บทที่ 327 วังเทพผลัดนาย เจ้านิกายเจี๋ย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 327 วังเทพผลัดนาย เจ้านิกายเจี๋ย

หลังจากสาปแช่งเจ้าแห่งวังเทพ เวลาล่วงเลยไปประมาณครึ่งปี จักรพรรดิสวรรค์ก็ติดต่อมาหาหานเจวี๋ย

เมื่อทราบว่าเต้าจื้อจุนเข้าร่วมกับวังสวรรค์แล้ว หานเจวี๋ยจึงพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“ฝ่าบาท ข่าวนี้ไม่เลวเลย จะกล่าวว่าข้าไม่มีความดีความชอบในการก่อร่างสร้างวังสวรรค์ ไม่ได้ตอบแทนวังสวรรค์ไม่ได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!” หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เขาตอบแทนไปมหาศาลนักแต่บอกออกไปไม่ได้!

อย่างไรเสียก็เกี่ยวพันถึงความลับของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลยจริงๆ เต้าจื้อจุนศักยภาพไร้ขีดจำกัด ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นป้ายโฆษณาอย่างหนึ่ง วังเทพขึ้นชื่อลือชาในด้านการปกป้องดูแลบุตรแห่งสวรรค์มาโดยตลอด ทว่าแม้แต่เต้าจื้อจุนก็ยังหนีแล้ว ขวัญกำลังใจทุกผู้ทุกคนต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน”

จักรพรรดิสวรรค์เริ่มคาดหวังตั้งตาคอยอนาคตของวังสวรรค์อย่างเต็มที่

การเข้าร่วมของเต้าจื้อจุนถือเป็นการเดินหมากที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ!

จักรพรรดิสวรรค์ยิ้มพลางเอ่ยต่อว่า “เต้าจื้อจุนอยากพบเจ้ามาก เจ้าจะมาที่วังสวรรค์หรือไม่”

“ช่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้ากำลังยุ่งกับการฝึกบำเพ็ญ”

“หึ ก็รู้อยู่แล้ว!”

จักรพรรดิสวรรค์ไม่เอ่ยอะไรมากอีก ตัดการเชื่อมต่อพลังจิตทันที

หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อไปด้วยด้วยจิตใจที่เบิกบาน

เรื่องนี้นับว่าได้ข้อสรุปแล้ว ในที่สุดหานเจวี๋ยก็สามารถฝึกบำเพ็ญได้อย่างสบายใจ

ไม่มีเรื่องคาใจใดๆ การฝึกบำเพ็ญถึงจะเร็วขึ้น!

ยามที่อยู่ในตำหนักเอกอนันต์ หานเจวี๋ยไม่เพียงแต่ฝ่าทะลวงถึงระดับจักรพรรดิเซียนหกวัฏเท่านั้น แต่ตบะก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อผนวกรวมเข้ากับระยะเวลาหลังจากที่กลับมานี้ เขาก็อยู่ห่างจากระดับจักรพรรดิเซียนเจ็ดวัฏไม่ไกลแล้ว

หลังจากทะลวงถึงระดับจักรพรรดิเซียนเจ็ดวัฏ ก็อยู่ไม่ไกลจากระดับจักรพรรดิเซียนเก้าวัฏ

หลังจากบรรลุระดับจักรพรรดิเซียนเก้าวัฏ ก็อยู่ไม่ไกลจากระดับเทพแล้ว!

เมื่อบรรลุระดับเทพได้ ต้าหลัวจะยังห่างไกลอีกหรือ

เพียงแค่คิด หานเจวี๋ยก็ตื่นเต้นยิ่งนัก

….

ณ ตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ของประดับตกแต่งทั้งหมดภายในตำหนักล้วนหล่นลงมาพังระเนระนาด

“น่าชัง! น่าชังยิ่งนัก! อ๊าก…”

เจ้าแห่งวังเทพคำรามเสียงดังก้อง เส้นผมเขาหลุดลุ่ยกระจัดกระจาย ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นโลหิต

“จักรพรรดิสวรรค์! เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ! หากข้าไม่สังหารพวกเจ้า ข้าจะขอสละมรรคที่บำเพ็ญชั่วชีวิต!”

