ตอนที่ 412 อวี้เหอจากไปอย่างพ่ายแพ้ (2)
จย่าฮูหยินที่คอยดูแลแขกเหรื่อคนอื่นๆ ที่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง ได้ยินคนมารายงาน กลัวมั่วเชียนเสวี่ยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ด้วยเหตุนี้จึงอ้างว่าจะมาเปลี่ยนชุด บอกให้ฮูหยินเหล่านั้นนั่งดพักไปก่อน ส่วนนางก็มาด้วยความรีบร้อน
ขณะพูด ตัวจย่าฮูหยินเดินมาถึงด้านในแล้ว นางยืนตรงหน้าหัวหน้าตระกูลมั่ว ยืนป้องมั่วเชียนเสวี่ยให้นางอยู่ด้านหลัง “วันนี้เป็นพิธีปักปิ่นของเชียนเสวี่ย ท่านในฐานะหัวหน้าตระกูลมั่ว กลับไม่อาจดูแลบ่าวรับใช้ของตนเองให้ได้ ไม่สั่งสอนสตรีในตระกูลให้ดี ยังจะมีหน้ามาวางอำนาจอีกหรือ”
จย่าฮูหยินฐานันดรศักดิ์สูงส่ง ฐานะของนางตระหง่านชัดอยู่ตรงนั้น คำพูดของนาง มีเหตุผลทุกถ้อยคำ นางพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทุกคำพูดดั่งมีดดาบ โต้กลับหัวหน้าตระกูลมั่ว
หัวหน้าตระกูลมั่วเงียบ ทางด้านมั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงกลับโต้กลับ มั่วปี้หรุ่ยพูดขึ้น “ท่านเป็นผู้ใด พูดจาเหลวไหลอะไร นางเป็นคนวางแผนทำร้ายพวกข้า…”
มั่วปี้หรงเป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว เวลานี้นางขาดสติ พูดไม่คิด “ยัยแก่หนังเหนียว เจ้ากับนางคนสารเลวเป็นพวกเดียวกัน…”
จย่าฮูหยินถูกด่าทอ กระทืบเท้าด้วยความโมโห “หัวหน้าตระกูลมั่วยังไม่มาปิดปากหญิงไร้ยางอายทั้งสองคนอีกหรือ ขืนปล่อยให้พวกนางพูดต่อไป รังแต่จะเป็นเสนียดติดหูทุกคน”
หัวหน้าตระกูลมั่วร้อนใจขึ้นมาทันที สตรีทั้งสองที่ไม่เอาไหน กลับด่าจย่าฮูหยินว่าเป็นยัยแก่หนังเหนียว ต่อหน้าผู้คนเนี่ยนะ
ตายแล้ว ตอนนี้ตายแล้วจริงๆ หากท่านจย่ากล่าวโทษขึ้นมา เกรงว่าลูกหลานตระกูลมั่วคงยากที่จะมีอนาคตที่ดีแล้ว
หัวหน้าตระกูลมั่วไม่แม้แต่จะคิด รีบพูดขึ้นมาทันที “พวกเจ้ายังจะยืนเซ่ออยู่ทำไม ยังไม่รีบปิดปากหญิงชั้นต่ำทั้งสองคนนี้” วันนี้ เต็มไปด้วยแขกเหรื่อและมีงานมากมาย หัวหน้าตระกูลมั่วทั้งต้องคอยประจบทั้งต้องคอยทักทาย ไม่ว่าจะเดินไปที่ใด ด้านหลังย่อมมีบ่าวรับใช้คอยติดตาม
พวกบ่าวรับใช้ถูกตำหนิ สบถในใจ ทว่ามือเท้ากลับรวดเร็วยิ่งนัก เพียงครู่หนึ่งก็ปิดปากมั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงแล้ว
จย่าฮูหยินเห็นหัวหน้าตระกูลมั่วยอมอ่อนข้อ น้ำเสียงดีขึ้นเล็กน้อย นางเป็นฮูหยินชราที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี นางจะทำตัวไม่ถูก แค่เพราะได้ยินคำด่าของสตรีสองคนที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้อย่างไร นางถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เกิดเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ในตระกูล การที่หัวหน้าตระกูลปวดใจจึงได้ล้ำเส้น ก็เป็นเรื่องธรรมดา คาดว่า…”
หลังจากพูดจบแล้ว แสงสว่างแวววับฉายขึ้นมาในดวงตาของนาง “ดูเหมือนว่ามีคนอยากจะให้ร้ายบุตรีบุญธรรมของข้า อยากจะทำลายชื่อเสียงของนาง ทำลายงานเลี้ยง แค่ว่า หญิงตระกูลมั่วทั้งสองคนของท่านที่ไร้มารยาทรับเคราะห์แทนก็เท่านั้น…”
ตบหัวแล้วลูบหลัง ขณะเดียวกันที่ให้เกียรติหัวหน้าตระกูลมั่ว ก็วิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ค่อยตำหนิหัวหน้าตระกูลมั่วและทำให้เขาอับอายอีกครั้ง ไม่ทำเกินไปแม้แต่น้อย
เป็นจริงตามคำที่กล่าวว่า ขิงแก่ย่อมเผ็ดเสมอ! ดำเนินเรื่องได้ดีจนมั่วเชียนเสวี่ยตาลายไปหมด รู้สึกนับถือจากใจจริง!
