ตอนที่ 365 คลื่นครามไร้สิ้นสุด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 365 คลื่นครามไร้สิ้นสุด

ดวงตะวันลอยสูงกลางนภา เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อยแล้ว เรือยังคงแล่นกลับไปกลับมาอยู่บนน่านน้ำแถบนั้น หนิวโหย่วเต้ายังคงยืนค้ำกระบี่อยู่ข้างกราบเรือ

“เต้าเหยี่ย! ดูนั่นสิขอรับ!”

จู่ๆ กงซุนปู้ที่อยู่บนเรือก็ตะโกนขึ้นมา ชี้มือออกไปบนผิวทะเล

เมื่อหนิวโหย่วเต้ามองเห็น ม่านตาพลันหดตัว จ้องมองเงาร่างซ้อนทับกันที่ทะยานเข้ามาจากผิวทะเล

พอเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อยจึงเห็นว่าเป็นต้วนหู่ที่แบกคนไว้บนหลัง กงซุนปู้พลันตกใจ รีบพุ่งตัวออกไปทันที เหินเข้าไปหา

ก่วนฟางอี๋หันมองหนิวโหย่วเต้าที่ยืนนิ่งไม่ขยับ สังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง มือที่กุมด้ามกระบี่อยู่เห็นได้ชัดว่าออกแรงกุมแน่น บีบจนข้อนิ้วขาวซีดแล้ว

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ สายตาของหนิวโหย่วเต้าก็ยังคงกวาดมองทางชายฝั่งอย่างระแวดระวัง

เห็นๆ อยู่ว่าร้อนใจจนจะทนไม่ไหวแล้ว แต่ยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นเช่นนี้ไว้ได้ ทำให้ก่วนฟางอี๋อดไม่ได้ที่จะค่อนขอดอยู่ในใจ วิปริตนัก!

ต้วนหู่เหนื่อยมาก ใช้พลังไปจนแทบหมดสิ้น เขากัดฟันทนพยายามเดินทางกลับมาถึงที่นี่ให้เร็วที่สุด

พอเห็นว่าเรือยังอยู่ เห็นกงซุนปู้เหินเข้ามาหา มองเห็นหนิวโหย่วเต้ายืนอยู่บนเรือ

ลูกพี่เดาไม่ผิดเลย เรือยังไม่จากไป เต้าเหยี่ยกำลังรอพวกเขาอยู่จริงๆ!

เดิมทีในเวลานี้ตัวเขาไม่เหลือความหวังแล้ว แต่เต้าเหยี่ยกลับยังรอพวกเขาอยู่จริงๆ!

ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีคนตามไล่ล่า แต่ก็ยังรอคอยอยู่ที่นี่ ทำเช่นนี้ต้องแบกรับความเสี่ยงไว้มากมายขนาดไหน!

ขอบตาต้วนหู่ร้อนผ่าวแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว เขายิ้มยิงฟัน คางสั่นระริก รู้สึกตื้นตันจนยากจะควบคุมได้

เขาแบกเฮยหมู่ตานเอาไว้ เหินทะยานไม่ไหวแล้ว ระยะทางที่กระโดดขึ้นลงสั้นเป็นอย่างมาก ช่วงสุดท้ายแทบจะเหมือนวิ่งอยู่บนผิวทะเลแล้ว

กงซุนปู้ถลาเข้ามา ช่วยประคองเขาไว้ เมื่อเห็นว่าเฮยหมู่ตานที่ลลบอยู่บนแผ่นหลังของเขาหน้าซีดไร้สีเลือด สีหน้าพลันตึงเครียดขึ้นมา รีบช่วยทั้งสองกลับเรืออย่างเร่งด่วน

เมื่อทั้งสามขึ้นมาบนเรือ กงซุนปู้ช่วยยกเฮยหมู่ตานที่ยังคงสลบอยู่ลงมา ให้เฮยหมู่ตานนอนราบลงไปกับพื้น

ต้วนหู่เหนื่อยจนแทบขยับไม่ไหวแล้ว เมื่อไร้คนช่วยประคองก็ทรุดฮวบนั่งกองลงไปทันที ร้องสะอึกสะอื้นน้ำตาอาบหน้าอยู่ตรงนั้น “เต้าเหยี่ย ช่วยนางด้วย เต้าเหยี่ย ช่วยนางทีเถิดขอรับ…”

