บทที่ 326 หวงจุนเทียนปวดใจ เต้าจื้อจุนเข้าร่วมวังสวรรค์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 326 หวงจุนเทียนปวดใจ เต้าจื้อจุนเข้าร่วมวังสวรรค์

“ได้จริงๆ ขอรับ นี่ก็เป็นเรื่องที่สองที่ข้ามาหาท่าน ข้าอยากออกจากเกาะสำนักซ่อนเร้น ไปเพิ่มพลังแห่งความโชคร้ายของตน ข้าถือกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวของโชคร้าย ไม่อาจสลัดโชคร้ายทิ้งได้ ได้แต่ยอมรับมัน”

ซูฉีเอ่ยอย่างจริงจัง เขาเงยหน้าขึ้นมองหานเจวี๋ย ด้วยหวังว่าอาจารย์จะอนุญาต

เขาเอ่ยต่อว่า “หากข้าเผชิญกับอันตราย จะไม่มีทางให้พัวพันมาถึงสำนักซ่อนเร้นอย่างแน่นอน และไม่มีทางเดือดร้อนมาถึงอาจารย์ อาจารย์ดีต่อข้ามากพอแล้ว เพียงแต่ข้าสัมผัสได้ว่าการปิดด่านบำเพ็ญไม่เหมาะสมกับข้า”

หานเจวี๋ยเงียบงัน

ซูฉีกระวนกระวายใจ กลัวว่าหานเจวี๋ยจะโกรธ

หานเจวี๋ยเอ่ยปากขึ้นว่า “เจ้าจะไปที่ใด”

ซูฉีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบว่า “น่าจะออกจากแดนเซียน ข้าสัมผัสได้ว่ามีพื้นที่บางแห่งด้านนอกแดนเซียนที่กำลังเรียกหาข้า ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่วังเทพ ข้าเคยได้ศึกษามาก่อน นอกเหนือจากแดนเซียนที่เป็นศูนย์กลางของปวงสวรรค์หมื่นโลกาแล้ว ยังมีดินแดนอื่นๆ อีก อย่างเช่นแดนต้องห้ามอันธการและแดนเทพหวนปัจฉิม จะต้องมีสถานที่ที่ข้าสามารถฝึกบำเพ็ญโชคร้ายได้แน่”

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ทนรอไม่ไหวแล้วหรือ รอให้มหาเคราะห์สิ้นสุดลงแล้วค่อยไป”

ซูฉีตอบ “ตอนนี้ยังทนไหว แต่หลังจากมหาเคราะห์เปิดฉากขึ้น จิตใจของข้าก็ร้อนรุ่มกระวนกระวาย ข้ากังวลว่าหากรอให้มหาเคราะห์ดำเนินไปถึงช่วงวิกฤตรุนแรง มรรคจิตของข้าอาจจะพังทลาย เกรงว่าจะเกิดสิ่งที่ข้าไม่อาจคาดคะเนได้…”

จะเสียการควบคุมอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

ซูฉีเอ่ยต่อว่า “อาจารย์อย่าได้กังวลกับข้าเลย ข้าจะต้องสืบสานคติของท่านไว้อย่างแน่นอน ไม่หาเรื่องก่อปัญหาอย่างเด็ดขาด”

เอ่ยมาขนาดนี้แล้ว หานเจวี๋ยก็ไม่อาจขัดขวางต่อไปได้

สุดท้าย เขาอนุญาตให้ซูฉีจากไป อีกทั้งยังให้ศิษย์ทั้งหมดมารวมตัวกัน

ซูฉีบอกเล่าอดีตชาติของตน เมื่อบรรดาศิษย์ฟังแล้วจิตใจหนักอึ้ง

คิดไม่ถึงเลยว่าซูฉีที่มักจะปิดด่านอยู่เป็นประจำก็จะมีภูมิหลังอดีตชาติที่หนักหนาเช่นนี้

