บทที่ 325 สรรพสิ่งคงเดิมผู้คนแปรเปลี่ยน ซูฉีตื่นรู้

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 325 สรรพสิ่งคงเดิมผู้คนแปรเปลี่ยน ซูฉีตื่นรู้

หานเจวี๋ยมองเต้าจื้อจุน ในใจรู้สึกว่าโชคดีอย่างยิ่ง

โชคดีที่ครานั้นข้าไม่ได้ตามเจ้าหมอนี่ไปสังหารจักรพรรดิปีศาจด้วย

หานเจวี๋ยก็ไม่ได้เหยียบย้ำซ้ำเติม หรือพูดจาสั่งสอนหลังจากเกิดเรื่องขึ้น ยามนี้เงียบไว้ดีกว่าเอ่ยวาจา

ผ่านไปพักใหญ่

เต้าจื้อจุนเอ่ยอย่างเรียบเรื่อยว่า “หากเจ้าหาทางช่วยข้าออกมาได้ ข้าจะมอบโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ให้เจ้า สามารถทำให้เจ้าก้าวสู่ระดับเทพได้สำเร็จอย่างแน่นอน อีกทั้งยังไม่ต้องฝ่าด่านเคราะห์ด้วย”

หานเจวี๋ยกล่าวตอบ “ช่างเถิด เรื่องนี้ข้าก็ไร้กำลังจริงๆ”

เต้าจื้อจุนกัดฟันเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เสนอเงื่อนไขมา!”

หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดวังเทพถึงไม่ช่วยเจ้า ข้าได้ยินมาว่าวังเทพคล้ายจะร่วมมือกับวังปีศาจ ปล่อยเจ้าไปสักคน น่าจะไม่มีปัญหาอันใด”

เต้าจื้อจุนฟังแล้วถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านเจ้าวังและจักรพรรดิปีศาจอาจจะทำข้อตกลงกันบางอย่าง”

เมื่อนึกถึงจุดนี้ เต้าจื้อจุนก็เจ็บใจ

เหตุผลที่เขาลอบสังหารจักรพรรดิปีศาจ ก็มิใช่คิดเพื่อวังเทพหรอกหรือ ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากเขาลอบสังหารจักรพรรดิปีศาจไม่สำเร็จ ทั้งสองฝ่ายกลับจับมือเป็นพันธมิตรกัน

เป็นพันธมิตรกันก็เป็นไปเถิด แต่ไม่คิดว่าวังเทพจะไม่ช่วยเหลือเขา ตอนนี้เขาเผชิญทัณฑ์ทรมานจากจักรพรรดิปีศาจทุกวัน ทุกข์ทรมานยากจะบรรยาย

หานเจวี๋ยเงียบลงอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะนึกเวทนาเต้าจื้อจุน

นี่คือผลจากการเลือกติดตามผิดคนสินะ

หากเป็นเขาถูกจับไป จักรพรรดิสวรรค์จะต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเขาแน่นอน!

หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวออกไปว่า “หากข้าต้องการให้เจ้าออกจากวังเทพเล่า”

เต้าจื้อจุนตะลึงงัน เอ่ยปฏิเสธไปตามใจนึกทันที “ไม่มีทาง…”

พูดยังไม่ทันจบ เขาก็เงียบปากลง

บุตรแห่งสวรรค์ล้วนมีความหยิ่งผยอง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเต้าจื้อจุนที่มองว่าตนคือบุตรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งปวงสวรรค์

วังเทพก็ไม่กลัวที่จะสูญเสียเขาไปเลยหรือ

น่าชังนัก!

ยิ่งคิดเต้าจื้อจุนก็ยิ่งโมโห!

“ขอเพียงเจ้าช่วยข้าออกไปได้ ข้าก็จะออกจากวังเทพ ติดตามเจ้า!” เต้าจื้อจุนเอ่ยเสียงขรึม

เขาเกลียดชังจักรพรรดิปีศาจเป็นอย่างยิ่ง ช่วงนี้จักรพรรดิปีศาจเหี้ยมหาญเป็นที่สุด มักจะระบายโทสะใส่เขาอยู่เสมอ เขาแทบจะทนรับไม่ไหวแล้ว

ที่สำคัญที่สุดคือก่อนหน้านี้จักรพรรดิปีศาจพาเขาไปสดับมรรคที่ตำหนักเอกอนันต์ ทั้งๆ ที่ได้พบเจ้าแห่งวังเทพแล้วแท้ๆ และทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าเจ้าแห่งวังเทพสามารถช่วยเหลือเขาได้ แต่กลับบอกเขาว่า ให้เขาอดทนอยู่ข้างกายจักรพรรดิปีศาจไปก่อน

เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน

ใช้ข้าเป็นหมากหรือ

ใช้ข้าเป็นของเล่นจักรพรรดิปีศาจหรืออย่างไร

หานเจวี๋ยฟังน้ำเสียงของเต้าจื้อจุนแล้ว อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา

วังเทพสมองกระทบกระเทือนหรืออย่างไร

หานเจวี๋ยบอกไปว่า “เจ้ารอหน่อยเถิด ตอนนี้ข้าจะไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น”

“ตกลง!”

