เสียนเฟยมองเจียงซื่อหัวจรดเท้า คำพูดแต่ละคำ กว่าจะปริปากพูดออกมาได้ “จะมีความสุขสมหวังเจ้าหรือไม่ ใช่ว่าเจอหน้ากันครั้งหนึ่ง มองเห็นกันครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกชอบแล้วเป็นเช่นนั้นเลย คนสองคนต้องใช้ชีวิตร่วมกันทั้งชีวิต อยากมีความสุขสมหวังยังมีเรื่องให้ต้องระวังอีกมากมาย”
ในเมื่อพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว นางมีเหตุผลมากพอที่จะฟาดสีหน้าใส่เจ้าหนูแซ่เจียง และจะไม่มีใครพูดว่านางใจกว้างไม่พอ
ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ได้รับดอกไม้จากองค์ชายถึงสองพระองค์ มันไม่เหมาะสมกับการเป็นตัวเลือกที่จะได้อภิเษกกับราชวงศ์อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังหว่านเสน่ห์จนเยี่ยนอ๋องยกดอกเหมยเขียวทั้งหมดให้นางคนเดียว
คิดจะทำสิ่งใด คิดจะให้นารีเป็นเหตุแห่งภัยพิบัติหรืออย่างไร
ท่าทางของอวี้จิ่นยิ่งอยู่ยิ่งดูเกียจคร้าน เขากล่าวเสียงเรียบ “หากมองเห็นกันหนึ่งครั้งแล้วอึดอัดใจ ยังจะพูดถึงการใช้ชีวิตร่วมกันทั้งชีวิตอยู่อีกทำไม ถ้าเป็นไปตามที่เหนียงเหนียงกล่าว แสดงว่าทุกคนต้องเดินถึงบั้นปลายชีวิตก่อนถึงจะวิจารณ์ได้ว่าทั้งชีวิตนี้มีความสุขสมหวังแล้วหรือยัง เช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาหญิงสาวคิดในใจ นี่หมายความว่าอย่างไร เยี่ยนอ๋องมองพวกนางแล้วอึดอัดใจทันที?
พลังอาฆาตรทะยานเสียดฟ้าในทันใด
อวี้จิ่นไม่สนใจสีหน้าของเสียนเฟยที่แย่ลงเรื่อยๆ เขายิ้มและกล่าว “เอาเป็นว่า ลูกรู้สึกมีความสุขสมหวังเป็นอย่างมากในเวลานี้ และลูกเชื่อว่าภายใต้คำอวยพรจากเสด็จพ่อ ลูกก็จะมีความสุขสมหวังในภายหลังเช่นกัน”
เสียนเฟยตัดสินใจหย่อนตาลงและกล่าวออกไปอย่างมึนตึง “มีความสุขสมหวังไม่ได้แปลว่าจะทำตามใจตัวเองได้ เอาเป็นว่าเรื่องที่ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบถึงเพียงนี้ ข้าไม่เห็นด้วย หรือไม่ เยี่ยนอ๋องนำดอกเหมยทั้งหกดอกไปมอบให้หญิงสาวใหม่ หรือไม่ ก็รอข้ากลับไปวางแผนให้เจ้าใหม่”
คำพูดเพียงหนึ่งประโยค ไม่ทิ้งโอกาสให้ได้ตอบโต้อีก บรรยากาศพลันเงียบลง
อวี้จิ่นมองเสียนเฟยอยู่อย่างนั้น แววตานั้นลุ่มลึกดั่งบ่อน้ำลึก
เสียนเฟยยักคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มเย็นชาอยู่ภายในใจ เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าเจ็ดจะตอบโต้ท่ามกลางผู้คน หากเขาทำเช่นนั้น นางยิ่งสามารถควบคุมเขาได้ เจ้าลูกคนนี้ ไม่สั่งสอนสักหน่อย ก็ไม่มีวันเห็นแม่คนนี้อยู่ในสายตา
“พี่เสียนเฟยเพคะ จะโต้เถียงกับเด็กๆ เหล่านี้ขนาดนี้ด้วยเหตุใดเล่า เดิมทีงานเลี้ยงชมดอกไม้ในวันนี้เป็นวันที่สร้างความสุขให้กับทุกคน หม่อมฉันคิดว่า ชีวิตคนเรา หากได้มีชีวิตที่มีความสุขสมหวังนับว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง” จวงเฟยกล่าวขึ้นในเวลาที่เหมาะสม
เสียนเฟยโกรธจนอยากข่วนหน้าเรียบๆ ของจวงเฟยให้เป็นรอย
นางจวงเฟยคนชั่วช้า คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว[1] มีชีวิตที่มีความสุขสมหวังนับว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง นี่นางหมายความว่าอย่างไร มันคือคำพูดประชดประชันอันมีความหมายว่านางทำให้ลูกชายตัวเองต้องลำบากใจ
ฮึ แล้วถ้าสู่อ๋องมอบดอกเหมยเขียวทั้งหมดให้เจ้าหนูแซ่เจียง แล้วจวงเฟยยังพูดเช่นนี้อีก นางจะเขียนคำว่า ‘ยอมแล้ว’ ตัวใหญ่ๆ ให้จวงเฟยเลย
เสียนเฟยยิ้ม “น้องจวงเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าจะโต้เถียงกับลูกแท้ๆ ของข้าทำไมกัน ข้ากำลังวางแผนให้เขาเหมือนกับที่เจ้าวางแผนให้สู่อ๋องอย่างไรเล่า”
จวงเฟยยิ้มและไม่ตีฝีปากกับเสียนเฟยอีก
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร วันนี้นางดูละครจบแล้ว เรื่องตลกของเสียนเฟยคงลือลั่นไปทั่วพระราชวังไปอีกนาน เมื่อเทียบกันแล้ว การที่ลูกชายมอบดอกเหมยเขียวให้คุณหนูเจียงหนึ่งดอก นับเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้หรอก
จวงเฟยใช้หางตากวาดมองอวี้จิ่นหนึ่งทีและเอ่ยเงียบๆ ขอบใจเยี่ยนอ๋องที่ช่วยดึงความนิ่งของลูกชายออกมา
เสียนเฟยทำหน้าบูดบึ้ง รู้สึกอึดอัดใจอย่างที่สุด
หากเจ้าเจ็ดรู้จักแยกแยะความหนักเบาได้ นางสามารถดูเรื่องตื่นเต้นได้อย่างสงบเหมือนจวงเฟยเช่นกัน
ช่างน่าโมโหจริงๆ!
“ฮ่องเต้เสด็จ…” เสียงที่ดังขึ้น ทันใดนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่สตรี
ฮ่องเต้เสด็จมาได้อย่างไร
เสียนเฟยกับจวงเฟยมองหน้ากัน และทั้งคู่ต่างก็เห็นความประหลาดใจจากแววตาของอีกฝ่าย
พิธีคัดเลือกพระชายาให้องค์ชายเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่เคยเสด็จมาร่วมด้วย