หลังจากรวมตัวพูดคุยกันอยู่หลายวัน หานเจวี๋ยถึงได้ส่งซูฉีไปยังแดนยมโลก

หานเจวี๋ยมองเงาหลังของซูฉีที่เคลื่อนออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ในใจก็สะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง

ส่งศิษย์จากไปอีกคนแล้ว

หากต้องการให้ศิษย์ทุกคนเป็นเช่นเดียวกับตน ปิดด่านเพียรบำเพ็ญไปตลอด ยังคงยากยิ่งนักกระมัง

หลงเฮ่าจากไปเพื่อวังสวรรค์

ซูฉีจากไปเพื่อตัวเอง

หานเจวี๋ยทำได้เพียงแต่อวยพรให้กับพวกเขา

หลังจากทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง หานเจวี๋ยกระโจนกลับสู่ยมโลก กลับไปยังเกาะสำนักซ่อนเร้นอย่างรวดเร็ว

การจากไปของซูฉีก็ได้สร้างแรงกระตุ้นให้กับเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นเช่นเดียวกัน

เมื่อเทียบกับซูฉี พวกเขาโชคดีกว่ามากนัก ไม่ต้องถูกบีบคั้นให้แยกห่างจากสำนัก

หานเจวี๋ยเองก็คิดเช่นนี้

หากว่าเขาแข็งแกร่งพอ เขาก็สามารถสะกดโชคร้ายของซูฉีได้ ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบ

….

แดนเซียน ณ เกาะปูทองคำ

หวงจุนเทียนเหาะอยู่บนฟ้ามุ่งหน้าสู่เกาะปูทองคำ เมื่อเห็นเกาะปูทองคำอยู่ไกลๆ เขาก็พรั่งพรูลมหายใจออกมา

ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!

แดนเซียนกว้างใหญ่เกินไป หากไร้ผู้ทรงพลังช่วยเหลือ ต่อให้เป็นเซียนแท้ไท่อี่อย่างเขาก็ต้องเหาะอยู่นานยิ่งนักเช่นกัน

ใช่แล้ว หวงจุนเทียนบรรลุระดับเซียนแท้ไท่อี่แล้ว

หลังจากงานชุมนุมคุณสมบัติเซียน เขามอบตัวเข้าเป็นศิษย์ของนิกายเจี๋ย ใช้วาทศิลป์และความจริงใจของตนจนได้เป็นผู้สืบทอดของผู้อาวุโสนิกายเจี๋ย กล่าวได้ว่าตบะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด

นอกจากการฝึกบำเพ็ญด้วยตัวเองแล้ว เขายังได้รับสิ่งอื่นๆ ด้วย

เพียงไม่นาน หวงจุนเทียนก็เข้าสู่เกาะ กระเรียนขาวรีบบินมาหยุดลงตรงหน้าเขาในทันที เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล “การแสดงความสามารถของเจ้าในงานชุมนุมคุณสมบัติเซียนเป็นอย่างไรบ้าง”

หวงจุนเทียนร่อนลงตรงหน้าอารามเต๋า เอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “พอได้กระมัง ไม่นับว่าโดดเด่น แต่ก็ไม่ฉุดรั้งนิกายเจี๋ย”

กระเรียนขาวโล่งอก เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “เด็กดี ข้ามองเจ้าไม่ผิดเลย”

จู่ๆ หวงจุนเทียนพลันหยุดเดิน หันกายไปมองกระเรียนขาว เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “นับตั้งแต่วันนี้ไป ไม่อนุญาตให้ศิษย์ของเกาะปูทองคำออกไปข้างนอก ทั้งหมดต้องฝึกบำเพ็ญอยู่ในเกาะ รวมถึงเจ้าด้วย”

กระเรียนขาวตะลึงงัน เอ่ยเสียงขรึมว่า “เจ้ากำลังสั่งข้าอยู่หรือ ที่เจ้ามีวันนี้ได้ มิใช่เพราะข้าเกื้อกูลเจ้าหรืออย่างไร เหตุใดเล่า ไปงานชุมนุมคุณสมบัติเซียนมาหนหนึ่งก็…”