หลังจากตำหนิหัวหน้าตระกูลมั่ว จย่าฮูหยินหมุนตัวหันหลัง “ลูกรัก ลำบากเจ้าแล้ว”
แม้จะไม่ได้ถูกรังแกแต่อย่างใด แต่ขอบตาของมั่วเชียนเสวี่ยแดงก่ำ รู้สึกแสบที่จมูก ความรู้สึกที่ถูกรักและมีคนคอยสนับสนุนช่างเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน!
มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปด้านหน้า ยื่นมือออกไปคล้องแขนจย่าฮูหยิน
จย่าฮูหยินสงสารมั่วเชียนเสวี่ยยิ่งนัก จย่าฮูหยินตบมือของมั่วเชียนเสวี่ยที่ยื่นมาคล้องแขนนางเบาๆ เป็นการปลอบโยน แล้วพูดชี้แนะ “ตอนนี้เจ้าให้คนในจวนของเจ้าไปสืบซิ สืบดูว่าขนมนี้มาจากที่ใด…สืบดูว่าขนมนี้ผ่านมือผู้ใดมาบ้าง แล้วสืบ…”
จย่าฮูหยินไม่ได้ออกคำสั่ง แต่บอกมั่วเชียนเสวี่ย ด้านหนึ่งเป็นการให้เกียรติบุตรีบุญธรรมของตน อีกด้านหนึ่งเป็นการให้คำแนะนำกับนางว่าควรจะทำเช่นไร
แน่นอนว่าย่อมสืบไม่เจอแต่อย่างใด อวี้เหอลงมือคราใดก็เก็บรายละเอียดดีมาโดยตลอด คนที่ลักลอบวางยาใส่ขนมออกไปจากจวนกั๋วกงนานแล้ว องครักษ์ลับที่เห็นเหตุการณ์กับตาตนเองไม่อาจเป็นพยานได้
แต่ว่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากปล่อยอวี้เหอไปง่ายๆ เช่นนี้
แม้จะไม่เจอหลักฐานว่าเป็นฝีมือของนาง แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็มีวิธีทำให้อวี้เหออับอายขายหน้า แต่สิ่งสำคัญในตอนนี้คือกำจัดสตรีชั่วช้าทั้งสองคนตรงหน้าก่อน
แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะรู้ดีว่าสืบแล้วก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ทว่า นางก็รู้สึกซาบซึ้งในการปกป้องของจย่าฮูหยิน นางสั่งมั่วเหนียงให้ส่งคนไปสืบเรื่องนี้ ก้มหน้างุดตอบกลับจย่าฮูหยิน “ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของแม่บุญธรรมเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยพยุงจย่าฮูหยินนั่งตรงที่นั่งหลัก แล้วเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าตระกูลมั่ว น้ำเสียงของนางไม่เคล้าไปด้วยความเย้ยหยันเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ถอนหายใจเบาๆ “หัวหน้าตระกูลมั่ว เป็นความโชคร้ายของตระกูล ล้วนไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
หัวหน้าตระกูลมั่วทำสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเริ่มพูดขึ้น “เชียนเสวี่ยคิดจะทำอย่างไรกับพวกนางสองคน”
แม้มั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงจะถูกปิดปาก ทว่าหูและตาของพวกนางยังใช้งานได้เป็นอย่างดี เวลานี้พวกนางดีดดิ้น มองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยพร้อมกันด้วยแววตาอ้อนวอน
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ต้องมองพวกนางสองคน นางก็รู้ว่า ไม่อาจเมตตาพวกนางได้
หากปล่อยพวกนางสองคนปล่อย เช่นนั้นวันหน้าผู้ใดจะเห็นนางอยู่ในสายตา แต่หากทุบตีและทำร้ายพวกนางสองคน เช่นนั้นก็ไม่เห็นแก่ความเป็นพี่น้อง วันข้างหน้าต้องถูกตราหน้าลับหลังว่าเป็นคนจิตใจอำมหิตอย่างแน่นอน