และกล่าวได้อีกอย่าง การที่โอรสแห่งสวรรค์เสด็จมาร่วมงานเช่นนี้ด้วยเป็นเรื่องแปลก หากลือลั่นไปถึงหูของผู้ตรวจการจะต้องนึกว่าฮ่องเต้เสวยอิ่มเกินไปจนไม่มีกิจอื่นให้ทำ
เสียนเฟยพูดให้ร้ายอยู่ในใจอย่างนั้นพลางเห็นเงาร่างเหลืองทองอันคุ้นเคยกำลังเดินมาพร้อมกับขันทีคนสนิทพานไห่
ฮ่องเต้จิ่งหมิงกวาดสายตาทอดพระเนตรหนึ่งรอบและตกลงที่อวี้จิ่น หลังจากนั้นก็ดึงสายพระเนตรกลับมาและเดินไปหาพระสนมทั้งสองพระองค์
อวี้จิ่นยิ้มเล็กน้อย
เสด็จพ่อเสด็จมาได้ตรงเวลาทีเดียว ไม่เสียแรงที่ไปหาเสด็จพ่อก่อนมาที่นี่
ท่ามกลางเสียงสรรเสริญที่เปล่งออกมา ฮ่องเต้จิ่งหมิงยื่นพระหัตถ์ออกไปให้กับสองพระสนมเสมือนจะพยุง และให้เหล่าสตรีไม่ต้องเกรงใจ
เมื่อฮ่องเต้อยู่ในงานด้วย เหล่าสตรีจึงพากันก้มหน้าก้มตา แม้กระทั่งหายใจยังเป็นเสียงเบา
แม้ว่าพวกนางเป็นบุตรีในตระกูลชั้นสูง แต่นอกเหนือจากคนส่วนน้อยที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับราชวงศ์แล้ว ส่วนมากที่เหลือ ล้วนแต่เป็นครั้งแรกที่ได้พบพระพักตร์
ที่แท้ฮ่องเต้มีหนึ่งจมูกสองตาเหมือนกัน มีผมขาวขึ้นอยู่รอบขมับ แต่ถึงอย่างนั้น ฮ่องเต้มีพระชนมพรรษานี้แล้วยังคงสง่า ไม่เหมือนบิดาของพวกนางที่อ้วนท้วมพุงย้วย หรือศีรษะเงาวับเพราะล้านเหลือเกิน
“ฝ่าบาททรงเสด็จได้อย่างไรเพคะ” เสียนเฟยเอ่ยถาม แม้พยายามปกปิดแค่ไหน แต่รอยยิ้มที่แข็งทื่อก็ทำให้ฮ่องเต้จิ่งหมิงสังเกตเห็น
ฮ่องเต้จิ่งหมิงชำเหลืองมองอวี้จิ่นแล้วตรัสขึ้นโดยไร้การแสดงออกใดๆ “ข้าได้ยินว่ามีคุณหนูท่านหนึ่งสามารถทำให้ดอกตูมผลิบานออกได้ ข้าเกิดอยากรู้เลยมาดูเสียหน่อย”
เพราะเจ้าเจ็ดคนเดียวแท้ๆ
เขามีบุตรชายตั้งมากมาย ที่เข้าพิธีอภิเษกแล้วมีห้าคน ไม่ว่าใครเลือกพระชายาก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่สงบเรียบร้อย มีแต่เจ้าเจ็ดที่ไปปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาตั้งแต่เช้า
เขาอดไม่ได้จึงถามออกไปว่า มีอะไรหรือ เจ้าลูกคนนี้กล่าวว่า เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเกิดงานคัดเลือกพระชายา ไม่มีใครที่ถูกอกถูกใจลูกเลยจะทำอย่างไร
เขาโกรธจนสะบัดแข้งเตะออกไปทันที
งานคัดเลือกพระชายาอะไร เขาเรียกว่างานชมดอกเหมยต่างหาก!