มันยังพูดไม่ทันจบ ก็ทรุดลงในทันที

เห็นเพียงหวงจุนเทียนล้วงป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งออกมา ป้ายคำสั่งนี้เป็นสีดำสนิท แกะสลักเป็นลวดลายกิเลน ท่วงท่าของกิเลนนั้นคล้ายจะสื่อถึงอักษตัวหนึ่ง

กระเรียนขาวเอ่ยด้วยความตะลึง “เจ้ามีป้ายคำสั่งผู้อาวุโสได้อย่างไร”

หวงจุนเทียนกล่าวอย่างไม่แยแสนัก “ข้ากราบผู้อาวุโสฉีหลินเป็นอาจารย์แล้ว หลังจากนี้ควรทำเช่นใด เจ้าคงรู้ดีกระมัง”

กระเรียนขาวเงียบงัน

หวงจุนเทียนเก็บป้ายคำสั่ง หันหลังเดินเข้าไปในอารามเต๋า

กระเรียนขาวคิดไม่ออกเลย เหตุใดเจ้าเด็กนี่ถึงได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสฉีหลิน

เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณสมบัติของเขาธรรมดาสามัญนัก!

เมื่อกลับเข้าไปในอารามเต๋า หวงจุนเทียนก็นั่งขัดสมาธิบนเบาะกลม ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

‘รสชาติของอำนาจชวนให้คนลุ่มหลงโดยแท้’

หวงจุนเทียนเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนหน้านี้กระเรียนขาวปฏิบัติต่อเขาด้วยความจองหองถึงเพียงใดเล่า

มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงจะทำตามอำเภอใจได้

หวังว่าจะไม่มีผู้ใดมารบกวนเขาอีก ไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องหาทางไต่เต้าขึ้นไปอีก

เพื่อให้ได้กราบผู้อาวุโสฉีหลินเป็นอาจารย์ เขาบากบั่นทุ่มเท แม้แต่ศักดิ์ศรีก็ไม่มีเหลือแล้ว

เฮ้อ!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หวงจุนเทียนก็เริ่มปวดใจ

….

สิบปีผ่านไป

ผลกระทบเนื่องด้วยการจากไปของซูฉีเลือนหายไปแล้ว ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ

เมื่อว่างจากการบำเพ็ญ หานเจวี๋ยก็หยิบหนังสือแห่งความโคร้ายออกมา สาปแช่งศัตรูไปพลางตรวจดูจดหมาย

[เต้าจื้อจุนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิปีศาจศัตรูคู่อาฆาตของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังเผ่าปีศาจ] x10

[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเซียนเผ่าปีศาจ] x34

[มารสวรรค์เบิกฟ้าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเซียนเผ่าปีศาจ] x27

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิปีศาจศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากปีศาจประหลาด] x239829

[หลงซั่นสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากปีศาจประหลาด] x176661

[เต้าจื้อจุนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังเผ่าปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

….

เยี่ยมไปเลย!

จักรพรรดิสวรรค์เคลื่อนกำลังวังสวรรค์และสำนักพุทธไปปิดล้อมโจมตีวังปีศาจหรือ

ช่างทุ่มเทเพื่อช่วยเหลือเต้าจื้อจุนโดยแท้!

หานเจวี๋ยนับถือในความองอาจของจักรพรรดิสวรรค์แล้ว

เขาเห็นว่าเต้าจื้อจุนบาดเจ็บสาหัสเพราะวังปีศาจถึงสองครั้ง เห็นทีว่าจะไม่ใช่การแสดงละคร จักรพรรดิปีศาจคลั่งไปแล้วจริงๆ

เผชิญกับการโจมตีเช่นนี้ หากเขาเป็นเต้าจื้อจุน คงไม่มีทางกลับไปที่วังเทพอีกแน่นอน นอกเสียจากว่าวังเทพจะยอมล้างแค้นให้เขา

