ป้าหวูพูดอีกว่าบ้านหลังนี้สร้างมาอย่างดี สักพัก ก็ถอนใจ”ตอนนั้นที่ข้าอุ้มเจ้า แขนเจ้ามันยาว ไม่คิดว่าจะโตขนาดนี้แล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ เจ้าเองเป็นคนมีความสามารถ ในที่สุดก็สร้างบ้านใหญ่โตขนาดนี้ได้ เห้อ ถ้าพ่อเจ้าได้รู้ คงนอนตายตาหลับแล้ว ไม่เหมือนครอบครัวของพวกข้า…”
โจวกุ้ยหลานมองไปที่มืออันเย็นเยือกจนเป็นสีแดงของนาง ได้แต่พูดสิ่งที่ควรพูดอยู่สองสามประโยค เพื่อเป็นการเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา” ป้าหวู หิมะตกหนักแบบนี้ เอาหมูขึ้นเขามาได้ยังไงหล่ะ? ”
แม้ว่าจะเป็นป้า แต่อายุเยอะกว่าแม่ของนางแน่นอน ดูจากผมขาวเต็มหัวแบบนี้ อายุน่าจะสักราวๆ หกสิบเจ็ดสิบได้ นางเองอายุไม่ถึงยี่สิบยังเดินขึ้นเขาบนพื้นปกติยากเลย นี้นางยังลากหมูตัวใหญ่มาด้วยอีกหนึ่งตัว
ป้าหวู รู้สึกเกรงใจ”ข้าใช้เชือกผูกไว้กับเอว และใช้หวายบังคับให้หมูเดินไปข้างหน้า ข้ายังกลัวว่าจะหาบ้านเจ้าไม่เจออยู่เลย เลยเดินตามทางขึ้นเขามา เห็นบ้านของเจ้ามาแต่ไกล เลยพึ่งถึงนี้ไงหล่ะ? ไกลเหมือนกันนะ เดินมาสามชั่วยามกว่าได้
สามชั่วยาม!นั้นหมายความว่า ป้าหวูออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลยหรือ?
โจวกุ้ยหลานเบิกตาโต”ทำไมป้าไม่ให้ลูกชายป้าเอาหมูมาส่งหล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว ป้าหวูก็น้ำตาไหลพราก”ลูกชายห้าคนไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่ลูกสะใภ้คนเดียว นางป่วยมาครึ่งเดือนแล้ว ข้าเลยคิดจะเอาเงินที่ขายหมูตัวนี้ไปเชิญหมอให้มาช่วยดูอาการสักหน่อย ในบ้านมีหลานอยู่หนึ่งคน เมื่อสองเดือนก่อนขาหักตอนนี้ยังไม่ดีขึ้นเลย ข้าเองก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เข้าตำบลก็ไม่ได้ หมูตัวนี้ก็ขายไม่ออก เมื่อวานตอนเย็นข้าได้ยินคนในหมู่บ้านพูดว่าสามีเจ้าซื้อหมูไป ข้าเลยลองมาดู
พูดพลาง นางก็ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาตัวเอง
ช่างยากลำบากเสียนี้กระไร….
โจวกุ้ยหลานถอดถอนใจ ตอนแรกว่าจะหาจังหวะเปลี่ยนเรื่องสักหน่อย แต่สุดท้ายเจอแบบนี้ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
“ป้าหวู ข้าซื้อเนื้อมาเพื่อมากินเอง กลัวว่าราคาจะถูกกว่าในตำบล”
พอป้าหวูได้ยินดังนั้น ก็รีบตอบกลับไปว่า”กุ้ยหลาน ถูกก็ต้องถูกแหละ ลูกสะใภ้ข้าคนนั้นคงรอไม่ได้อีกแล้ว ขายได้เท่าไรก็เท่านั้น อาหารในบ้านข้าก็ไม่พอ หมูตัวนั้นก็ยังโตไม่เต็มที่ ข้าว่าน่าจะได้สักแปดสิบจิน”
พูดพลาง นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ
เมื่อครู่เห็นสายตาของกุ้ยหลานแล้วก็เหมือนว่านางไม่ได้อยากได้หมูตัวนั้นสักเท่าไร แต่นางเองก็ไม่มีทางเลือกจึงบอกกุ้ยหลานอย่างนั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ถึกว่าตกลงกันแล้วหล่ะ
“ป้า ข้าซื้อมาจากแม่ข้าราคาหนึ่งจินสี่อีแปะ หมูของป้าก็ยึดตามราคานี้คือหนึ่งจินสี่อีแปะ ป้าคิดเอานะว่าตกลงไหม?”