ใช่ จุดประสงค์ของการจัดงานชมดอกเหมยก็คือการเลือกพระชายา แต่ไม่จำเป็นต้องพูดตรงถึงเพียงนี้ ยังมีความสงวนที่คนในราชวงศ์พึงมีอยู่หรือไม่
หลังจากเตะเสร็จแล้ว เมื่อเห็นสภาพน่าสงสารของเจ้านั่นที่กำลังนวดสะโพกตัวเอง เขาจึงพลั้งปากพูดออกไปว่า หากงานเลี้ยงในครั้งนี้ไม่มีใครถูกอกถูกใจเจ้า ก็จัดงานชมดอกเหมยใหม่ แล้วคนเจ้าเล่ห์จึงยิ้มหน้าบานเดินออกไป
ฮ่องเต้จิ่งหมิงกำลังหวนนึกถึงหน้ายิ้มนั่น เป็นการยิ้มที่สดใสอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ช่างเป็นเด็กที่เติบโตมาอย่างธรรมชาติจริงๆ ไม่ว่าโกรธหรือดีใจล้วนดูมีชีวิตชีวา จนเขาอดไม่ได้ที่จะมองนานขึ้นหน่อย ประหนึ่งเห็นเมฆสีแดงที่ลุกไหม้ตามอำเภอใจอย่างวันที่บวงสรวงสวรรค์ ณ พระราชวังนอกเมืองหลวง
มีเด็กที่ไหนหน้าด้านได้ถึงเพียงนี้ คงอยากแต่งภรรยาจนเป็นบ้าไปแล้ว ไม่แน่ จนถึงตอนนี้ยังเป็นแค่แตงโมที่ยังไม่โตเต็มที่
ฮ่องเต้จิ่งหมิงพลันรู้สึกอยากรู้เรื่องส่วนตัวของลูกคนที่เจ็ดขึ้นมา จึงเรียกพานไห่มาตรัสถาม แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พานไห่เล่าว่าในจวนของเยี่ยนอ๋อง ไม่มีนางบำเรอใดๆ เลย แม้แต่สาวรับใช้ก็มีไม่มาก
ฮ่องเต้จิ่งหมิงได้ฟังก็เข้าใจมากขึ้น
ถึงว่า องค์ชายคนอื่น พอมีพระชนมายุครบสิบสี่ชันษาก็เริ่มให้นางกำนัลมาคอยรับใช้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการศึกษาอย่างหนึ่ง
ฮ่องเต้จิ่งหมิงไม่เคยสนใจงานเลี้ยงชมดอกเหมย แต่เพราะอวี้จิ่นมาก่อความวุ่นวาย เขาอดไม่ได้จึงสั่งพานไห่ให้ไปสืบดู
เขาอยากรู้มากว่าเจ้าลูกคนนี้จะเจอหญิงถูกใจในงานเลี้ยงชมดอกไม้ครั้งนี้หรือไม่ เพราะหากต้องจัดงานเลี้ยงใหม่ เงินที่จับจ่ายใช้สอยก็เป็นเงินส่วนพระองค์ ซึ่งเสียดายอยู่เหมือนกัน…
‘มีสตรีนางหนึ่งไม่รู้ว่าใช้คาถานางฟ้าอะไร ทำให้ดอกตูมผลิบานออกพ่ะย่ะค่ะ’
ใครจะคิดว่าคำตอบของขันทีจะกลายเป็นเรื่องน่าสนใจ
เขาอยากมาดูตั้งแต่ตอนนั้น แต่เกลียดที่ตาแก่พานไห่หักห้ามอย่างสุดชีวิตจนต้องพลาดละครดีๆ นี้ไป!
เสียนเฟยเหล่ตามองพานไห่หนึ่งทีหลังจากได้ยินคำพูดของฮ่องเต้จิ่งหมิง
พานไห่เงยหน้ามองฟ้า
เขาจะทำอย่างไรได้ เขาเองก็หมดหนทางแล้วเหมือนกัน!
ฮ่องเต้จิ่งหมิงรู้สึกบรรยากาศมีความแปลกมากขึ้นจึงแย้มพระโอษฐ์และตรัสถาม “คุณหนูที่เสกคาถานางฟ้าได้คือลูกหลานของใครหรือ”
เสียนเฟยเม้มริมฝีปากแน่นเพราะใกล้ประคองรอยยิ้มบนใบหน้าไม่ไหวแล้ว
เสียนเฟยยิ้มและกล่าว “ทูลฝ่าบาท คุณหนูจากจวนตงผิงปั๋วเพคะ”
————————–
[1] คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว เป็นการเปรียบเปรยว่า คนไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่มีวันเข้าใจ