‘ยามนี้ข้าต้องสาปแช่งจักรพรรดิปีศาจ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยให้พวกเขาหลบหนีไปได้ หากว่าสาปแช่งเจ้าแห่งวังเทพ ต่อให้เจ้าแห่งวังเทพคิดกลับใจ ก็จะถูกถ่วงให้ล่าช้า’

หานเจวี๋ยหยุดสาปแช่งบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ในทันที ก่อนจะเริ่มสาปแช่งเจ้าแห่งวังเทพแทน

ในเมื่อเต้าจื้อจุนมีท่าทีว่าจะยอมเข้าร่วมกับวังสวรรค์แล้ว เช่นนั้นจะปล่อยให้วังเทพลากเต้าจื้อจุนกลับไปได้อย่างไร

วังสวรรค์ลงทุนไปแล้ว เช่นนั้นจำเป็นต้องได้ตัวเต้าจื้อจุน!

หานเจวี๋ยเริ่มทุ่มเทพลังทั้งหมดสาปแช่งเจ้าแห่งวังเทพ

สิบวันผ่านไป

หานเจวี๋ยสูญเสียอายุขัยไปหนึ่งพันห้าร้อยล้านปี เขาวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง ลอบอวยพรจักรพรรดิสวรรค์อยู่ในใจ

ฝ่าบาท ข้าทำเพื่อท่านอย่างสุดแรงสุดกำลังแล้ว ท่านจะต้องคว้าตัวเต้าจื้อจุนมาให้จงได้ อย่าปล่อยให้เขาหนีไป!

หานเจวี๋ยเริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ

….

วังสวรรค์ ณ พระราชวังเทียมเมฆา

จักรพรรดิสวรรค์นั่งบนบัลลังก์สูง เทพเซียนรวมตัวกันอยู่ในท้องพระโรง เต้าจื้อจุนเองก็อยู่ในท้องพระโรงเช่นกัน

ยามนี้ลมหายใจของเต้าจื้อจุนอ่อนระโหย ใบหน้าซีดขาว ไร้ซึ่งความหยิ่งทระนงเช่นในวันวาน ราวกับเทียนไขกลางสายลม

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยถามขึ้น “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ต้องการให้เราช่วยรักษาเจ้าหรือไม่”

เต้าจื้อจุนส่ายหน้า กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงทำเพื่อข้ามากพอแล้ว บาดแผลเล็กน้อยเพียงนี้ข้ารักษาเองได้พ่ะย่ะค่ะ”

เขาคำนับจักรพรรดิสวรรค์ด้วยความจริงจัง พลางเอ่ยถามว่า “คนผู้นั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยยิ้มๆ “เขากำลังปิดด่านฝึกบำเพ็ญ นิสัยของเขาเจ้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ต่อไปนี้เจ้าก็อยู่ที่วังสวรรค์เถิด เราไม่มีข้อเรียกร้องจากเจ้ามากมายนัก ยามปกติเจ้าก็จงฝึกบำเพ็ญให้ดี ยามใดที่วังสวรรค์ต้องการเจ้า เจ้าค่อยลงมือ”

เต้าจื้อจุนมองจักรพรรดิสวรรค์ด้วยความซาบซึ้ง

ระหว่างการช่วยเหลือครั้งนี้ เขาซาบซึ้งในตัวจักรพรรดิสวรรค์และหานเจวี๋ยอย่างแท้จริง

เพื่อที่จะช่วยเหลือเขา ต้องพลีชีพเทพเซียนไปไม่น้อยเลย

เมื่อย้อนกลับไปมองวังเทพ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัว

เต้าจื้อจุนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองในตัวเจ้าแห่งวังเทพอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่นึกเกลียดชังวังเทพแล้ว

ก่อนหน้านี้ยามที่ต้องการเขาก็พูดจาเสียไพเราะ ยามที่เขาตกที่นั่งลำบากกลับไม่เห็นหัวเลยสักคน!

………………………………………………………………