บทที่ 328 ปฏิบัติต่อเธอเป็นน้องสาวจนกว่าจะอายุยี่สิบ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 328 ปฏิบัติต่อเธอเป็นน้องสาวจนกว่าจะอายุยี่สิบ

บทที่ 328 ปฏิบัติต่อเธอเป็นน้องสาวจนกว่าจะอายุยี่สิบ

ระหว่างทางกลับ เสี่ยวเถียนซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งแล้วใช้แต้มแลกวัตถุดิบออกมา

ตอนเดินถือตะกร้ามาสองใบ เถาฮวาและอวี่รุ่ยหยวน รวมถึงคนอื่น ๆ กำลังรออย่างใจจดใจจ่อ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับป้าและย่าที่เครียดมาก

เมื่อเห็นหลานสาวกลับมา อวี่รุ่ยหยวนรีบลูบอกแล้วพึมพำบางอย่าง

“หนูกลับมาแล้วค่ะ!”

“เสี่ยวเถียน ทำไมไปนานขนาดนี้? ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม?” อวี่รุ่ยหยวนถามด้วยความเป็นห่วง

“เสี่ยวเหมยไปตามหาหลาน แต่หาไม่เจอ” เถาฮวาพูดอย่างกังวล

ถึงเสี่ยวเถียนจะฉลาด แต่เธอก็ยังเป็นเด็กสำหรับทุกคน

เพิ่งมาครึ่งแรกแล้วยังหลงทางอีก เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้จะไปหาเจอได้อย่างไร?

“เสี่ยวเถียน พวกพี่ร้อนใจเกือบตายแล้วรู้ไหมเนี่ย!” โส่วเวินพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

เด็กคนนี้บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ไม่รู้ว่าสรุปแล้วไปทำอะไรอยู่

เขาเป็นพี่ใหญ่ บางคำพูดคนอื่นพูดกับน้องเล็กไม่ได้ เขาต้องพูดเท่านั้น

ถ้าตั้งใจฟังจะรู้ว่า ถึงโส่วเวินจะมีใบหน้านิ่งเฉย แต่น้ำเสียงไม่ได้แข็งเลย

เสี่ยวเถียนรู้ วันนี้เธอประมาทจริง ๆ จึงยกมือที่ถือตะกร้าให้ทุกคนได้เห็น

“ตอนที่หนูเพิ่งออกจากห้องน้ำเห็นคนสองคนกำลังถือเนื้ออยู่ หนูก็เลยไปซื้อมา ไม่ต้องใช่ตั๋วด้วยนะคะ” เสี่ยวเถียนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“หลานไม่ควรวิ่งไปดูคนเดียวสิ ถ้าเจอคนไม่ดีจะทำยังไง?” อวี่รุ่ยหยวนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“หนูรู้ค่ะ แต่หนูชินตอนอยู่บ้านที่หงซิน เลยคิดว่าไม่มีคนเลวก็เลยเดินไปค่ะ” เสี่ยวเถียนรีบออดอ้อนแล้วตอบ

“เธอซื้อเนื้อสัตว์ได้โดยไม่ต้องใช้ตั๋วจริง ๆ หรือ?” เสี่ยวเหมยถามด้วยความประหลาดใจ

ทำไมเธอไม่เคยเจอมาก่อนเลย?

ตอนอยู่หงซินก็ไม่คิดว่าตั๋วจะสำคัญอะไร แต่พอมาเมืองหลวงถึงได้รู้ว่าถ้าไม่มีตั๋วจะทำอะไรก็ลำบากไปหมด

ต้องขอบคุณที่ลุงเสิ่นฐานะค่อนข้างดี ชีวิตบ้านเราถึงได้รุ่งเรืองขึ้นมา

ถ้าเป็นคนธรรมดา ต้องใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะทำเสื้อผ้าใหม่ ๆ ได้ ตั๋วเนื้อเดือนหนึ่งเหลือไม่ถึงใบสองใบด้วยซ้ำ

อวี่รุ่ยหยวนเห็นหลานสาวถือตะกร้ามาสองใบ และข้างในเต็มไปด้วยของมากมาย

ซื้อเนื้อกลับมาเยอะขนาดนี้จริง ๆ หรือ?

