัดร้างเมื่อหลายวันก่อน!

“อวิ๋นอิ๋น งานที่ให้เจ้าทำ เจ้าทำไปถึงไหนแล้ว” แม้เขาจะสวมหน้ากากผี ทว่า เสียงของเขากลับอ่อนโยนอย่างมาก

อวิ๋นอิ๋นหัวใจบีบรัด จิตใจของนางกำลังต่อสู้กัน… “คุณชาย ต้องลงมือกับจวนกั๋วกงจริงๆ หรือเจ้าคะ มั่วเชียนเสวี่ยมีบุญคุญกับบ่าวและซีซี…” หากเป็นไปได้ นางอยากให้ตนไม่เคยพบเจอมั่วเชียนเสวี่ยมาก่อน

เมื่อไม่เคยพบเจอมั่วเชียนเสวี่ย นางก็ไม่มีวันมาเมืองหลวง

หากนางไม่มาเมืองหลวง นางก็ไม่มีวันทำเรื่องที่ต้องรู้สึกผิดบาป ไม่มีวันตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

แต่ว่า หากนางไม่มาเมืองหลวง ชีวิตนี้นางอาจจะไม่ได้พบเจอคนตรงหน้าอีก บุรุษที่นางคิดถึงมานานเกือบสิบปี

เห็นสีหน้าที่ยังคงลังเลของอวิ๋นอิ๋น บุรุษชุดสีน้ำเงินพูดชี้นำ “อวิ๋นอิ๋น หลังจากจบเรื่องที่นี่แล้ว ข้าจะพาเจ้ากับซีซีออกเดินทางไปไกลแสนไกล

ไปไกลแสนไกล…ไปไกลแสนไกล

สุดท้ายอวิ๋นอิ๋นหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด นี่คือความปรารถนาของคุณหนู ทั้งยังเป็นคำพูดในใจของนางที่ไม่กล้าป่าวประกาศ

หวนคิดถึงในอดีต คนที่คุณหนูเฝ้าคิดถึงตลอดเวลาก็คือคนตรงหน้า

ย้อนกลับไปเมื่อแปดปีก่อน

เมื่อแปดปีก่อน คุณหนูอายุสิบห้า ส่วนตนอายุเพียงสิบสี่เท่านั้น

คุณหนูเกิดในตระกูลอวี้ฉือที่ซ่อนตัวจากใต้หล้า แม้เบื้องหน้าตระกูลอวี้ฉือจะไม่เลื่องชื่อในเทียนฉี แต่ขอเพียงเป็นตระกูลที่สืบทอดมายาวนานล้วนรู้จักตระกูลอวี้ฉือ ทั้งยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะผูกมิตรกับตระกูลอวี้ฉือ

เพราะตระกูลอวี้ฉือครอบครองเหมืองแร่ครึ่งหนึ่งของเทียนฉี แม้ตระกูลอวี้ฉือจะถ่อมตนทว่ามีสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลขุนนางมากมาย นอกจากนี้สตรีตระกูลอวี้ฉือก็เคยแต่งเข้าตระกูลขุนนางใหญ่และเป็นฮูหยินอันดับหนึ่ง ตามคำกล่าวที่ว่าเป็นตระกูลที่มีรากฐานมั่นคง มีอำนาจซ่อนอยู่ไม่น้อย

แม้ตระกูลอวี้ฉือจะมีประวัติยาวนาน ทว่าตระกูลนี้กลับไม่ได้อยู่ในเมือง พวกเขาอาศัยอยู่บนหุบเขาธรรมดาๆ หุบเขาหนึ่ง

แม้กฎของตระกูลจะเคร่งขรัด ทว่าสตรีในตระกูลไม่ได้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง

คุณหนูเป็นคนร่างเริง มักแอบออกไปนอกเรือนเป็นประจำ แต่ว่า ถึงอย่างไรก็เป็นสตรี คุณหนูไม่กล้าไปไกล เพียงเที่ยวเตร่ใกล้ๆ เท่านั้น

วันนั้น ขณะที่ตนและคุณหนูกำลังเก็บเห็ดและวิ่งไล่จับผีเสื้อ จู่ๆ ได้ยินเสียงต่อสู้ขององครักษ์ที่อยู่ด้านนอก

