ตอนที่ 411 อวี้เหอจากไปอย่างพ่ายแพ้ (1)
เช่นเดียวกับเมื่อคราวก่อน ในงานเลี้ยงดอกท้อ องค์หญิงอวี้เหอก็ส่งคนมาให้นางถึงสองคน
ครั้งนี้ เตรียมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ช่างร้ายกาจจริงๆ
วิธีการเดียวกัน เหี้ยมโหดเหมือนกัน! สุดยอดจริงๆ!
มั่วเชียนเสวี่ยชำเลืองมองไปที่องค์หญิงอวี้เหอ สตรีชั้นสูงคนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนี้ บ้างลุกขึ้นเดินออกไป บ้างก้มหน้าลง ทว่าองค์หญิงอวี้เหอกลับนั่งดื่มน้ำชาด้วยสีหน้านิ่งสงบ
ปี้หวนสาวใช้ขององค์หญิงอวี้เหอยืนอยู่ด้านหลังนายของนางด้วยสีหน้านิ่งสงบเช่นเดียวกัน แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของมั่วเชียนเสวี่ยที่มองไปทางพวกนาง
มั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงที่มีเสื้อผ้าคลุมเรือนร่างแล้ว ยืนสั่นเทาอยู่ตรงนั้น พวกนางถูกบีบจนหมดหนทางแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องที่จะแต่งออกเรือนไปพร้อมกับมั่วเชียนเสวี่ยและเป็นอนุภรรยา แม้กระทั่งแต่งงานกับบ่าวรับใช้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่แน่ว่าหลังจากก้าวเดินออกไปจากประตูนี้ อาจจะต้องจบชีวิตแล้วก็ได้
ตระกูลใหญ่ไม่สนใจหรอกว่าเจ้าถูกวางยาหรือว่าถูกวางแผนทำร้าย สิ่งเดียวที่พวกเขาให้ความสนใจคือผลลัพธ์ที่ตามมา เจ้าถูกวางยาทำลายชื่อเสียงของตระกูล ไม่มีผู้ใดเห็นใจเจ้า ยิ่งไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาเข้าข้างเจ้า มีแต่คนด่าว่าเจ้าโง่เขลา บ่าวรับใช้ทั้งสามคนของหัวหน้าตระกูลมั่วถูกองครักษ์พาตัวมาตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นยิ่งนัก พวกเขาใบ้รับประทานแล้ว
คนก่อเหตุยังไม่พูดอะไร คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้ใดจะกล้าออกหน้าในเวลาเช่นนี้ แม้ภายในใจจะอยากดูเรื่องครึกครื้นก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอย่างเปิดเผย กลัวเหลือเกินว่าหากเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย จะทำให้ตนเดือดร้อน
ภายในโถงหน้าเงียบสงัด
ความตึงเครียดของบรรยากาศ บีบรัดหัวใจของทุกคน
ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด มั่วปี้หรุ่ยกลับดึงสติกลับมาจากความกระวนกระวาย มั่วปี้หรุ่ยมีไหวพริบกว่ามั่วปี้หรงเล็กน้อย นางเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นพวกนางกินขนมหนึ่งจาน ขนมนั้นต้องมีปัญหาแน่นอน
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา ความกระวนกระวายในแววตาแปรผันเป็นเหี้ยมโหด หันไปมองมั่วเชียนเสวี่ย ด่าทออย่างหยาบคาย “เป็นฝีมือของเจ้า นางคนสารเลวที่ทำร้ายพวกข้า”
มั่วปี้หรุ่ยพูดเช่นนี้ แม้มั่วปี้หรงจะโง่เขลาเพียงใดก็รู้ว่าต้องเห็นด้วย “ถูกต้อง เจ้าริษยาพวกข้า….”