“เสี่ยวเถียน ทำไมซื้อมาเยอะขนาดนี้ล่ะ?”

เด็กคนนี้มีเงินเท่าไรกันเชียวถึงได้ซื้อมาเยอะในคราวเดียวแบบนี้

ไม่สิ เงินนี้จะให้เสี่ยวเถียนจ่ายไม่ได้ ต้องคืนให้หลาน

“หนูเห็นว่ามันหายากที่ไม่ต้องใช้ตั๋วซื้อค่ะ ก็เลยเหมามาหมดเลย” เสี่ยวเถียนยิ้ม

เธอไม่ได้ขาดตั๋วเท่าไร และมันเป็นข้อแก้ตัวที่ดีที่สุดสำหรับเวลานี้

“เด็กโง่ ซื้อมาเยอะขนาดนี้ อากาศร้อนด้วย กินไม่หมดก็เน่ากันพอดี” ตู้ถงเหอพูดอย่างเอ็นดู

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ก็คงคิดจะอุปการะเด็กสักคนเพื่อมาสืบทอดธุรกิจของครอบครัว ตอนนี้เขาทำลายความคิดพวกนั้นไปแล้ว และจากนี้จะรักเสี่ยวเถียนเหมือนหลานสาวแท้ ๆ

“ไม่เยอะค่ะ สามครอบครัวก็หนึ่งชิ้นแล้วค่ะ ไม่ได้เยอะเลย” เสี่ยวเถียนพูดอย่างเป็นธรรมชาติ

สามครอบครัว?

หลายคนตกใจไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกได้ว่ามีกันสามครอบครัวจริง ๆ เพราะบ้านฉือก็กลับมาด้วย

“งั้นเรารีบกลับกันเถอะ เริ่มดึกแล้ว เดี๋ยวของพวกนี้ทำแล้วส่งไปให้บ้านลุงฉือด้วยก็แล้วกัน” เถาฮวาเห็นด้วย

ที่บ้านมีแค่สองคนปู่หลาน และทั้งสองทำอาหารไม่เป็น ส่งอาหารที่ทำเสร็จแล้วไปให้จะดีกว่า

“ตกลง”

คนกลุ่มใหญ่รีบตรงกลับบ้านตู้

ไม่มีเหตุผลอื่นใด เพราะลานกลางที่เรือนสี่ประสานบ้านตู้มีขนาดใหญ่ สะดวกสบายกว่าบ้านเสิ่นจื่อเจินที่อาศัยอยู่ในตึก

พอมาถึงประตูก็เห็นคนสองคน คนหนึ่งยืนพิงกำแพง อีกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะหินข้างประตูใหญ่

จะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่ฉือเก๋อและฉืออี้หย่วน

“สหายฉือ คุณก็มาด้วยหรือ?” ตู้ถงเหอรีบเดินเข้าไปหาพวกเขา

“พวกนายกลับมาแล้วหรือ ถ้ายังไม่มา พวกเราว่าจะกลับไปก่อนแล้ว” ฉือเก๋อลุกขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

ส่วนฉืออี้หย่วนที่เห็นเสี่ยวเถียนตอนนั้นก็รีบก้าวเข้าไปเพื่อจะคุยด้วย

น่าเสียดายที่ซื่อเลี่ยงอยู่ด้วย เขาเลยคว้ามือเด็กหนุ่มแล้วเริ่มสนทนากับเขาแทน

การกระทำของเขาทำให้ทุกคนตกตะลึง

สองคนนี้ญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไร?

“พี่รอง พวกพี่สองคนสนิทกันขนาดนี้เลยหรือ?” ซานกงประหลาดใจ

ทำไมจะจำไม่ได้ว่าตอนที่พี่รองเป็นลูกศิษย์กับปู่ฉือ เขาก็ไม่ได้สนิทกับฉืออี้หย่วนขนาดนั้นนะ?

