บทที่ 285 ความจริง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 285 ความจริง

ห้องมืดมิดไร้แสงใด กลิ่นยาเส้นอ่อนๆ แผ่ออกจากกระถางกำยาน

ถังหมิงถูกพันไว้ทั้งตัวราวกับบ๊ะจ่าง ทั้งทรมานและเจ็บปวดจึงสลบไป ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่ามีเงามืดร่างหนึ่งกำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ตนอย่างเงียบเชียบ

เงามืดนั้นเดินมาหยุดอยู่หน้าเตียง ก่อนจะชูกริชในมือขึ้น ประกายกริชเย็นเยียบสะท้อนสู่ดวงตาถังหมิง

ถังหมิงพลันลืมตาโพลงขึ้นทั้งสองข้าง “ใครน่ะ!”

คนผู้นั้นปิดปากถังหมิงไว้ อีกมือถือกริชแน่น ก่อนจะแทงลงไปที่ท้องของถังหมิงอย่างแรง!

ถังหมิงดิ้นพล่าน แต่เขาที่บาดเจ็บหนักไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่

เมื่อเห็นว่ากริชของเขาใกล้จะแทงเข้ามาในร่างตัวเอง ทันใดนั้น หน้าต่างพลันถูกคนกระแทกเปิด ลูกดอกพุ่งทะยานยิงเข้ามาปักข้อมือคนผู้นั้น

ข้อมือของคนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาทำให้นิ้วทั้งห้าคลายออก กริชจึงตกลงพื้นไป

คนผู้นั้นเห็นท่าไม่ดี จึงหันหลังจะหนี เพิ่งจะดึงประตูห้องเปิดออกก็ถูกกู้เจียวขวางไว้หน้าประตู

เขามองคนชุดดำสวมหน้ากากที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างหวาดผวา ก่อนจะหันหลังวิ่งไปทางหน้าต่าง กู้เฉิงเฟิงกระโดดเข้ามาจากหน้าต่าง

เขาไร้หนทางหนีรอด ร่างก็พลันสั่นกลัว เพียงชั่วขณะประกายไฟยามหินกระทบ เขาพลันโน้มตัวลง ใช้มือซ้ายที่ไม่บาดเจ็บคว้ากริชขึ้นจากพื้นมาปาดคอตัวเอง

“เหอะ คิดจะฆ่าตัวตายรึ ง่ายไปกระมัง!” กู้เฉิงเฟิงปาลูกดอกไปอีกอัน ดีดกริชในมือเขากระเด็นออกไป

กู้เฉิงเฟิงเดินไปข้างผนัง ก่อนดึงลูกดอกของตัวเองออกมาทีละดอก จากนั้นก็เดินไปหน้าเตียง สกัดจุดใบ้ของถังหมิงภายใต้สายตาตื่นตระหนกของถังหมิง

กู้เฉิงเฟิงเคยเจอถังหมิงมาก่อน ตอนนั้นถังหมิงยังทำท่าทางยโสโอหังคึกคะนองอยู่เลย แต่ถังหมิงในยามนี้หลงเหลือความโอหังอยู่ที่ไหนกัน ปอดแหกจะตายอยู่แล้ว

กู้เฉิงเฟิงไม่สนใจถังหมิงอีก เขาค่อยๆ หันไปมองคนที่ถูกจับทั้งเป็นอย่างช้าๆ การแต่งตัวของคนๆ นั้นไม่ต่างจากบ่าวรับใช้ในจวนถังเลย

ตอนที่กู้เจียวรักษาอาการบาดเจ็บให้ถังหมิงนั้นก็เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน อีกฝ่ายคือหนึ่งในบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายถังหมิง

ชื่ออะไรกู้เจียวก็จำไม่ได้แล้ว

กู้เฉิงเฟิงถีบให้เขาคุกเข่าลงกับพื้น “ใครส่งเจ้ามา”

“พวกเจ้าเป็นใคร” บ่าวรับใช้ถาม

โอ้ จะตายอยู่แล้วนึกไม่ถึงว่ายังกล้าถามว่าพวกเขาเป็นใครอีก

ก็จริง หากใจไม่กล้าพอก็คงไม่วางแผนฆ่าถังหมิงหรอก

กู้เฉิงเฟิงกระแอมคอให้โล่ง แล้วยกสองมือขึ้นกอดอก ก่อนจะกดตามองต่ำไปยังอีกฝ่ายพลางเอ่ยว่า “พวกข้าเป็นองครักษ์ลับที่จอมพลส่งมาให้ปกป้องท่านชาย”