เต้าจื้อจุนพยักหน้าตอบรับ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ขอบคุณ”

หานเจวี๋ยโบกมือพลางกล่าววาจา “เอ่ยไปก็น่าละอาย ข้าไม่มีกำลังพอ ไม่อย่างนั้นคงไปช่วยเจ้าด้วยตัวเองแน่ อย่างไรเสียพวกเราสองคนก็มีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลเหมือนกัน นับเป็นคนร่วมเผ่า เฮ้อ เจ้าก็รอฟังข่าวดีเถอะ”

“อืม!”

[เต้าจื้อจุนเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

หานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง สายตามองเห็นการแจ้งเตือนตรงหน้าก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง

แค่ 2 ดาวเองหรือ

ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้ช่วยเขาออกมา

หานเจวี๋ยหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมา ติดต่อหาจักรพรรดิสวรรค์

เพียงไม่นานก็เชื่อมต่อพลังจิตได้

“ฝ่าบาท ท่านอยากรับคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลไว้หรือไม่” หานเจวี๋ยเอ่ยถามออกไปตรงๆ

จักรพรรดิสวรรค์ถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าหมายถึงเต้าจื้อจุนหรือ เขาถูกจักรพรรดิปีศาจจับตัวไป ต่อให้เราช่วยเขา เขาก็เอาแต่วิ่งแจ้นกลับไปที่วังเทพอยู่ดี”

สมกับเป็นจักรพรรดิสวรรค์ ข่าวสารรวดเร็วเสียจริงๆ

“เมื่อครู่เขาเพิ่งติดต่อมาหาข้า พวกเรามีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลเหมือนกัน สามารถติดต่อกันผ่านอาณาเขตได้โดยตรง ขอเพียงท่านช่วยเหลือเขา เขาก็จะออกจากวังเทพ เข้าร่วมกับวังสวรรค์” หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยถามด้วยความระแวดระวัง “จะเป็นหลุมพรางหรือไม่”

หานเจวี๋ยมองดูค่าความสัมพันธ์ เต้าจื้อจุนเผชิญการทรมานเคี่ยวกรำจากจักรพรรดิปีศาจจริงๆ ถึงได้เกิดความประทับใจในตัวเขา

“น่าจะไม่ใช่ เขากล่าวว่าจักรพรรดิปีศาจกำลังทรมานเขา”

“อืม ช่วงนี้เจ้าจักรพรรดิปีศาจนั่นก็บ้าคลั่งมากจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการทำอะไรกับเขาไว้”

‘หือ ข้าก็เพียงสาปแช่งนิดๆ หน่อยๆ ได้ทำอะไรเขาเสียที่ไหนกัน’

หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ

จักรพรรดิสวรรค์ตอบรับเรื่องนี้ บอกว่าจะจัดการให้ทันที

หากเต้าจื้อจุนเข้าร่วมกับวังสวรรค์ เช่นนั้นต้องดึงดูดผู้มีพรสวรรค์นับไม่ถ้วนให้มาเข้าร่วมวังสวรรค์ได้แน่

‘กระทั่งยอดฝีมืออย่างเต้าจื้อจุนยังพลาดท่าได้ แดนเซียนช่างอันตรายจริงๆ’

หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ใช้แบบจำลองการทดสอบต่อ

ผู้สดับมรรคในตำหนักเอกอนันต์กลุ่มนั้น แต่ละคนต่างเปรียบเสมือนหัวหน้าใหญ่ในแบบจำลองการทดสอบ รอให้หานเจวี๋ยเข้าไปเอาชนะ

….

สามสิบปีผ่านไป

ตบะของหานเจวี๋ยเพิ่มพูนขึ้นตามวันเวลา ตบะของเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นเองก็พัฒนาไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

แม้กระทั่งสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีตบะระดับเซียนพิภพไท่อี่ระยะปลาย ลี่เหยาสำเร็จเป็นเซียนทองไท่อี่ ภูตน้ำเต้าฟ้าบุพกาลอย่างหานปาก็ตามหลังมาติดๆ บรรลุระดับเซียนทองไท่อี่แล้วเช่นกัน

หานอีจนถึงหานชี คุณสมบัติสู้หานปาไม่ได้ ช่วงนี้เพิ่งทะลวงถึงระดับเซียนลึกล้ำไท่อี่เท่านั้น

มู่หรงฉี่เองก็บรรลุระดับเซียนทองไท่อี่แล้ว ส่วนศิษย์คนอื่นๆ ซึ่งรวมถึงสองอีกาทองสองตัวยังคงล้าหลังอยู่บ้าง

เมื่อเอ่ยถึงอีกาทอง หานเจวี๋ยก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง

คุณสมบัติของพวกมันไม่ค่อยสมชื่ออีกาทองสักเท่าไรจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่จะถูกขับไล่ออกจากเผ่าเทพอีกาทอง ก่อนหน้านี้กลืนกินมังกรเก้าขุมนรกเข้าไป ถึงแม้จะยกระดับคุณสมบัติได้บ้าง แต่เมื่อเทียบกับบุตรแห่งสวรรค์อันดับต้นๆ ของสำนักซ่อนเร้นแล้ว ยังคงห่างชั้นกันอยู่บ้าง