“ได้ได้ได้ งั้นเจ้าจ่ายแปดสิบจินให้ข้าก็แล้วกัน กุ้ยหลานเอ๊ย ขาดทุนเจ้าแย่เลย! ” ป้าหวู ดีใจมาก รีบกล่าวคำขอบคุณทันที
โจวกุ้ยหลานยิ้มมุมปาก” ไม่เป็นไรหรอก รอข้าเดี๋ยว ข้าไปหยิบเงินให้ก่อน”
พูดพลาง นางก็หันกลับเข้าบ้านไป ป้าหวู มองตามหลังนางไป ในใจก็รู้สึกโล่งอก นางถือเจ้า้วน้ำ จิบน้ำร้อนไปหนึ่งอึก ทำให้รู้สึกสบายขึ้นมาก
หมูตัวนั้น ตีมันมันยังไม่ยอมเดินเลย นางเลยต้องลากหมูขึ้นมา
ดูแล้วปีนี้หิมะท่าทีจะตกหนัก และก็ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อไรจะหยุด นางก็รอเอาไปขายในตำบลไม่ไหว
โจวกุ้ยหลานนับเงินสี่ร้อยอีแปะออกมา ส่งให้ ป้าหวู พอป้าหวูนับแล้ว มันเดินมา ก็เลยเอาเงินที่เกินมาคืนให้โจวกุ้ยหลานไป
“แบบนี้ไม่ได้ เท่าไรก็ต้องเท่านั้น ชีวิตแต่ละวันของเจ้าก็ไม่ได้ดีนัก ข้าจะไปรับเงินพวกนี้จากเจ้าได้ยังไง”?
“ท่านป้า เงินนี้ไม่ได้ให้ท่านฟรีฟรี หมูตัวนี้ ข้าคิดเก้าสิบจิน ทั้งหมดก็สามร้อยหกสิบอีแปะ ที่เหลืออีกสี่สิบอีแปะเป็นค่าผักของบ้านป้า ถ้าบ้านป้ามีผักดองอะไร ผักกาดขาว หัวไชเท้า ก็ขายให้ข้าได้ ถ้ามีอาหาร ก็เอามาขายให้ข้าได้ เดี๋ยวข้าลงเขาไปเอาเอง
“มีมีมี! ปีนี้สวนผักได้พืชผลดี ข้าเลยเก็บไว้ที่ห้องใต้ดิน แล้วก็ผักดองข้ามีอยู่สองไห ขายให้เจ้าหมดเลยได้ไหม?”
โจวกุ้ยหลานรับไว้ทั้งหมด
ในบ้านก็ไม่มีอาหาร ไปเอาอาหารจากเหล่าไท่ไท่บ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่อง นางเลยตกปากรับคำไว้
“หัวผักกาดกับหัวไชเท้า ข้าให้จินละหนึ่งอีแปะ ส่วนผักดอง ข้าคิดจินละสองอีแปะ ป้าเห็นว่ายังไงบ้าง?”
ป้าหวูได้ยินดังนั้นถึงกับตาโต คำนวณอย่างละเอียดดีแล้ว
ถ้าคิดราคาตามนี้ ผักที่อยู่ห้องใต้ดินที่บ้านนางคงขายได้เงินไม่น้อยเลยทีเดียว!