“ท่านชายอย่างนั้นรึ” บ่าวรับใช้แค่นหัวเราะ “นายท่านไม่เคยเรียกเขาว่าท่านชาย ให้พวกข้าเรียกเขาว่านายน้อย”

แต่ละจวนมีความเคยชินและการเรียกขานที่แตกต่างกัน อย่างเช่นจวนอันติ้งโหวจะเรียกว่าท่านชาย กู้เฉิงเฟิงเอ่ยขึ้นคำแรกจึงเป็นคำนี้เลย

กู้เฉิงเฟิงมุมปากกระตุก ความแตกตั้งแต่ต้นเลยรึ ให้มหาโจรอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงได้ลองเป็นองครักษ์ลับสักหน่อยจะได้หรือไม่

บ่าวรับใช้เหน็บแนม “ไม่ว่าเจ้าจะถามอะไร ข้าก็ไม่บอกหรอก จะฆ่าก็ฆ่าได้เลย หากข้าพ่นออกไปแม้ครึ่งคำก็นับว่าพวกเจ้ามีฝีมือกันไม่เลว!”

กู้เฉิงเฟิงเข็ดฟันนัก ข้าไต่สวนคนครั้งแรก ผลสุดท้ายดันมาเจอด่านยากแบบนี้! ยังจะพูดคุยเหตุผลกันได้อีกรึ

กู้เจียวไม่ได้เอ่ยคำใด เดินไปตรงหน้าบ่าวรับใช้ทันทีเลย แล้วพลิกหลังมือโบกขึ้น เข็มฉีดยาเลื่อนลงจากแขนเสื้อ ปักเข้าแผ่นหลังของอีกฝ่าย

“นี่คืออะไรรึ” กู้เฉิงเฟิงตาเบิกโพลงถามขึ้น

“ยาหลอนประสาทน่ะ” กู้เจียวบอก

ในนั้นยังมีส่วนผสมอื่นอีกด้วย เป็นสิ่งที่องค์กรในชาติก่อนใช้ฝึกสายลับหรือไม่ก็ไต่สวนศัตรู แต่ไม่ได้เห็นผลในทุกคน

บางคนจิตแข็งแกร่งเกินไป ไร้หนทางจะสื่อสารกับโลกภายนอกได้ แบบนี้ก็จะถามอะไรไม่ได้ความสักอย่าง

แต่ยามนี้บ่าวรับใช้ตรงหน้าดูเหมือนว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แววตาเขาเลื่อนลอยแต่ยังได้ยินเสียงของทั้งคู่อยู่

“ใครส่งให้เจ้ามา” กู้เจียวถาม

“นะ…นายท่าน” บ่าวรับใช้เอ่ยอย่างเลื่อนลอย จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างโง่งม

“ได้ผลเพียงนี้เชียวรึ” กู้เฉิงเฟิงเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน อาศัยตีเหล็กตอนยังร้อนถามว่า “นายท่านคนไหน”

บ่าวรับใช้ “นะ…นายใหญ่”

คนที่ถูกบ่าวรับใช้ในจวนถังเรียกว่านายท่านใหญ่ยังจะมีใครได้อีก

กู้เฉิงเฟิงนิ่งอึ้ง ถังหมิงไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของนายท่านใหญ่ถังหรอกรึ พ่อแท้ๆ จะมาลงมือกับลูกชายแท้ๆ ได้อย่างไร

กู้เฉิงเฟิงรู้ซึ้งถึงความลำเอียงของบิดาแท้ๆ มาก่อน แต่ต่อให้ท่านโหวกู้ลำเอียงอย่างไรก็ไม่มีทางทำร้ายลูกชายตัวเองได้ เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่าเสือร้ายไม่กินลูก นายท่านใหญ่ถังเสียสติไปแล้วรึ

เขาไปดูถังหมิงที่อยู่บนเตียง ก็เห็นเขาสลบไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ คงไม่ได้ยินสิ่งที่บ่าวรับใช้พูดแน่