เขาไม่จำเป็นต้องพูดก็มีมือหลายข้างยื่นเข้ามาหาเฮยหมู่ตานแทบจะพร้อมกัน ตรวจอาการบาดเจ็บให้นาง แม้แต่ก่วนฟางอี๋ก็ทนมองไม่ไหวเช่นกัน

“เฝ้าระวังไว้! ออกเรือได้!” หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองกงซุนปู้แล้วออกคำสั่ง

กงซุนปู้ชักมือกลับทันที ลุกขึ้นยืนแล้วคอยมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง

เขาเข้าใจดีว่าความกังวลของหนิวโหย่วเต้าใช่ว่าจะไร้สาเหตุ ทั้งสองรอดกลับมาได้เช่นนี้ มีโอกาสสูงที่จะถูกคนสะกดรอยตามมา

ขณะเดียวกันเขาก็โบกมือไปทางลู่หลีจวินที่ยืนมองมาทางนี้อยู่ไกลๆ เป็นสัญญาณว่าให้ออกเรือ!

ลู่หลีจวินหันหลังกลับเข้าไปในห้องโดยสาร

ไม่นานนัก เรือใหญ่หันหัวเรือกลับทิศทาง เร่งความเร็วขึ้นมา เคลื่อนที่ฝ่าลมโต้คลื่นออกไป!

ก่วนฟางอี๋มีสีหน้าหนักใจ ค่อยๆ ชักมือที่ทาบบนร่างเฮยหมู่ตานกลับมา ลุกขึ้นอย่างช้าๆ จ้องมองเฮยหมู่ตานที่สลบอยู่ ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ สตรีนางนี้หมดทางช่วยเหลือแล้ว!

สีหน้าของหนิวโหย่วเต้าดูแย่เป็นอย่างมาก จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา ตวาดถาม “ผู้ใดมีโอสถวิญญาณยื้อชีวิตบ้าง? มีผู้ใดมีโอสถยื้อชีวิตหรือไม่?”

ไม่มีใครขานตอบ มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของต้วนหู่

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองก่วนฟางอี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เจ้าอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีอย่างระมัดระวัง เป็นนายหน้าช่วยติดต่อซื้อขายสิ่งของมากมายให้ผู้คน เมื่อเจอของดีอันเป็นที่ต้องการและไม่เกินไปกว่ากำลังทรัพย์ไหนเลยจะยอมปล่อยผ่านได้ เจ้าต้องมีโอสถรักษาอาการบาดเจ็บชั้นดีติดตัวอยู่แน่นอนใช่หรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ถูกต้อง ข้ามี ‘ยาสมานฟ้า’ อยู่ ว่ากันตามหลักแล้วนับว่ามีสรรพคุณตรงตามอาการบาดเจ็บของนาง แต่อาการบาดเจ็บของนางปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป สัญญาณชีพภายในกายใกล้จะดับสิ้นแล้ว ประกอบกับเส้นลมปราณของนางถูกสะบั้นขาด อวัยวะภายในได้รับความเสียหาย ฤทธิ์ยาที่ผ่านการสลายแล้วไม่สามารถโคจรผ่านเส้นลมปราณได้ตามปกติ ยากจะโคจรออกฤทธิ์ให้ทั่วร่างได้ เจ้าคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะยังทนรอให้ฤทธิ์ของยาสมานฟ้าฟื้นฟูชีพจรนางแล้วค่อยโคจรไหลเวียนไปทั่วร่างไหวหรือ? อาการบาดเจ็บของนางถูกปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป ช่วยไม่ได้แล้ว ตอนนี้อาศัยเพียงพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายยื้อชีวิตเอาไว้อยู่เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้นางต้องแบกรับความเจ็บปวดจากฤทธิ์ยาเพิ่มอีก!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงกร้าว “เจ้ายังไม่ทันลองดูแล้วรู้ได้อย่างไรว่าช่วยไม่ได้? เอามา!” ยื่นมือออกมาทั้งที่ยังกึ่งนั่งกึ่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น

ก่วนฟางอี๋ถลึงตาใส่ “ของที่ข้าจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อหามา จะให้หรือไม่ให้มันก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของข้า เจ้าจะมาขู่กรรโชกเอาได้หรือ? ข้าหวังดีกับนาง มีเจตนาดีทั้งนั้น เจ้าตาบอดหรือไร!”