เขาตอบตกลงด้วยความยินดี
โจวกุ้ยหลานส่งนางที่หน้าประตู สวีฉางหลินเห็นดังนั้นก็เตรียมจะส่งป้าหวูลงเขาไป
เลยพูดกับสวีฉางหลินว่า นางคุยกับป้าหวูเรียบร้อยแล้วเรื่องราคา สวีฉางหลินพยักหน้าแสดงว่ารับทราบ จากนั้นก็นำหมูผอมผอมตัวนั้นไปไว้ในเล้าหมู สวีฉางหลินก็ส่งป้าหวูลงเขาไป
โจวกุ้ยหลานหยิบตะกร้ามาใบหนึ่ง หยิบขาหมูออกมาสองข้าง และก็เอากระดูกกับเนื้อบางส่วน ส่งให้สวีฉางหลินเอาไปให้แม่ของตนที่บ้าน ส่วนบ้านโจวต้าซานก็ให้ขาหมูหนึ่งขา บ้านของเอ้อร์เฉียงก็ให้เนื้อหมูสองจิน ส่วนป้าหวูก็ให้ไส้กับกระดูกหมูกลับไปบางส่วนด้วย
ป้าหวูไม่ยอมรับไป โจวกุ้ยหลินบอกว่าของพวกนี้ไม่คิดเงิน ให้นางนำกลับไปบำรุงร่างกายลูกสะใภ้ ป้าหวูเช็ดน้ำตาออกและยกย่องโจวหลันว่าช่างเป็นคนจิตใจดีงาม
จนสวีฉางหลินเดินออกไปแล้ว โจวกุ้ยหลานก็เดินเหยียบตามรอยเท้าของสวีฉางหลินไปล็อกประตูที่ลานกว้าง แล้วค่อยเดินกลับมาเก็บเอาเนื้อและกระดูกหมูเหล่านั้นเข้าบ้านตน
ลมพัดแรงแบบนี้ นางหนาวจนตัวสั่นเทา รีบวิ่งไปนั่งข้างๆ เตาเผาอยู่สักครู่ จึงเริ่มเก็บเนื้อและกระดูกพวกนี้
ล้างกระดูกไปหนึ่งท่อน โจวกุ้ยหลานใช้มีดของสวีฉางหลินมาหั่นชำแหละหมู ทำอยู่นานก็ยังไม่เสร็จ
“อยากจะทำให้ดีก็ต้องลับเครื่องมือเสียก่อน รอหิมะหยุดตกก่อนแล้วจะเข้าตำบลไปซื้อของกลับมาสักหน่อย!” โจวกุ้ยหลานบ่นพึมพำ ต้องใช้แรงเยอะมากจนเหงื่อไหล ถึงจะสามารถสับกระดูกท่อนนั้นจนแตกได้
ตอนที่นางขึ้นมาเขาจากหมู่บ้าน หยิบเสื้อบุนวมของครอบครัวทั้งสามคน และก็หยิบหม้อกับตะหลิว และตะเกียบอีกสามคู่ ที่เหลือก็ไม่ได้หยิบอะไรมาอีก รอจะซื้อใหม่ตอนเตรียมของฉลองตรุษจีน ใครจะคิดว่าหิมะจะตกไม่หยุดแบบนี้ กิจวัตรแบบนี้มันช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย
แต่โจวกุ้ยหลานกลับเลื่อมใสสวีฉางหลิน เขาใช้เพียงแค่มีดเล่มนี้จัดการกับหมูได้ยังไง มันไม่สะดวกเลยจริงๆ นะ…
นางใช้เวลานานมากกว่าจะจัดการกระดูกเหล่านั้นเสร็จ และนางก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที
เจ้าก้อนน้อยใช้ขาสั้นๆ เล็กๆ นั้นเดินไปห้องครัวเพื่อหยิบอ่างไม้ออกมาหนึ่งใบ โจวกุ้ยหลานเอากระดูกทั้งหมดใส่ลงไป ล้างด้วยน้ำร้อนและค่อยเอาเข้าห้องครัวไป จากนั้นโยนกระดูกลงไปในหม้อ รอน้ำเดือดก็ค่อยเติมน้ำ เร่งไฟเพื่อตุ๋นน้ำแกง
ส่วนทางนั้นก็เตรียมหุงข้าว ให้เจ้าก้อนน้อยอยู่ในครัวเพื่อคอยเฝ้าเตาและหม้อ
รอจนกว่าข้าวสุก น้ำแกงก็ได้ที่พอดี โจวกุ้ยหลานใช้มีดหั่นหัวไชเท้าโยนลงไปในน้ำแกงกระดูกหมู จากนั้นก็ค่อยๆ ตุ๋นต่อไปเรื่อยๆ
พอสวีฉางหลินกลับมา ในมือเขาอุ้มไหผักใบใหญ่มาสองใบ ที่มือยังแขวนตะกร้าใบใหญ่มาอีกด้วย ในตะกร้านั้นคือหัวผักกาดหัวโตๆ และหัวไชเท้าเนื้อเปล่งๆ นั่นเอง