มั่วปี้หรุ่ยด่าหยาบคาย “มั่วเชียนเสวี่ย นางคนสารเลว เจ้าทำร้ายพี่น้องของตนเองเช่นนี้ ต้องไม่ตายดีแน่”
ขณะที่พวกนางกำลังด่าทออยู่นั้น หัวใจของหัวหน้าตระกูลมั่วที่เกือบจะแตกสลาย เวลานี้ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาดังเดิม เขาไม่คิดจะลงโทษมั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงในเวลานี้ เขาจะรอดูเรื่องสนุก
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีสิ่งใดแย่ไปกว่านี้แล้ว ไม่แน่ว่าการที่หญิงโง่เขลาทั้งสองคนก่อความวุ่นวาย อาจจะมีผลประโยชน์ที่เหนือความคาดหมายให้กอบโกย
หัวหน้าตระกูลมั่วถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างเนียบเนียน หลีกทางให้มั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรง
มั่วเชียนเสวี่ยมองด้วยแววตาเยือกเย็น นางย่อมรู้ว่าหัวหน้าตระกูลมั่วมีแผนการอะไร หากปล่อยให้มั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงพูดต่อ เกรงว่าหัวหน้าตระกูลมั่วคงจะกระโจนออกมา ให้นางมีคำตอบให้เขาฟัง
มุมปากขององค์หญิงอวี้เหอมีรอยยิ้มเล็กน้อย งดงามจนทำให้ผู้คนหวั่นไหว คล้ายว่าไม่ได้กำลังจัดการเรื่องสกปรก แต่กำลังดูเรื่องสนุกอย่างไรอย่างนั้น ให้มั่วเชียนเสวี่ยเป็นแพะรับบาปก็ไม่เลวเหมือนกัน
เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อครู่ คนในห้องโถงที่ยังไม่ออกไป ก็เหลือเพียงสตรีชั้นสูงสามนาง ฮูหยินอีกสองท่าน สตรีชั้นสูงทั้งสามคนก้มหน้าลงกัดผ้าเช็ดหน้า ส่วนฮูหยินทั้งสอง ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ
มั่วเชียนเสวี่ยมองผู้คนที่อยู่รอบๆ ยิ้มเยือกเย็น เอามือเคาะโต๊ะอย่างไม่ยี่หร่ะ แล้วพูดขึ้นช้าๆ “ว่ามา ข้าวางแผนทำร้ายพวกเจ้าอย่างไร”
มั่วปี้หรุ่ยรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสเดียวในการมีชีวิตอยู่ต่อของนาง นางจึงพูดขึ้น “ต้องเป็นเพราะขนมนั่นอย่างแน่นอน เจ้าคับแค้นใจที่พวกข้าแย่งขนมของเจ้า เจ้ากลัวว่าพวกข้าจะแต่งเข้าตระกูลไปพร้อมกับเจ้า แย่งความรักจากเจ้า เจ้าจึงวางยาลงไปในขนม หลังจากนั้นก็หลอกให้พวกข้ากิน…”
มั่วปี้หรงเพิ่งจะเข้าใจทุกอย่าง “ถูกต้อง เพราะขนมจานนั้น ข้าจำได้ว่าหลังจากที่กินขนมนั่นหมด ข้าก็สติเลือนลาง จำอะไรไม่ได้แล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มบางๆ จะจำไม่ได้ได้อย่างไร พอจะจำได้บ้างต่างหาก แค่ว่าตอนนั้นไม่อาจควบคุมร่างกายของตนเองก็เท่านั้น
แม้ภายในใจของมั่วเชียนเสวี่ยจะยิ้ม ทว่าสีหน้าของนางไร้ซึ่งความหวาดกลัว ถามย้อนกลับด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ขนม? ข้าจำได้ว่าพวกเจ้าเป็นคนแย่งขนมจานนั้นไปจากข้าเอง ข้าไม่ได้ให้พวกเจ้าทั้งสองคนกิน แล้วจะบอกว่าข้าหลอกพวกเจ้ากินขนมได้อย่างไร นับประสาอะไรกับวางแผนทำร้ายพวกเจ้า ไร้สาระสิ้นดี”
หัวหน้าตระกูลมั่วพอจะฟังออกแล้ว ทั้งยังพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ขืนปล่อยให้หญิงชั้นต่ำสองคนนี้พูดต่อ ไม่แน่ว่าอาจจะทำลายเรื่องดีๆ ของเขาได้ หัวหน้าตระกูลมั่วจึงตะคอกเสียงดังทันที “พอได้แล้ว!”