เจ้าแห่งวังเทพ โกรธเกรี้ยวเหลือจะทน

หลังจากคำรามอยู่สักพัก เขาก็จำเป็นต้องเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บต่อ

พลังแห่งคำสาปแช่งของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการรุนแรงเหลือเกิน ก่อนหน้านี้แทบจะทำให้มารในใจของเขาปรากฏออกมาแล้ว ประกอบกับเมื่อได้ทราบข่าวว่าเต้าจื้อจุนเข้าร่วมกับวังสวรรค์ โทสะก็โจมตีจิตใจ ทำให้บาดเจ็บหนักขึ้นไปอีก

เวลานี้ สายลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาในตำหนัก จำแลงกายเป็นบุรุษชุดขาวผู้หนึ่ง

บุรุษชุดขาวจ้องมองเจ้าแห่งวังเทพนิ่ง เอ่ยขึ้นเสียงขรึมว่า “ศิษย์น้อง เต้าจื้อจุนถูกเจ้าบีบคั้นจนหนีไปหรือ”

ทันทีที่เจ้าแห่งวังเทพเห็นเขา สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย กัดฟันเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้บีบคั้นเขา!”

“เขาถูกจักรพรรดิปีศาจจับตัวไป เหตุใดเจ้าไมไปช่วยเหลือ เป็นไปไม่ได้กระมังที่เจ้าจะทราบเรื่องนี้ช้ากว่าวังสวรรค์”

“ข้า…ข้าเพียง…”

สีหน้าเจ้าแห่งวังเทพ เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวคล้ำ บอกเล่าข้อตกลงระหว่างตนและจักรพรรดิปีศาจออกมา

บุรุษชุดขาวเอ่ยด้วยความโกรธ “เหลวไหล พื้นที่สามอาณาจักรก็นำมาเทียบกับผู้มีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลได้หรือ เมื่อมหาเคราะห์สิ้นสุดลง อาณาจักรมากน้อยเพียงใดล้วนแต่ไร้ประโยชน์ ต่างจะเต็มไปด้วยกองกระดูกขาวโพลน!

ส่วนผู้มีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลมีความหมายอย่างไรน่ะหรือ อย่างน้อยก็ไปถึงระดับต้าหลัวได้!

แม้วังเทพจะแข็งแกร่ง แต่จะมีต้าหลัวสักกี่คนกัน”

เจ้าแห่งวังเทพถูกต่อว่าจนรู้สึกคับข้องหมองใจเป็นอย่างยิ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเริ่มทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “บุตรแห่งสวรรค์ของวังเทพมีมากมายปานนี้ ข้าก็ให้เขาอดทนไว้สักพันปีเท่านั้น แต่เขากลับทรยศต่อวังเทพ นี่หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ จิตใจเขาแปรผันแล้ว!

วังเทพทุ่มเทจิตใจเพื่อเต้าจื้อจุนมากมายเพียงใด เพื่อการใหญ่ของวังเทพ ทนอยู่สักพันปีจะเป็นอะไรไป”

ครืน!

บุรุษชุดขาวกระทืบเท้าอย่างรุนแรง อำนาจกดดันอันน่าสะพรึงท่วมทับร่างเจ้าแห่งวังเทพ กดทับจนเขาหน้าเปลี่ยนสี

บุรุษชุดขาวเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ดูเหมือนตำแหน่งเจ้าแห่งวังเทพนี้จะไม่เหมาะจะยกให้เจ้าครอบครองแล้ว นับจากวันนี้ไป ข้าจะรับผิดชอบวังเทพเอง!”

เจ้าแห่งวังเทพเผยสีหน้าไม่ยินยอม ทว่าไม่กล้าโต้แย้ง

….