ทว่าหานเจวี๋ยก็ไม่ได้ร้อนรน อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้ต้องการใช้เจ้าใหญ่เจ้ารองทำงานอยู่แล้ว

อีกอย่าง การพัฒนาของโลกเขย่าพิภพก็ก้าวหน้าอยู่ตลอด ระดับมรรคาสวรรค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขีดจำกัดของระดับตบะเริ่มมุ่งสู่ระดับเซียนแท้ไท่อี่แล้ว

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์อยู่ภายใต้การดูแลของพุทธะอาภรณ์ขาว กลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ชื่อเสียงบารมีเลื่องลือไกล นักพรตเต๋าจิ่วติ่งยังไม่ล่วงลับ ยังคงเป็นผู้ควบคุมดูแล ผ่านไปอีกไม่กี่พันปี เขาก็คงกลายเป็นผู้ทรงพลังในแดนมนุษย์แล้ว

ทุกครั้งที่ได้เห็นเขา หานเจวี๋ยก็จะหวนนึกถึงเจ้าสำนักหลี่ชิงจื่อขึ้นมา

สรรพสิ่งคงเดิมแต่ผู้คนแปรเปลี่ยน

ไม่มีเจ้าสำนักผู้ถือแส้เฆี่ยนตีไปทั่วเพื่อสำนักคนนั้นอีกต่อไปแล้ว

สำหรับสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ หานเจวี๋ยถือเป็นตำนานไปแล้ว นอกจากผู้อาวุโสส่วนน้อยในสำนัก คนส่วนใหญ่ต่างลืมเลือนเขาไปแล้ว

สำหรับเรื่องนี้ หานเจวี๋ยรู้สึกว่าดียิ่งนัก

นี่ก็เป็นฉากจบที่ดีที่สุด

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์แข็งแกร่งขึ้นเพราะเขา แต่ก็ไม่ได้ถ่วงรั้งเท้าเขาไปตลอด

เมื่อสอดส่องโลกเขย่าพิภพเสร็จ หานเจวี๋ยก็หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มปฏิบัติภารกิจประจำวัน

[ความประทับใจที่เต้าจื้อจุนมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 4 ดาว]

หืม?

ค่าความประทับใจเพิ่มขึ้นหรือ

หรือว่าจักรพรรดิสวรรค์ช่วยเต้าจื้อจุนออกมาได้แล้ว

หานเจวี๋ยตรวจดูจดหมาย ล้วนเป็นความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับการถูกโจมตีทั้งนั้น ไม่สามารถยืนยันได้ว่าช่วยเหลือเต้าจื้อจุนได้หรือไม่

รออีกสักพักแล้วกัน

ผ่านไปอีกสักพักค่อยลองถามจักรพรรดิสวรรค์

หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้

“อาจารย์ ศิษย์ขอเข้าพบขอรับ”

เสียงของซูฉีดังลอยมาจากนอกถ้ำ หานเจวี๋ยจำเป็นต้องเก็บหนังสือแห่งความโชคร้าย

“เข้ามาเถิด”

หานเจวี๋ยกล่าวพลางปิดกลไกควบคุมภายในถ้ำไปด้วย

ซูฉีเดินเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าเขา

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นไอดำที่พัวพันอยู่ตรงหว่างคิ้วเขาได้ผ่านตาเปล่า ผิดปกติแล้ว

“เกิดเรื่องกับเจ้าหรือ” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม

ซูฉีกล่าวตอบ “ก็ไม่นับว่าเกิดเรื่องขอรับ ระยะนี้หลังฝ่าทะลวง ความทรงจำในชาติก่อนหวนคืนมา อาจารย์ ที่แท้ข้าโชคร้ายแต่กำเนิด ข้าเกรงว่าหากรั้งอยู่ที่นี่ หวั่นว่าจะมีภัยพิบัติ…”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “อย่าพูดเรื่องพวกนี้เลย อาจารย์ไม่ใส่ใจ เป็นอาจารย์หนึ่งวันนับเป็นบิดาชั่วชีวิต อาจารย์ไม่มีทางรังเกียจเจ้า”

ซูฉีฟังแล้วตื้นตัน ขอบตาแดงเรื่ออยู่บ้าง

ในชาติก่อนเขาถูกนิกายเจวี๋ยขับไล่ให้ไปอยู่วังสวรรค์ ต่อมาก็ถูกวังสวรรค์ขับไล่ให้ลงมาจุติในแดนมนุษย์ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีผู้ใดคอยดูแลเขาเหมือนกับหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “พลังแห่งความโชคร้ายของเจ้าสามารถฝึกบำเพ็ญได้หรือไม่”

ระยะนี้ตบะของซูฉีถดถอยลงอยู่บ้าง หานเจวี๋ยไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

เจ้าเด็กนี่ยังพัฒนาให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ได้ ภายภาคหน้าจะได้ชักนำเภทภัยมาให้ศัตรูของเขา!

………………………………………………………………