เดินไปด้านหน้าสองก้าว ด้วยท่าทีน่าเกรงขาม “มั่วเชียนเสวี่ย เจ้ายังมีความเป็นมนุษย์หรือไม่ เพื่อความต้องการของตนเอง ถึงขั้นทำร้ายพี่น้อง เจ้ายังเป็นคนหรือไม่ เทียนฟ่างสั่งสอนให้เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”
คำพูดนี้ เป็นการกล่าวโทษมั่วเชียนเสวี่ย ทั้งยังเป็นความผิดมหันต์
มั่วปี้หรุ่ยคุกเข่าบนพื้น “หัวหน้าตระกูล ท่านต้องช่วยพวกเราด้วยนะเจ้าคะ…”
มั่งปี้หรงก็คุกเข่าเช่นเดียวกัน “หัวหน้าตระกูล พวกข้าไม่รู้อะไรจริงๆ เจ้าค่ะ…”
สตรีทั้งสองคุกเข่า ทำสีหน้าน่าสงสาร
หัวหน้าตระกูลมั่วทำสีหน้าเมตตา ชี้ไปยังสตรีทั้งสองที่คุกเข่าบนพื้น ตำหนิมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความปวดใจ “มั่วเชียนเสวี่ย เจ้าดูพวกนางสิ พวกนางเป็นพี่น้องของเจ้า เวลานี้กลับ…เจ้ายังมีความเป็น…”
หัวหน้าตระกูลมั่วพูดด้วยความปวดใจยิ่งนัก ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับฟังจนรำคาญ ตบโต๊ะเสียงดัง “หัวหน้าตระกูลมั่ว ท่านช่วยลืมตาโตๆ แล้วดูให้ชัดเจน อย่ากล่าวโทษผู้อื่นพร่ำเพรื่อ”
ชี้ไปยังบ่าวรับใช้ทั้งสามคนของจวนมั่ว “สามคนนี้ไม่ใช่คนของจวนกั๋วกง ขนมนั่นข้าก็ไม่ได้เป็นคนให้พวกนางกิน นอกจากนี้ข้าก็ไม่ได้เป็นคนบอกให้พวกนางเข้าไปในป่าไผ่ แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกลับโทษข้า เชียนเสวี่ยอยากจะถามหัวหน้าตระกูลมั่วยิ่งนัก ท่านยังมีความยุติธรรมหรือไม่!”
ทั้งหมดที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดล้วนเป็นความจริง ชั่วขณะหนึ่ง หัวหน้าตระกูลมั่วไม่อาจโต้กลับ
มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ให้โอกาสกับเขา นางพูดขึ้นอีก “พูดตามตรง พวกนางทำให้จวนกั๋วกงของข้าแปดเปื้อน ทำให้ป่าไผ่ที่ท่านพ่อปลูกให้ท่านแม่แปดเปื้อน…หัวหน้าตระกูลมั่วควรมีคำอธิบายให้ข้า ควรมีคำอธิบายให้ท่านพ่อและท่านแม่ที่จากไปแล้ว!”
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่ยอมแพ้ทั้งยังโต้กลับ หัวหน้าตระกูลมั่วโมโหยิ่งนัก “อธิบายอะไร เจ้าไร้หัวใจ วางแผนทำร้ายพี่น้องของตนเอง ไร้คุณธรรม ทำแต่เรื่องสกปรก…เจ้า…เจ้าๆๆ เจ้าไม่ควรคู่ที่จะเป็นบุตรีสายตรงของตระกูลมั่ว ยิ่งไม่คู่ควรที่จะเป็นบุตรีของท่านกั๋วกง ข้าจะถวายฎีกาแด่ฝ่าบาท ให้เจ้า…”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หัวหน้าตระกูลมั่วถอดหน้ากากคนดีจอมปลอมของเขาลง ถึงอย่างไรก็ตกลงกับฮ่องเต้แล้ว เขาเองก็เตรียมที่จะเคลื่อนไหวมานานแล้ว สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือลมหายใจเฮือกสุดท้าย
แค่ว่า ขณะที่หัวหน้าตระกูลมั่วตะคอกเสียงดัง ด้านนอกก็มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะเขา
“หัวหน้าตระกูลมั่วคิดจะทำอะไรบุตรีบุญธรรมของข้า” คนที่เดินเข้ามาคือจย่าฮูหยิน
นางเดินเข้ามา พร้อมเอ่ยถามหัวหน้าตระกูลมั่ว
“เรื่องนี้ชัดเจนมากแล้ว หัวหน้าตระกูลมั่วไม่ไปสืบว่าเป็นฝีมือของผู้ใด ไม่จัดการสตรีทั้งสองที่สูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว แต่กลับตะคอกเสียงดังที่นี่ รังแกเชียนเสวี่ยที่ไม่มีบิดามารดา รังแกเชียนเสวี่ยที่อายุยังน้อย แต่ตราบใดที่มีข้าอยู่ ข้าไม่มีวันปล่อยให้เขาสาดน้ำเน่าเสียนี้มาที่ตัวบุตรีบุญธรรมอย่างแน่นอน แม้จะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ข้าก็ไม่กลัว!”