เฮ้อ… แววตาของมั่วเชียนเสวี่ยใสซื่อ สีหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความเวทนา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เดิมทีเชียนเสวี่ยอยากจะพาพวกนางทั้งสองคน…ทว่า กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เรื่องแต่งงานออกเรือนไปพร้อมกับเชียนเสวี่ยเป็นโมฆะแล้ว ผู้ใดอย่าพูดขึ้นอีก”
น้ำเสียงนี้ ท่าทีนี้ ทำให้หัวหน้าตระกูลมั่วเกือบกระอักเลือด ทว่าเขาไม่อาจโต้กลับ เพื่อจะให้หญิงชั้นต่ำทั้งสองคนแต่งงานออกเรือนไปพร้อมกับมั่วเชียนเสวี่ย เขาปล่อยข่าวลือไปนานแล้ว เพื่อที่ถึงเวลามั่วเชียนเสวี่ยจะได้ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก จำต้องยอมให้สถานะกับหญิงตระกูลมั่วทั้งสองคน
ไม่ใช่ว่านางไร้เยื่อใย ไม่ดูแลตระกูลมั่ว แต่สตรีตระกูลมั่วไม่เอาไหนเอง
เรื่องนี้ ไม่เพียงทำลายชื่อเสียงของสตรีตระกูลมั่ว ทั้งยังปิดทางไม่ให้ตระกูลมั่วส่งคนมาอีก ทั้งยังเป็นการบอกกับคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงว่า ‘เรื่องให้คนติดตามนางออกเรือน อย่ามาพูดให้นางได้ยินอีก!’
“สำหรับเรื่องลงโทษ มีหัวหน้าตระกูลมั่วอยู่ เชียนเสวี่ยจะมีสิทธิ์ได้อย่างไร หัวหน้าตระกูลมั่วพาพวกนางกลับตระกูล แล้วลงโทษตามกฎระเบียบเถอะเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ตกหลุมพราง หัวหน้าตระกูลมั่วก็จนปัญญา สีหน้าย่ำแย่ ไม่พูดอะไรอีก สั่งให้คนเอาตัวสตรีทั้งสองคนของตระกูลมั่วและบ่าวรับใช้ทั้งสามคนออกไป จากนั้นหัวหน้าตระกูลมั่วก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ เขาจะมีหน้าอยู่ที่นี่ต่อได้อย่างไร!
หัวหน้าตระกูลมั่วไปแล้ว เรื่องนี้จบลงแล้ว บรรดาฮูหยินและสตรีชั้นสูงต่างไม่เงียบแล้ว พวกนางพูดร่ายยาว บอกว่าคุณหนูใหญ่มั่วใจกว้าง บอกว่าคุณหนูใหญ่มั่วยุติธรรม
มั่วเชียนเสวี่ยเพียงขานตอบเท่านั้น
ทางด้านจย่าฮูหยินยังมีแขกสำคัญ เมื่อเห็นว่าที่ตรงนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว นางปลอบมั่วเชียนเสวี่ยสองสามประโยคเสร็จก็เดินออกไป
ทางด้านองค์หญิงอวี้เหอเมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ดูแล้ว มองดูท้องฟ้าก็สายมากแล้ว คาดว่าคงไม่มีโอกาสในการทำให้มั่วเชียนเสวี่ยอับอาย หลังจากจย่าฮูหยินเดินออกไปนางก็ลุกขึ้นเช่นเดียวกัน เตรียมกลับวังหลวง
ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่คิดจะปล่อยนางไปเช่นนี้ แม้ไม่อาจคืน ‘น้ำใจ’ เมื่อคราวก่อนได้ แต่องค์หญิงมาถึงจวนแล้ว ก็ต้องคิดดอกเบี้ยเล็กน้อย มิเช่นนั้น พลาดโอกาสไปเสียเปล่า
องค์หญิงลุกขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยในฐานะสามัญชน ย่อมต้องลุกขึ้นด้วย “องค์หญิงนั่งจนเมื่อยตัว จึงอยากออกไปเดินเล่นหรือเพคะ”