หนิวโหย่วเต้ายื่นมือขออีกครั้ง เอ่ยด้วยความเกรี้ยวกราว “ซื้อมาราคาเท่าไรข้าจะให้เจ้าเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง รีบเอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

“จริงๆ เลย ทำเหมือนข้าติดหนี้เจ้าก็มิปาน!” ก่วนฟางอี๋บ่นฮึดฮัด แต่ก็ยังปลดห่อสัมภาระที่สะพายอยู่ลงมา ล้วงเข้าไปหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา เทยาหุ้มขี้ผึ้งออกมาหนึ่งเม็ด ยามที่ยื่นส่งให้ สายตาเผอิญมองไปยังใบหน้าของเฮยหมู่ตานพอดี นางผงะไปเล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้าก้มมองทันที

อาจเป็นเพราะเสียงตะโกนเมื่อครู่ของเขาถึงทำให้นางสะดุ้งตื่นขึ้นมา เฮยหมู่ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนเปลี้ยไร้กำลัง มองเขาด้วยสายตาที่หม่นหมองไร้แวว ทว่ากลับเจือรอยยิ้มไว้น้อยๆ

แยกจากกันไปนานขนาดนี้ ในที่สุดก็ได้กลับมาพบเขาอีกครั้ง นางรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางทอดทิ้งไม่ไยดีนาง

ตอนที่นางถูกต้วนหู่พาขึ้นมาจากแม่น้ำ พอมองเห็นตำแหน่งของดวงอาทิตย์ก็รู้ว่าเลยเวลาออกเรือไปนานมากแล้ว

แต่นางรู้ดีว่าขอเพียงเต้าเหยี่ยกลับไปถึงเรืออย่างราบรื่นได้ พอรู้ว่านางไม่อยู่เขาจะต้องรอนางแน่นอน นางมองคนไม่ผิดเลย เขารอนางอยู่จริงๆ!

ภาพที่หนิวโหย่วเต้าแสดงความโกรธเกรี้ยวร้อนรนเพื่อช่วยเหลือนาง นางได้เห็นหมดทุกอย่างและได้ยินมาแล้ว

“เต้าเหยี่ย ข้าเลือกติดตามคนไม่ผิดเลย” เฮยหมู่ตานยิ้มอย่างอ่อนแรง น้ำเสียงแผ่วเบา สีหน้าซีดเซียว

ประโยคที่กล่าวว่าเลือกติดตามคนไม่ผิดนี้ทำให้ก่วนฟางอี๋เม้มปากเล็กน้อย เหลือบมองหนิวโหย่วเต้าทีหนึ่ง พลันตบยาหุ้มขี้ผึ้งใส่มือหนิวโหย่วเต้า

ขณะที่เฮยหมู่ตานพูดอยู่ก็มีโลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปากอีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้าบีบขี้ผึ้งให้แตกอย่างรวดเร็ว ยาสีแดงสดเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ กลิ่นหอมสดชื่นอ่อนจางโชยออกมา

หนิวโหย่วเต้าไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก ป้อนยาสมานฟ้าใส่ปากนางโดยเร็ว จากนั้นใช้พลังช่วยให้นางกลืนลงไป ก่อนจะใช้พลังช่วยสลายยาให้นางอีกครั้ง

ยาออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว เมื่อฤทธิ์ยาแทรกซึมเข้าสู่จุดที่บาดเจ็บภายในร่างกายก็ทำให้เฮยหมู่ตานแสดงสีหน้าทรมานออกมา

“อดทนหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ก่วนฟางอี๋กลับกลอกตาใส่ทันที เพิ่งเคยเห็นคนผู้นี้พูดกับคนอื่นอย่างอ่อนโยนเช่นนี้เป็นครั้งแรก

เฮยหมู่ตานได้ยินเสียงสะอื้นไห้ที่คุ้นหูจึงพยายามเบิกตาขึ้นอย่างอ่อนแรง เอ่ยไปว่า “ต้วนหู่ อย่าร้อง…”

ต้วนหู่คลานเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงสะอื้น “ลูกพี่ ขอโทษด้วย เป็นเพราะข้าไม่ได้เรื่อง”

เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “อย่าร้องไห้ ข้าดีใจมาก ดีใจมากจริงๆ ไม่เคยรู้สึกดีใจขนาดนี้มาก่อนเลย”

ต้วนหู่ฟุบหน้าลงกับพื้นเรือ ร้องไห้โฮเสียงอู้อี้

“เต้าเหยี่ย…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว อย่าสิ้นเปลืองกำลังเลย พักผ่อนเถอะ อีกเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”