คุณหนูเป็นคนชอบความครึกครื้น เมื่อได้ยินเสียงนางก็วิ่งไปตามเสียงโดยไม่แม้แต่จะคิด ตนก็จำต้องติดตามไป

สถานที่ที่พวกเขาต่อสู้กันนั้น เห็นบุรุษสง่างามในชุดสีน้ำเงินถือกระบี่เล่มใหญ่ เพียงครู่หนึ่งก็สังหารองครักษ์ไปมากมาย

การที่ตระกูลอวี้ฉือตั้งถิ่นฐานในหุบเขาได้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นบุกรุกเข้ามาง่ายๆ มือกระบี่ถอยหลัง มือธนูรุกหน้า ธนูถูกยิงออกมาทันที

ไม่มีผู้ใดเห็นพวกนางที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ไม่ไกลจากชายชุดสีน้ำเงิน

ธนูมากมายถูกยิงออกมาราวกับสายฝนโปรยปราย อาวุธไม่มีตา มีธนูหลายดอกยิงพลาด พุ่งมาทางคุณหนูกับนาง

ลูกธนูมาอย่างกะทันหัน ทั้งยังรวดเร็ว

คุณหนูตั้งตัวไม่ทัน ส่วนนางก็ยืนตะลึง

นางและคุณหนูล้วนไม่มีวรยุทธ์ สิ่งเดียวที่ทำได้คือร้องตะโกน!

เสียงกรีดร้องดังขึ้น ชายชุดสีน้ำเงินหันหน้ามา ท่ามกลางเหล่าองครักษ์มีคนเห็นพวกนางแล้ว มีคนจำคุณหนูได้

คุณหนูเป็นบุตรีสายตรงของตระกูลอวี้ฉือ ทั้งยังเป็นแก้วตาดวงใจของหัวหน้าตระกูล ผู้ใดจะกล้าทำร้ายคุณหนู

มีคนร้องตะโกนเสียงดัง “คุณหนูระวัง”

มีคนร้องตะโกนเสียงดัง “คุณหนูหลบเร็วเข้าขอรับ”

ทั้งยังมีองครักษ์ คว้ากระบี่ในมือขึ้นมา อยากจะทำลายลูกดอกที่พุ่งมา

ทว่า พวกเขาอยู่ไกลเกินไป แม้จะอยากช่วยก็ช่วยไม่ทัน

เพียงชั่วพริบตา บุรุษชุดสีน้ำเงินไม่กลัวลูกธนูที่อยู่ด้านหลังแม้แต่น้อย ร่ายรำกระบี่ ช่วยพวกนางหยุดลูกธนูหลายดอก ส่วนเขากลับตั้งตัวไม่ทัน ถูกยิงบาดเจ็บ

เขาบาดเจ็บ บรรดาองครักษ์พุ่งตัวเข้ามา เพียงครู่หนึ่งเขาก็ถูกจับ

เขาที่ถูกกระบี่จี้คอ ไม่เพียงไม่ตกใจแต่กลับยิ้มแล้วพูดปลอบโยนพวกนาง “ขอเพียงแม่นางทั้งสองไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

รอยยิ้มนั้นสดใสยิ่งนัก! กระทั่งเวลานี้นางยังไม่อาจลืมเลือน

วินาทีนั้น คุณหนูตกหลุมรักเขา ส่วนตนก็ยกหัวใจให้เขาเช่นเดียวกัน

ตอนหลัง นางเพิ่งรู้ว่าชายชุดสีน้ำเงินตั้งใจมาพบหัวหน้าตระกูลอวี้ฉือ

หลังจากนั้น นางก็รู้ว่าหัวหน้าตระกูลอวี้ฉือปฏิเสธเขา

ทว่า แม้หัวหน้าตระกูลจะปฏิเสธเขา แต่เพราะเขาบาดเจ็บจากการช่วยคุณหนู หัวหน้าตระกูลจึงอนุญาตให้เขาพักรักษาตัวในตระกูล รอแผลหายดีแล้วค่อยกลับ

เขาพักรักษาตัวประมาณครึ่งเดือน ระยะเวลาครึ่งเดือนนี้ คุณหนูมักจะหาข้ออ้างต่างๆ พานางไปพบเขา ไปๆ มาๆ ไม่อาจควบคุมความรู้สึกของตนได้ คุณหนูกับเขามีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ส่วนตนก็คอยยืนเฝ้าด้านนอกด้วยความหวาดกลัว