หนึ่งร้อยกว่าจิน…
ในความทรงจำของโจวกุ้ยหลานมันก็ประมาณนี้ ทุกๆ ปีหลังจากฤดูใบไม้ผลิก็จะจับลูกหมูไว้ ปีปีหนึ่งเลี้ยงไว้สองสามตัว พอปลายปีก็ขายออก ปีต่อมาก็ใช้เงินของปีนี้ ชาวบ้านยังมีเงินเหลือเก็บไม่น้อยเลย
“สามตัวก็สามตัวแล้วกัน พวกเราค่อยๆ กินก็ได้” โจวกุ้ยหลานพูดพลาง ในหัวก็เริ่มครุ่นคิดไปว่าจะเลี้ยงหมูต่อหรือจะฆ่าให้หมดแล้วเก็บเอาเนื้อไว้
“ไม่งั้นพวกเราก็ไม่ต้องเลี้ยง? หมูนี้ก็คงไม่โตไปกว่านี้ สิ้นเปลืองอาหารเปล่าๆ? ไม่ก็ฆ่าทิ้ง ทำไส้กรอก หรือไม่ก็ทำเบคอนรมควันหรือเนื้ออะไรก็ได้ เก็บไว้กินนานๆ” โจวกุ้ยหลานเสนอความคิดเห็น
สวีฉางหลินตอบกลับอย่างอัตโนมัติ โจวกุ้ยหลานรีบโบกมือ สรุปว่าจะฆ่าทิ้งทั้งหมดในวันพรุ่งนี้
ช่วงบ่ายสวีฉางหลินก็สอนหนังสือให้เจ้าก้อนน้อยกับโจวกุ้ยหลานต่อ จนถึงเวลาอาหารเย็น โจวกุ้ยหลานทำบะหมี่นวดมือร้อนๆ กินกัน ทุกคนอาบน้ำ แช่เท้ากันหมดแล้ว โจวกุ้ยหลานก็เดินเป็นเพื่อนเจ้าก้อนน้อยไปบ้านทิศตะวันออก และเล่านิทานให้เจ้าก้อนน้อยฟัง รอจนเจ้าก้อนน้อยหลับ โจวกุ้ยหลานถึงกลับไปบ้านทิศใต้ของพวกเขา
อากาศหนาวจนนางนอนจนตัวสั่น สักพักมือเท้าก็เย็นเฉียบ สวีฉางหลินนวดมือนวดเท้าให้นาง
เตียงเตาที่อบอุ่น ด้วยความช่วยเหลือของสวีฉางหลิน โจวกุ้ยหลานจึงรู้สึกสบายตัวและผล็อยหลับไป
สวีฉางหลินนั่งมองหน้าโจวกุ้ยหลานที่หลับอยู่ จู่ๆ คิ้วก็ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
ภรรยาคนนี้กลัวหนาวมาก ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป กลัวว่าร่างกายจะไม่สบาย ยังไงก็ต้องพาหมอมาตรวจดูสักหน่อย
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ตื่นนอน โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นมาดูข้างนอก หิมะยังคงตกไม่หยุด
นึกถึงหมูที่อยู่ในเล้า นางก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก โบกมือและพูดว่ากินข้าวเสร็จจะฆ่าหมูล่ะ
เจ้าก้อนน้อยปรบมือด้วยความดีใจ
หลังจากที่ครอบครัวกินข้าวกันอย่างครึกครื้น โจวกุ้ยหลานกับเจ้าก้อนน้อยใส่เสื้อเยอะๆ แล้วตามสวีฉางหลินไปที่เล้าหมู
รอยเท้าหนักแน่นของสวีฉางหลินเดินนำหน้าไป โจวกุ้ยหลานและเจ้าก้อนน้อยก็เดินตามรอยเท่านั้นไปทางด้านข้างเล้าหมูทีละก้าวทีละก้าว
“เสี่ยวเทียน เจ้าอยากกินหมูตัวไหน?” โจวกุ้ยหลานถามเจ้าก้อนน้อยไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูเล้าหมู
เจ้าก้อนน้อยไม่รู้ว่าจะกินตัวไหนดี เลยถามแม่ เขาก็เลยชี้ไปที่หมูที่ตัวใหญ่ที่สุด
“ตกลง ตัวนี้หละกัน!” พูดอย่างมีความสุข
สวีฉางหลินรีบเดินเข้าไป และลากหมูตัวใหญ่ที่สุดออกมา
เมื่อย้อนรอยกลับไป
หมูตัวนั้นคงรู้ว่าจะถูกฆ่า เสียงโหยหวนแห่งความตายก็ดังขึ้น
ทั้งสามเดินกลับมาที่ลานหน้าบ้าน หมูตัวนั้นทั้งตัวเต็มไปด้วยสีแดงแล้ว
สวีฉางหลินไม่สงสารหมูตัวนั้นเลยสักนิด ลากมันมาที่กลางลานบ้าน มือข้างหนึ่งก็ดึงเชือกที่คล้องคอมันอยู่ ส่วนมืออีกข้างก็ดึงออก
โจวกุ้ยหลานรีบหยิบมีดที่พกมาด้วยออกมา และยื่นส่งให้กับมือของสวีฉางหลินอย่างตื่นเต้น
แค่ฆ่าหมูตัวนี้ ต่อไปก็จะมีเนื้อไว้กินแล้ว!