“หากไม่พูด วันหน้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว”

สองมือของหนิวโหย่วเต้าที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อกำแน่นจนเป็นหมัด แม้ว่าเขาจะพยายามช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่และบีบบังคับเอายาสมานฟ้ามาจากก่วนฟางอี๋ได้ แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของการรักษาจะเป็นอย่างไร อันที่จริงในใจเขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“ออกเรือแล้วหรือเจ้าคะ?” เฮยหมู่ตานเอ่ยถาม คล้ายอยากจะยกศีรษะขึ้นมอง

หนิวโหย่วเต้ายื่นสองมือออกไป อุ้มนางขึ้นมาจากพื้นเรือ อุ้มนางมายังหัวเรือ

เขาอุ้มนางมานั่งที่หัวเรือ มองเรือใหญ่แล่นโต้ลมฝ่าเกลียวคลื่นด้วยกัน เคลื่อนที่มุ่งไปด้านหน้า มีสายลมพัดโชยมาตลอดทาง เกลียวคลื่นสีครามกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต

ต้วนหู่ยังคงนอนฟุบสะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น

กงซุนปู้เฝ้ามองรอบข้างอย่างระแวดระวัง หันไปมองคนทั้งสองที่โต้ลมอาภรณ์ปลิวสะบัดอยู่ตรงหัวเรือเป็นระยะ

ลู่หลีจวินเร้นกายอยู่ในเงามืดของประตูห้องโดยสาร สองมือกอดอกเอียงตัวพิงผนัง มองคนทั้งสองที่อยู่ตรงหัวเรือเช่นกัน

ก่วนฟางอี๋ถือสัมภาระห่อหนึ่งไว้ กวาดตามองไปรอบๆ อย่างเลื่อนลอย คล้ายรู้สึกเบื่อหน่าย สุดท้ายก็ก้มลงไปหยิบกระบี่ที่หนิวโหย่วเต้าโยนทิ้งไว้บนพื้นเรืออย่างไม่ไยดีขึ้นมา ค่อยๆ เดินไปที่หัวเรือแล้วนั่งลงข้างกราบเรือ ท่าทางคล้ายชมทิวทัศน์อยู่ แต่กลับคอยเหลือบมองหนิวโหย่วเต้าและเฮยหมู่ตานเป็นพักๆ

พอได้เห็นทิวทัศน์ท้องทะเล เฮยหมู่ตานที่สายตาค่อยๆ พร่าเลือนลงก็เอ่ยพึมพำว่า “ล่องลอยอยู่บนทะเลมานานขนาดนี้ เพิ่งจะรู้สึกว่าช่างดีเหลือเกิน เต้าเหยี่ย ท่านเคยชอบข้าบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”

ท้ายประโยคแทบจะไม่มีเสียงแล้ว

หนิวโหย่วเต้าที่อุ้มนางไว้ก้มมองนางเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปด้านหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ท่าทางราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

ก่วนฟางอี๋รอฟังอยู่พักหนึ่งก็กระเถิบก้นเล็กน้อย กระแอมแล้วเอ่ยไปว่า “เจ้าหูหนวกหรือไง นางถามว่าเจ้าเคยชอบนางบ้างหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้ายังคงไม่ปริปาก ยังคงมองตรงไปด้านหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ส่วนเฮยหมู่ตานก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน

ก่วนฟางอี๋พลันใจหาย ลุกพรวดขึ้นมา ก้าวเข้าไปก้มมองถึงได้พบว่าสองตาของเฮยหมู่ตานปิดลงชั่วนิรันดร์แล้ว

ก่วนฟางอี๋ยกมือปิดปากตัวเอง เบือนหน้าทอดมองไกลออกไป ขอบตาแดงเรื่อ!

คนทั้งสามที่อยู่ตรงหัวเรือ คนหนึ่งเป็นผู้อุ้ม คนหนึ่งถูกอุ้มไว้ ส่วนอีกคนยืนนิ่ง

จวบจนดวงตะวันเคลื่อนลงไปในทิศตะวันตก จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวทรงพลัง “ต้วนหู่!”

ต้วนหู่เดินเข้ามาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “เต้าเหยี่ย!”

หนิวโหย่วเต้ายังคงมีท่าทีสงบนิ่ง อุ้มคนนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน เอ่ยถามเสียงเรียบทั้งที่หันหลังอยู่ “เล่ามา เกิดอะไรขึ้น?”