“ก็เราไม่ได้เจอกันนานไง ไกลหอมใกล้เหม็น*[1] ไม่เข้าใจหรือไง?” ซื่อเลี่ยงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ฉืออี้หย่วนอดกลอกตาไม่ได้ เวลาผ่านไปก็หลายปี ซูซื่อเลี่ยงจะโตสักหน่อยไม่ได้หรือไง?

โส่วเวินเหมือนจะมองอะไรออก คิดอีกทีเขาก็จำได้ว่าซื่อเลี่ยงต่อต้านฉืออี้หย่วนมากเวลาที่ฝ่ายนั้นมองหาเสี่ยวเถียน

เขามองสลับกับเด็กคนนั้นและน้องเล็กอย่างครุ่นคิด และอดรู้สึกไม่ได้ว่าซื่อเลี่ยงฉลาดจริง ๆ อย่างน้อยก็ฉลาดกว่าเขา

พอคิดได้เช่นนั้น โส่วเวินก็ก้าวไปข้างหน้าทันทีและยืนอยู่อีกฝั่งของฉืออี้หย่วน ก่อนจะสนทนาพาคุยด้วยท่าทางที่เรียกได้ว่าสนิทสนมสุดจะพรรณนาได้

คนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ

ตู้ถงเหอมองฉากนี้แล้วยิ้ม “เป็นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่ดีจริง ๆ เลยนะ”

ได้ยินแบบนั้น ฉืออี้หย่วนแทบกระอักเลือด

อะไรที่เรียกว่าความสัมพันธ์ฉันพี่น้องดีจริง ๆ กัน?

เขาไม่อยากมีความสัมพันธ์พี่ชายน้องชายแบบนี้ เขาแค่อยากคุยกับเสี่ยวเถียน อยากมีความสัมพันธ์อันดีกับเธอเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ตอนที่เสี่ยวเถียนอยู่หงซิน เธอต้องไปโรงเรียน เขาเลยไม่มีเวลาได้พูดคุยด้วยเลย

เดิมทีคิดว่าพอมาถึงเมืองหลวงจะแสดงมิตรภาพในฐานะเจ้าบ้านได้อย่างแน่นอน เขาจะต้อนรับเธอและพาออกไปเที่ยวเล่นทุกวัน

แต่ตอนนี้มีคนมากมายรายล้อมปกป้องไว้เต็มไปหมด แม้กระทั่งจะคุยด้วยยังยากไปด้วยซ้ำ!

พอคิดแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองชายทั้งสองด้วยสายตาขุ่นเคือง

แต่ไม่ว่าเขาจะคิดมากแค่ไหน แต่ถ้าโดนสองคนนี้ล้อมไว้แล้วก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ซูเสี่ยวเถียนสักนิด

คนอื่น ๆ คงไม่รู้ว่าท่ามกลางสามคนนี้มีความคิดบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ จึงปล่อยให้พวกเขาได้พูดคุยกัน

ตู้ถงเหอต้อนรับฉือเก๋อและคนอื่น ๆ ให้เข้าไปในบ้าน

หลังจากเดินเล่นกันมาทั้งวัน ถ้าจะบอกว่าไม่เหนื่อยก็คงโกหก ขาล้ากันมากโดยเฉพาะตู้ถงเหอชายชราคนนี้ ขาไร้เรี่ยงแรงกว่าใคร

หลังจากที่ทุกคนเข้าไปข้างใน ซื่อเลี่ยงโอบไหล่ฉืออี้หย่วนเอาไว้หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินบทสนทนาของพวกเขา

ฉืออี้หย่วนตัวเอียงผิดปกติ เขาพยายามเอี้ยวตัวให้ซื่อเลี่ยงหลีกไป

แต่อีกฝ่ายพละกำลังมหาศาล ต่อให้พยายามเอี้ยวตัวก็ไม่มีความหมาย

“อี้หย่วน นายควรอยู่ห่าง ๆ น้องสาวของฉันหน่อยนะ เด็กเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ใจเอาแต่คิดอะไรอยู่?”