ขณะที่กำลังคิด ก็เห็นสวีฉางหลินหันมามองนาง “เอาชามมาอันให้ข้าใส่เลือดหมู”
“อ่ออ่อ ได้ได้!” โจวกุ้ยหลานรีบเดินเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว และหยิบอ่างไม้ใบใหญ่ออกมาส่งให้กับสวีฉางหลิน
สวีฉางหลินเอาอ่างไม้นั้นไปวางรอตรงคอหมู และเอามีดเฉือนลงที่คอหมู
เลือดอุ่นๆ ไหลลงมาในอ่างไม้ หมูตัวนั้นร้องหอน กีบขาทั้งสี่พยายามหนีอย่างสุดชีวิต หัวของมันส่ายไปส่ายมา และอยากจะเอาหัวชนสวีฉางหลิน
โจวกุ้ยหลานจ้องมองหมูตัวนั้น กลัวว่าจะหลุดจากมือของสวีฉางหลิน
หมู่บ้านนี้เวลาฆ่าหมู อย่างน้อยต้องใช้ถึงห้าหกคน นี้มีแค่สวีฉางหลินคนเดียว แม้เชื่อใจเขา แต่ตอนนี้นางเองก็รู้สึกกังวลอยู่บ้างเหมือนกัน
สวีฉางหลินดึงมีดออกมา และโยนไปข้างๆ ลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งจับที่คอของหมูตัวนั้น ส่วนมืออีกข้างจับที่ตัวของหมูตัวนั้น กดมันลงอย่างโหดร้าย
หมูตัวนั้นขยับไม่หยุด แต่ส่วนคอก็ไม่เคลื่อนออกจากอ่างนั้น เลือดที่ไหลลงอ่างนั้นยังอุ่นๆ อยู่
“เจ้าหมูเอ๊ย แม้ว่าพวกเราจะฆ่าเจ้า แต่ใครใช้ให้เจ้าเกิดมาเป็นอาหารหล่ะ? เจ้าอย่างโทษพวกข้าเลยนะ อย่าโทษสวีฉางหลินเลย” โจวกุ้ยหลินมองดูการดิ้นรนและเสียงร้องของมันค่อยๆ เบาลง เขาบ่นพึมพำ
“แม่ครับ ตือป๊วยก่ายตายแล้วหรือยัง?” เจ้าก้อนน้อยเงยหน้ามองโจวกุ้ยหลาน
“นี้ไม่ใช้ตือป๊วยก่าย นี้เป็นชนิดเดียวกับตือป๊วยก่าย เสี่ยวเทียน พวกเราจะต้องไม่ทำให้เนื้อทุกชิ้นต้องสิ้นเปลือง ต้องกินให้เกลี้ยง ไม่งั้นคงจะรู้สึกผิดกับหมูตัวนี้ เข้าใจไหม?”