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นยี่สิบเจ็ดปี

การจัดประลองภายในสำนักซ่อนเร้นสิ้นสุดลงอีกครั้ง ลี่เหยามีชัยเหนือศิษย์ทุกคน คว้าอันดับหนึ่งอีกครั้ง

เมื่อหานเจวี๋ยทราบเรื่องนี้ เขาจึงเรียกลี่เหยาเข้ามาในถ้ำ

อู้เต้าเจี้ยนถูกทิ้งไว้นอกถ้ำ เขาต้องการคุยกับลี่เหยาตามลำพัง

ลี่เหยานั่งอยู่เบื้องหน้าหานเจวี๋ย ท่าทางประหม่าอยู่บ้าง

เมื่อได้เห็นหน้าหานเจวี๋ยอีกครั้ง แก้มนางแดงเรื่อเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุมได้

นางนึกถึงเหตุการณ์ที่ใช้วิชาอัญเชิญเทพเรียกหานเจวี๋ยมาในครานั้น ชั่วชีวิตนี้ยากจะลืมเลือน

บุญคุณช่วยชีวิต ประกอบกับหานเจวี๋ยดีต่อนาง รวมถึงใบหน้างามเลิศล้ำของหานเจวี๋ย ลี่เหยายอมรับเลยว่าตนมีจิตปฏิพัทธ์ต่อหานเจวี๋ย

อย่างไรก็ตามจิตปฏิพัทธ์สู้มรรคจิตไม่ได้ นางไม่มีความคิดจะเผยความในใจ คิดเพียงว่าจะฝึกบำเพ็ญให้ดี

“ข้าเตรียมจะถ่ายทอดมรรคกระบี่เทียมฟ้าทั้งหมดให้กับเจ้า อยากเรียนหรือไม่” หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

ยิ่งมองลี่เหยาเขาก็ยิ่งพอใจ ราวกับกำลังมองตัวเองอยู่

ตื่นตัว ระมัดระวัง แต่พรสวรรค์เลิศล้ำ พลังต่อสู้แข็งแกร่ง!

ลี่เหยาตาเป็นประกาย เอ่ยตอบว่า “อยาก!”

หานเจวี๋ยเองก็ไม่โยกโย้ ถ่ายทอดมรรคกระบี่เทียมฟ้าให้นางทันที

ครึ่งปีผ่านไป ลี่เหยาสืบทอดความทรงจำมรรคกระบี่เทียมฟ้ามาทั้งหมดแล้ว ส่วนการฝึกปฏิบัติ ยังคงต้องใช้เวลา

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เจ้าคิดอย่างไรกับสำนักซ่อนเร้น”

ลี่เหยาตะลึงงัน กล่าวตอบว่า “ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ดีกว่าสำนักทั้งหมดที่ข้าเคยประสบพบพาน เช่นนี้สิถึงจะเป็นสำนักบำเพ็ญ หลีกห่างเรื่องทางโลก แลกเปลี่ยนมรรควิถีของแต่ละคน ก้าวหน้าไปด้วยกัน”

นางพูดจากใจจริง ศิษย์สำนักซ่อนเร้นแม้จะชอบทะเลาะถกเถียง แต่ไม่เคยแตกคอ ต่างนิยมพากเพียรบำเพ็ญ ไม่มีจิตคิดเป็นอื่น

โอ้ ยกเว้นต้วนหงเฉินไว้คนหนึ่ง

ต้วนหงเฉินไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่รั้งอยู่ที่เกาะสำนักซ่อนเร้น

“หากว่ากันแล้ว เจ้าและข้าต่างยังไม่มีสถานะ เจ้าต้องการมีสถานะเช่นใดในสำนักซ่อนเร้น” หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม

เวลาผ่านมาเนิ่นนานเช่นนี้ ระดับความประทับใจที่ลี่เหยามีต่อเขาเพิ่มขึ้นถึง 5.5 ดาวแล้ว

ความประทับใจระดับนี้ถึงไม่รับไว้เป็นเพียงศิษย์ แต่รับเป็นคู่บำเพ็ญ คาดว่านางก็คงไม่ปฏิเสธแน่

เพียงแต่ในเรื่องความรักหนุ่มสาว หานเจวี๋ยไม่สนใจสักเท่าไรแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นจักรพรรดิเซียน สัญชาตญาณดิบในร่างกระตุ้นให้เขาเสียการควบคุมไม่ได้อีกต่อไป