ในน้ำเสียงมีความไม่ชอบใจอยู่ หมือนพ่อแม่จับได้ว่าลูกมีความรักตั้งแต่เนิ่น ๆ

ฉืออี้หย่วนที่โดนสะกิดเรื่องหัวใจวัยหนุ่มสาว ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าลำบากใจ

เขาไปคิดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร?

เขาแค่อยากทำดีกับซูเสี่ยวเถียนแค่นั้นเอง!

โส่วเวินก็พูดอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน

“เสี่ยวเถียนยังเด็ก ปีนี้เพิ่งอายุสิบสอง ถ้านายคิดไม่ดีกับเธอ อย่าหาว่าฉันหยาบคายเลยนะ!”

ตอนอีกฝ่ายพูด ไม่แปลกใจเลยว่ามีกลิ่นอายความอันตรายออกมาจากโส่วเวิน

ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันมาหลายปี อี้หย่วนคงสงสัยว่าคนตรงหน้าเป็นทายาทที่ได้รับการปลูกฝังมาจากครอบครัวที่มั่งคั่งหรือเปล่า

กลิ่นอายความเป็นพี่ใหญ่เด่นชัด แม้จะเป็นเขาก็ยังโดนข่มขู่

ฉืออี้หย่วนเป็นคนสุขุม แต่เขาก็มีอายุสิบหกสิบเจ็ดปี

พอพี่ชายทั้งสองของบ้านซูพูดเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี

“ไม่มีอะไรนะครับ พวกพี่เข้าใจผิดแล้วล่ะ ผมคิดกับเสี่ยวเถียนเหมือนน้องสาวเท่านั้น” หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ

“เห็นว่าเป็นน้องสาวก็ดี!” ซื่อเลี่ยงร้องเหอะ

คิดว่าเขาโง่หรือไง?

แววตานั่นมันเหมือนพี่ชายมองน้องสาวหรือเปล่า?

เขาไม่เคยมองเสี่ยวเถียนแบบนั้นมาก่อนเลย แต่ไอ้เด็กฉืออี้หย่วนมันเจ้าเล่ห์นี่หว่า!

“ทางที่ดีนายควรปฏิบัติต่อเสี่ยวเถียนเหมือนน้องสาวจนกว่าเธอจะอายุยี่สิบซะ!”

โส่วเวินพูดจาเย็นชาแล้วเดินเข้าประตูไป

“จำไว้ ก่อนอายุยี่สิบนะ อืม ไม่สิ ยี่สิบสี่เป็นไง?” ซื่อเลี่ยงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริม

พูดจบก็รู้สึกว่าอายุยี่สิบสี่มันเยอะไปหรือเปล่า?

จะไม่ทำให้น้องสาวแต่งงานช้าใช่ไหม?

แต่พอคิดว่าผักกาดขาวหัวเล็กโดนหมูกินตั้งแต่ยังอ่อนก็รู้สึกไม่สบายใจ

ยี่สิบสี่ อืม ยี่สิบสี่นั่นล่ะ

มีพี่ชายเยอะแยะจะดูแลน้องเล็กคนเดียวไม่ได้เลยหรือไง?

กลับไปต้องเขียนจดหมายบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวอู่สักหน่อยแล้ว

น้องสาวเพิ่งจะโต พี่ชายอย่างเราต้องกังวลเรื่องนี้ได้แล้ว

มีน้องสาวสวย มันก็มากพอจะทำให้คนมากวนใจแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้เด็กฉืออี้หย่วน ยิ่งทำให้น่ารำคาญเข้าไปใหญ่

ซื่อเลี่ยงมองเด็กหนุ่ม สีหน้าแสดงความรังเกียจสุดขีด

สองพี่น้องเดินตามหลังกันไป ทิ้งไว้แค่อี้หย่วนที่ได้แต่ยืนอึ้งแล้วถอนหายใจ

อายุยี่สิบสี่?

*[1] เพราะห่างกันมานานความรู้สึกเลยเปลี่ยนไป