“เริ่มจากทางนี้ได้รับข่าวจากฝั่งท่าน…” ต้วนหู่บอกเล่าความเป็นมาของเรื่องราวรวมถึงรายละเอียดของเรื่องราวออกมา

หลังจากฟังจบ หนิวโหย่วเต้าจ้องมองมหาสมุทรอันกว้างใหญ่พลางเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะเป็นคนของหอจันทร์กระจ่างจริงๆ!”

ต้วนหู่เอ่ยว่า “ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ลูกพี่บอกว่าน่าจะเป็นหอจันทร์กระจ่าง!”

“หอจันทร์กระจ่างร้ายกาจสมคำร่ำลือ!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยชมอย่างเรียบเฉย

ก่วนฟางอี๋เหลือบมองเล็กน้อย สังเกตเห็นว่าท่าทีของเขาสงบนิ่งอย่างค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ

…..

จันทร์สกาวบนฟากฟ้า

ในส่วนลึกของสวนไม้เลื้อย เสียงพิณแว่วแผ่วเบา ท่วงทำนองแฝงเสน่ห์ชวนสบายใจ

อวี้ชางนั่งอยู่หน้าแท่นพิณเพียงลำพัง สิบนิ้วขยับขึ้นลงบรรเลงพิณ แต่สายตากลับมิได้อยู่ที่พิณ หากแต่ทอดมองไปด้านหน้า คล้ายกำลังบรรเลงพิณพร้อมกับขบคิดถึงปัญหาอันใดอยู่

ตู๋กูจิ้งผู้เป็นศิษย์เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน โน้มตัวกระซิบรายงานเรื่องบางอย่างข้างหูเขาสองสามประโยค

ตรึง! สายพิณขาดสะบั้น

อวี้ชางก้มหน้ามองพิณ

ตู๋กูจิ้งเหลือบมองไปด้านนอกเล็กน้อย สีหน้าพลันเคร่งขรึม ถอยไปยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว

อวี้ชางเงยหน้าขึ้นมา มองเห็นนางกำนัลสูงวัยสองคนถือโคมไฟไว้ ติดตามสตรีวัยกลางคนรูปโฉมงดงามนางหนึ่งเดินทะลุผ่านดงไผ่เข้ามา

อวี้ชางลุกขึ้นแล้วก้าวออกมาจากแท่นพิณอย่างรวดเร็ว ประสานมือทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ฮองเฮา!”

สตรีวัยกลางคนผู้สูงศักดิ์เหลือบมองสายพิณที่ขาดไปเส้นนั้น ถอนหายใจเบาๆ พลางถามออกไปว่า “ราชครูมีเรื่องใดในใจหรือ?”

อวี้ชางค้อมกายเอ่ยตอบว่า “เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไม่ควรค่าให้กังวลพ่ะย่ะค่ะ”

สตรีวัยกลางคนผู้สูงศักดิ์กวักมือเล็กน้อย นางกำนัลนำกล่องอาหารที่ถือมาเข้าไปวางบนโต๊ะ สตรีผู้สูงศักดิ์กล่าวว่า “เพื่อตอบแทนความเหนื่อยยากของท่านราชครู ข้าจึงลงมือเคี่ยวน้ำแกงด้วยตัวเอง ขออย่าได้รังเกียจเลย”

อวี้ชางตอบว่า “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ!”

สตรีสูงศักดิ์มองจันทราส่องสว่างบนนภายามราตรี เอ่ยเสียงเบาว่า “จันทร์สกาวแห่งยุคฉิน ยามนี้ทอดแสงส่องใต้หล้าของผู้ใด?”

อวี้ชางตอบว่า “ใจคนอยู่ที่ไหน ที่นั่นย่อมมีฟ้าดิน!”

“ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือ?”

“อุทิศกายถวายชีวิต สิ้นสุดพียงความตาย!”

“ข้าเหนื่อยแล้ว!”

สตรีสูงศักดิ์เอ่ยทิ้งท้ายไว้แล้วหันหลังจากไป

อวี้ชางยกมือไพล่หลัง ก้าวไปหยุดริมราวกั้น ตู๋กูจิ้งค่อยๆ เดินเข้ามาหยุดข้างกายเขา สองศิษย์อาจารย์เฝ้ามองจนกระทั่งแผ่นหลังนางหายลับไป…

………………………………………………………………