โจวกุ้ยหลานนั่งสอนเจ้าก้อนน้อย
เจ้าก้อนน้อยพยักหน้า พอนึกถึงกับข้าวที่ท่านแม่ทำ น้ำลายก็จะไหลอยู่แล้ว
สวีฉางหลินที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของพวกเขาเข้าไปในหู ในใจก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
หมูตัวนั้นราวกับจะฟังคำพูดของโจวกุ้ยหลานรู้เรื่อง จากเดิมที่ไม่มีเรี่ยวแรง จู่ๆ ก็มีแรงดิ้นรนต่อหน้าของสวีฉางหลินอีกครั้งแต่นั่นก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่นาน หมูตัวนั้นก็หยุดนิ่งไม่ขยับอีกต่อไป
เรื่องที่เหลือสวีฉางหลินคุ้นเคยดี เอาเลือดหมูเข้าไปไว้ในบ้าน เอาน้ำต้มเดือดราดลงตัวหมูที่ตายแล้ว โกนขนหมู ถลอกหนัง ล้างไส้หมู และอื่นๆ
โจวกุ้ยหลานมองเขาจัดการหมูตัวนั้นอย่างเชี่ยวชาญ
ขณะที่กำลังทำอยู่นั้น เสียงตะโกนของหญิงชราดังมาจากด้านนอก โจวกุ้ยหลานให้เจ้าก้อนน้อยรออยู่ที่เดิม ส่วนตัวเองเดินไปข้างนอก เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เท้าก็ติดอยู่ในหิมะจนก้าวต่อไปไม่ได้
โจวกุ้ยหลานไม่รู้จะทำยังไง ทำได้แค่หันไปมองสวีฉางหลิน
สวีฉางหลินวางมีดในมือลง ยกขาและเดินไปข้างนอก โจวกุ้ยหลานมองดูรอยเท้าที่หนักแน่นของเขา ในใจอยากจะเรียกดังดัง ชายผู้นี้เก่งมาก!หิมะหนาขนาดนี้ ทำไมเขายังเดินออกไปได้อีก? แม้ว่ามันจะเดินลำบากกว่าเมื่อวันก่อน แต่ก็ไม่เหมือนนางที่แม้แต่เดินก็ยังเดินไม่ได้เลย
จนมองไม่เห็นเงาของเขา โจวกุ้ยหลานรีบพาเจ้าก้อนน้อยเดินตามรอยเท้าของสวีฉางหลินเดินกลับไปที่บ้าน เดินไปข้างๆ เตาผิง และนั่งลงอังเตาเผาอย่างอบอุ่นด้วยกัน
ยืนอยู่ด้านนอกตั้งนาน ใบหน้าของเจ้าก้อนน้อยก็แดงเป็นลูกตำลึง แต่แววตาของเขากลับเป็นประกายขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าเขามีความสุข เลยช่วยหยิบเอามือเล็กๆ ของเขา ออกมาอั่งที่เตาเผาเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
หลังจากนั้นไม่นานนัก สวีฉางหลินก็ออกจากห้องนั้นไป โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้นก็เห็นหญิงชราข้าขาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ด้านหลังยังมีหมูมาด้วย
“กุ้ยหลาน เจ้ายังเอาหมูไหม?” หญิงชราคนนั้นยิ้มแบบเขินๆ
นางไม่ได้ต้องการหมูนั้นแล้วจริงๆ สามตัวแล้วนะ ครอบครัวพวกเขากินจนถึงปีหน้ายังกลัวว่าจะกินไม่หมดเลยด้วยซ้ำ
โจวกุ้ยหลานคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นแววตาคาดหวังของหญิงชราผู้นั้นแล้ว คำที่จะพูดออกจากปากก็กลืนกลับลงไปทันที
เลยเชิญเหล่าไท่ไท่นั้นเข้ามา และรินน้ำให้นางหนึ่งถ้วย ให้ร่างกายนางอบอุ่นสักหน่อย
สวีฉางหลินเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว เลยออกไปจัดการกับหมูที่ฆ่าตายไปเมื่อครู่ต่อ ส่วนหมูของเหล่าไท่ไท่ตัวนั้น ก็ถูกมัดไว้ที่ลานบ้านแล้ว
“ข้าคือป้าหวู ข้าเคยอุ้มเจ้าตอนเจ้าเด็กๆ จำได้ไหม?” หญิงชราคนนั้นฝืนหัวเราะ และชนโจวกุ้ยหลานคุยเรื่องสัพเพเหระ
จำไม่ได้จริงๆ นะ….
โจวกุ้ยหลานเองก็ไม่อยากหักหน้าหญิงชรานั้น เลยตอบไปอยากเกรงใจว่า จำได้จำได้