ปฏิกิริยากู้เจียวสงบนิ่งกว่ากู้เฉิงเฟิง อย่างไรเสียนางก็เป็นคนที่เคยตายมาแล้วคราหนึ่ง และอย่างไรเสียพ่อแม่ในชาติก่อนของนางก็เป็นคนที่สามารถผลักนางลงนรกได้

นางเดินไปหยิบกริชบนพื้นขึ้นมา

กู้เฉิงเฟิงยังคงยากจะเชื่ออยู่ “เขาพูดผิดหรือไม่ หรือว่ายาเจ้ามีปัญหา”

กู้เจียวเอ่ย “ยาข้าไม่ได้มีปัญหา เขาก็น่าจะไม่ได้พูดผิดเหมือนกัน”

เรื่องแบบนี้จะพูดผิดได้อย่างไร เขาเป็นคนรับใช้ในจวน นายใหญ่ถังเป็นอัมพาตติดเตียง เขาต้องพบกับนายใหญ่ถังในห้องของนายใหญ่ถังแน่ คำว่าท่านชายของกู้เฉิงเฟิงก็ยังหลุดปากออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนที่จะหลอกง่าย

กู้เฉิงเฟิงมึนงงไปหมด “แต่เหตุใดนายใหญ่ถังต้องฆ่าลูกชายตัวเองด้วยเล่า”

“ใครจะไปรู้ล่ะ” กู้เจียวไม่สนใจเรื่องแก่งแย่งชิงกันในตระกูลถังอยู่แล้ว นางสนใจแค่ว่ากริชเล่มนี้มาได้อย่างไร นางจำได้ว่าในฝัน นี่เป็นกริชของกู้ฉังชิง

“กริชนี้เจ้าคุ้นตาบ้างหรือไม่” นางยื่นกริชให้กู้เฉิงเฟิง

กู้เฉิงเฟิงหยิบมาพินิจมอง “ไอ้หยา นี่มันกริชของพี่ใหญ่มิใช่หรือไร มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรน่ะ เขา…เขากะจะใช้กริชเล่มนี้ฆ่าถังหมังรึ”

น่ากลัวเกินไปแล้ว พี่ใหญ่ไม่อยู่ที่ค่าย ซ้ำสถานที่เกิดเหตุก็มีกริชของพี่ใหญ่ปรากฏอยู่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็หมายจะให้พี่ใหญ่ของเขาตายอย่างมีมลทินชัดๆ!

“ใครเป็นคนให้เจ้ามา!” เขาถามบ่าวรับใช้

บ่าวรับใช้พึมพำ “นายใหญ่…”

กู้เจียวเอ่ย “พี่ใหญ่เจ้ามักจะพกมันไว้ติดตัวหรือไม่”

กู้เฉิงเฟิงส่ายหน้า “ไม่ กริชเล่มนี้ท่านปู่เป็นคนให้เขาตอนวันเกิดครบสิบสองปีของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่หวงมาก เก็บไว้ในห้องหนังสือตลอด ไม่ได้เอาออกมาใช้บ่อยนัก ข้ากับน้องสามไปยืมมาเล่นกันเป็นบางครั้ง”

“เจ้าจำได้อย่างไรว่าเป็นตอนอายุสิบสอง” กู้เจียวสงสัยแต่เรื่องนี้

“เพราะตอนอายุสิบสองมีงานวันเกิดน่ะสิ!” กู้เฉิงเฟิงบอก

ที่แคว้นเจาไม่ได้เฉลิมฉลองวันเกิดอย่างโอ่อ่าใหญ่โตทุกปี นอกจากครบรอบหนึ่งขวบแล้ว งานวันเกิดใหญ่ครั้งต่อไปก็คือตอนสิบสองปี ครั้งที่สามคือตอนปักปิ่นของเด็กผู้หญิงตอนอายุสิบห้าและตอนสวมมงกุฎของเด็กผู้ชายตอนอายุยี่สิบ

กู้เจียวส่งเสียงอ๋อออกมา เจ้าของร่างเดิมไม่ได้ฉลองวันเกิดอายุสิบสอง และนางก็จำธรรมเนียมนี้ไม่ได้ด้วย

กู้เจียวเอ่ยว่า “นายใหญ่ถังเป็นอัมพาตนานหลายปี เขาไปเอากริชนี่มาได้อย่างไร”

เขาใช้บ่าวรับใช้ทำให้น่ะไม่แปลก แต่ยื่นมือเข้าไปที่จวนติ้งอันโหวไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