ลี่เหยาฟังความนัยจากวาจาของหานเจวี๋ยออก จึงกล่าวตอบว่า “ท่านจะมอบสถานะใดให้ข้าก็ได้”

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

ใช้ได้นี่

น่าสนใจอยู่บ้าง

หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “เช่นนั้นก็เอาตามนี้เถิด เจ้าก็พยายามพิสูจน์จักรพรรดิเซียนให้ได้ในเร็ววันเล่า”

ลี่เหยาพยักหน้ารับ

หานเจวี๋ยโบกมือเป็นการบอกให้นางออกไป

มองลี่เหยาแล้ว หานเจวี๋ยปลงอนิจจังอยู่ในใจยิ่งนัก

อันที่จริงเขาไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อลี่เหยาเช่นเดียวกับที่มีต่อสิงหงเสวียน เขาเพียงหวังจะมีคู่บำเพ็ญสักคนที่สามารถร่วมเดินบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญไปพร้อมกับตนได้

มองจากสถานกาณ์ในตอนนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิงหงเสวียน หรือว่าเซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ ล้วนไม่สามารถไล่ตามระดับตบะของเขาทัน

หานเจวี๋ยพยามยามช่วยเหลือสิงหงเสวียนอย่างเต็มที่แล้ว แต่การพยายามเต็มที่ไม่ได้แปลว่าจะทำได้แน่นอน ไม่อย่างนั้นจักรพรรดิสวรรค์และจักรพรรดิปีศาจจะชุบเลี้ยงสนมชายาระดับจักรพรรดิเซียนได้มากมากเพียงใดเล่า

เซียนทองไท่อี่ยังพอว่า แต่ระดับจักรพรรดิสิถึงจะเป็นด่านยากขนานแท้ พึ่งพาได้เพียงตน

หานเจวี๋ยไม่คิดมากอีก ฝึกบำเพ็ญต่อ

‘ก็ไม่รู้ว่าหลังจากทะลวงถึงระดับจักรพรรดิเซียนเจ็ดวัฏแล้ว อายุขัยจะเพิ่มขึ้นมากมายเพียงใด’

หานเจวี๋ยครุ่นคิดด้วยความคาดหวัง

….

แดนเซียน ณ โพ้นทะเล

จิ่งเทียนกงเหยียบกระบี่เหินฟ้า ด้านหน้าคือหมู่เกาะแห่งหนึ่ง หมอกเซียนอบอวล บดฟ้าบังตะวัน วิหคเซียนเรียงแถวโบยบิน ลูกศิษย์มากมายนับไม่ถ้วนเหาะทะยานไปมา

ที่นี่ก็คือพื้นที่อาณาเขตเต๋าของนิกายเจี๋ย!

จิ่งเทียนกงเหาะไปเรื่อยๆ มาถึงภายในป่าแห่งหนึ่งก็เดินหน้าต่อไป คุกเข่าลงคารวะหน้าประตูศิลาบานหนึ่ง

ด้านหลังประตูศิลาไร้ซึ่งขุนเขา มันตั้งอยู่บนพื้นที่โล่งท่ามกลางพงไพรอย่างเดียวดาย

จิ่งเทียนกงโขกศีรษะทำความเคารพ เอ่ยว่า “ท่านเจ้านิกาย”

เขาเรียกคราหนึ่ง จากนั้นอดทนรอคอย

ผ่านไปพักใหญ่

น้ำเสียงแหบพร่าสายหนึ่งแว่วออกมาจากหลังบานประตูศิลา “มีเรื่องใด”

จิ่งเทียนกงเปิดปากกล่าว “ระยะนี้ในแดนเซียนปรากฏผู้ทรงพลังท่านหนึ่งสมญาว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธาการ ควบคุมขับเคลื่อนมหาเคราะห์ ข้าน้อยไม่ทราบประวัติความเป็นมาของเขา จึงอยากร้องขอให้เจ้านิกายช่วยทำนายสักครา”

………………………………………………………………