“เจ้าหมายความว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลังรึ” กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้วมุ่น

นายใหญ่ถังคิดจะฆ่าถังหมิง แรงจูงใจของเขากู้เฉิงเฟิงเดาไม่ออก แต่มีคนร่วมมือกับนายใหญ่ถังใส่ร้ายป้ายสีกู้ฉังชิง เป้าหมายนี้เห็นได้ชัดเจน

มีคนจงใจยุแยงตะแครงรั่วกับความสมพันธ์ระหว่างจวนติ้งอันโหวกับจวนหยวนไซว่

จวนติ้งอันโหวเป็นแขนซ้ายของฝ่าบาท จวนหยวนไซว่เป็นแขนขวาของจวงไทเฮา หากมองตามนี้มีคนอยากเห็นฝ่าบาทกับไทเฮาเข่นฆ่ากันเอง

กู้เจียวหากริชของถังหมิงที่อยู่ในห้องมายัดใส่มือบ่าวรับใช้ “ไปกันเถอะ”

กู้เฉิงเฟิงมองไปยังบ่าวรับใช้พลางเอ่ย “ไปทั้งอย่างนี้น่ะรึ แล้วจะทำอย่างไรกับเขา”

กู้เจียวเก็บกริชของกู้ฉังชิงให้เรียบร้อย “ฤทธิ์ยาจะอยู่อีกสองชั่วยาม ให้ถังเย่ว์ซานมาเห็นเองดีกว่า”

กู้เฉิงเฟิงมาคิดดูก็เห็นด้วย กะว่าจะออกไปด้วยกันกับกู้เจียว แต่เพิ่งจะดึงประตูห้องเปิดออกก็งับปิดคืนอย่างรวดเร็ว

เขาเอ่ยเสียงเบาอย่างตระหนก “มีคนมา!”

กู้เจียวมองไปรอบๆ “ไปในตู้เสื้อผ้า”

ตู้เสื้อผ้าของถังหมิงกว้างมากพอให้พวกเขาสองคนนั่ง

ตู้เสื้อผ้ามีภาพแกะสลักไว้ ทั้งคู่จึงสามารถมอดลอดภาพแกะสลักดูเหตุการณ์ภายในห้องได้

ผู้มาใหม่คือฮูหยินใหญ่ถัง

ยามนี้ดึกมากแล้ว แต่ลูกชายนางบาดเจ็บสาหัส ในฐานะมารดาจึงไม่อาจนอนได้ นางทนไม่ไหวมาดูสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

พอนางเข้าห้องมาก็เห็นบ่าวรับใช้คุกเข่ากับพื้น ท่าทางเลื่อนลอย ในมือถือกริชเอาไว้ ปากพึมพำบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์

สีหน้านางพลันเปลี่ยน ปฏิกิริยาแรกคือโผไปข้างเตียง ดูว่าถังหมิงเป็นอะไรหรือไม่ “หมิงเอ๋อร์!”

ถังหมิงสลบไปแล้ว จึงตอบรับนางไม่ได้

กลับทำให้ถังเย่ว์ซานที่เพิ่งกลับจวนมาได้ยินเสียงเรียกของนางเข้า จึงรีบมาอย่างรวดเร็ว

พอเขาเข้าห้องมา ฮูหยินใหญ่ถังเพิ่งจะแย่งกริชมาจากมือบ่าวรับใช้ได้

ถังเย่ว์ซานเห็นฮูหยินใหญ่ถังถือกริชอยู่แววตาก็สั่น เขาแทบจะโผไปข้างเตียงเพื่อขวางอยู่หน้าถังหมิงที่กำลังหลับอยู่ “หมิงเอ๋อร์เป็นลูกชายข้า! เจ้าจะทำอะไรน่ะ!”

กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว

ปฏิกิริยาของถังเย่ว์ซานน่าแปลกมาก ในห้องนอกจากฮูหยินใหญ่ถังแล้วยังมีอีกสองคนนะ คนหนึ่งคือถังหมิง อีกคนคือบ่าวรับใช้

ฮูหยินใหญ่ถังถือกริชเอาไว้ ต่อให้ถังเย่ว์ซานสงสัยว่านางเป็นคนฆ่า แต่เหตุใดไม่สงสัยว่านางคิดจะฆ่าคนรับใช้บ้าง กลับไปสงสัยว่านางคิดจะฆ่าลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง