ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 33 คลื่นลมหลังม่าน (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

หลี่อันหัวเราะ เส้าฟู่กังวลเกินไปหรือไม่ นี่ล้วนเป็นเรื่องไร้หลักฐานมิใช่หรือ

หลู่จิ้งจงตอบว่า ไร้หลักฐานก็จริง แต่องค์ชาย เหตุใดฉีอ๋องจึงต้องการแย่งชิงคนผู้นี้กับยงอ๋อง ครั้งนี้ยังประจบด้วยการส่งยาล้ำค่าไปให้ องค์ชายมิใช่บอกว่าเหลียงหวั่นเคยรายงานองค์ชายว่ายงอ๋องกับฉีอ๋องล้วนเคยสั่งให้นางจับตาเจียงเจ๋อหรือ แต่พวกเราคิดว่ายงอ๋องชื่นชมความสามารถของเจียงเจ๋อเท่านั้น องค์ชายย่อมทราบว่ายงอ๋องโปรดปรานคนเก่งเป็นนิสัย ส่วนฉีอ๋องก็ชอบหาเรื่อง ดังนั้นองค์ชายจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ

ตอนนี้ดูท่ายงอ๋องกับฉีอ๋องคงจะล่วงรู้ความร้ายกาจของคนผู้นี้อยู่แล้ว มีเพียงรัชทายาทกับกระหม่อมที่เห็นเจียงเจ๋อเป็นเพียงกวีเปี่ยมพรสวรรค์คนหนึ่ง ดังคำกล่าวที่ว่าหนึ่งใบไม้บดบังดวงตามิเห็นเขาไท่ซาน ยงอ๋องทำเป็นให้ความสำคัญกับเขา ปล่อยให้พวกเราเชื่อว่าเจียงเจ๋อเป็นยอดบัณฑิตเฉกเช่นชวีหยวน[1]หรือเจี่ยอี๋[2] แต่ทำให้พวกเรามองข้ามความจริงที่ว่าคนผู้นี้คือนักวางกลยุทธ์ชั้นยอดผู้ช่ำชองอุบาย

หลี่อันกล่าวว่า ข้าทราบว่าเส้าฟู่ความคิดละเอียดลึกซึ้งนัก แต่ท่านคงกังวลเกินไป ตั้งแต่คนผู้นี้เข้าพวกกับยงอ๋องก็มิมีความชอบใดให้กล่าวถึง

ดวงตาของหลู่จิ้งจงฉายแววหวาดระแวง นี่ก็คือสิ่งที่กระหม่อมกังวล กล่าวกันว่ายอดขุนศึกมิสร้างผลงานโดดเด่น หากกระหม่อมคาดเดาไม่ผิด คนผู้นี้ยามใช้อุบายคงอำมหิตและรอบคอบ ไม่ยึดติดวิธีการ น่ากลัวว่าพวกเราจะติดกับ ดังนั้นเดิมทีกระหม่อมหวังให้เขาตายไปเสีย แต่คิดไม่ถึงว่าบาดเจ็บหนักถึงขั้นนี้เขายังรอดมาได้

หลี่อันเอ่ยปลอบ เส้าฟู่ชาญฉลาดเหนือผู้คน ต่อให้คนผู้นั้นมีความสามารถอีกเท่าใดก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของเส้าฟู่ อย่างมากพวกเราก็ส่งมือสังหารไปอีกครั้งเท่านั้น

ดวงตาของหลู่จิ้งจงปรากฏแววตาลำพองใจวูบหนึ่ง แต่จากนั้นก็ส่ายศีรษะ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกพวกเรามองข้าม ข้างกายเขาซ่อนยอดฝีมือไว้ผู้หนึ่งนามว่าหลี่ซุ่น ได้ยินว่าเขาเป็นขันทีคนหนึ่งในพระราชวังหนานฉู่ เมื่อเจี้ยนเย่แตกเขาจึงมาอาศัยใบบุญของเจียงเจ๋อแล้วถูกยงอ๋องพากลับมาพร้อมกัน

ภายหลังข้าค้นหาข้อมูลของคนผู้นี้จึงพบว่ามีน้อยนิดยิ่งนัก เพราะคนผู้นี้แทบจะตามติดเจียงเจ๋อเป็นเงาทั้งวันทั้งคืน เจียงเจ๋อเก็บตัวเงียบ น้อยครั้งจะปรากฏตัว คนผู้นี้ก็เช่นเดียวกัน องค์ชายก็ทราบว่าจวนยงอ๋องไม่ว่าเบื้องบนเบื้องล่างล้วนประหนึ่งถังเหล็ก แทรกซึมเข้าไปยากยิ่งนัก โดยเฉพาะข้างตัวเจียงเจ๋อยิ่งมีองครักษ์มากมาย สายลับของพวกเราจึงไม่ได้สนใจคนผู้นี้แม้แต่น้อย

เซี่ยโหวบอกว่าหลี่ซุ่นผู้นั้นวรยุทธ์บรรลุขอบขั้นมองจากภายนอกไม่ออก หากมิใช่ยอดฝีมือระดับสุดยอด หรือบุคคลผู้ชำนาญด้านการตรวจสอบ ยากจะมองตื้นลึกหนาบางของเขาได้ ในด้านนี้สายลับของพวกเรายังด้อยกว่าอยู่บ้างจริงๆ จึงไม่ได้สนใจเขาเป็นพิเศษจนมองข้ามคนผู้นี้ไป เซี่ยโหวกล่าวว่าวรยุทธ์ของคนผู้นี้เหนือกว่าเขาแน่นอน หากพวกเราส่งมือสังหารไปอีก เกรงว่าคงลงมือไม่สำเร็จ

หลี่อันมีสีหน้าวิตก เอ่ยขึ้นว่า เส้าฟู่ ถ้าเช่นนั้นท่านคิดว่าควรทำเช่นไร

หลู่จิ้งจงเอ่ยตอบ โบราณว่าไว้ ข้าศึกยกพลมา ขุนพลยกทัพต้าน องค์ชายมิจำเป็นต้องกังวลใจเกินไป พวกเราเพียงต้องระมัดระวังมากสักหน่อย เมื่อองค์ชายขึ้นครองราชย์ย่อมไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว หากสถานการณ์คับขัน อย่างมากที่สุดพวกเราก็ส่งมือสังหารฝีมือร้ายกาจไป วรยุทธ์ของหลี่ซุ่นสูงอีกเท่าใดจะสูงกว่าคนผู้นั้นได้หรือ?

หลี่อันพยักหน้า เส้าฟู่เอ่ยถูกต้องแล้ว ถ้าเช่นนั้นกิจการของพวกเราต้องชะลอเอาไว้หน่อยหรือไม่

หลู่จิ้งจงตอบว่า นี่กลับไม่จำเป็น เซี่ยโหวกล่าวว่ามือสังหารผู้นั้นแปดเก้าส่วนน่าจะเป็นคนที่หนานฉู่ส่งมา ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เชื่อว่าขุนนางเชลยคนหนึ่งจากหนานฉู่จะสมคบอันใดกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่เชื่อว่าตัวเขาที่ตกอยู่ในสถานะลำบากจะมีอำนาจประการใด ตอนนี้ยงอ๋องกำลังหัวปั่น พวกเรา ฉวยโอกาสทำการค้าให้สำเร็จเพิ่มสักหน่อย พอยงอ๋องเริ่มสังเกต พวกเราก็เลิกทำเสีย แต่องค์ชาย กระหม่อมขอแนะให้องค์ชายอยู่ห่างเซี่ยจินอี้ไว้ เขาเข้ามาในจวนเพราะขัดแย้งกับเจียงเจ๋อ ข้ากังวลว่าเขาจะมีใจเป็นอื่น

หลี่อันเอ่ยอย่างรำคาญ เส้าฟู่ ท่านก็รู้ว่าแม้เซี่ยจินอี้ขัดแย้งกับเจียงเจ๋อ แต่ก็เพราะสมาพันธ์กวนจงเป็นเหตุ อีกทั้งต่อให้ข้าเป็นเจียงเจ๋อก็คงทำเช่นเดียวกับเขา ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ส่งคนไปเฝ้าจับตาเซี่ยจินอี้อยู่ นอกจากพลอดรักกับซิ่วชุน เขาก็ยุ่งอยู่กับการฝึกซ้อมขับร้องระบำ

ครั้งนี้เจียงเจ๋อบาดเจ็บหนัก จวนยงอ๋องโกลหล หากเขาเป็นสายลับ ไม่ใส่ใจเป็นพิเศษก็สมควรแสร้งทำเป็นไม่สนใจไยดี แต่ท่านก็ทราบ แม้เขาสงสัยใคร่รู้แต่กลับไร้ความเห็นใจ แล้วยังเยาะเย้ยคนของจวนยงอ๋องอีก นอกเหนือจากนี้ เขาก็ทำเพียงคว้าซิ่วชุนมาครอง หากเขาเป็นสายลับของจวนยงอ๋อง หลายวันมานี้ไยไม่รีบรวบรวมข่าวสาร อีกอย่าง คนที่ชมชอบความรื่นเริงลุ่มหลงนารีเช่นนี้ น้องรองคงไม่ถูกใจ ท่านวางใจเถิด ข้าจะไม่ให้เขาล่วงรู้ความลับใด เจ้าเด็กนี่ไม่เหมาะกับงานทางนี้

หลู่จิ้งจงขมวดคิ้วแต่ไม่ห้ามปรามอีก เขาย่อมไม่อาจบอกว่าการที่ระยะนี้องค์ชายถูกเซี่ยจินอี้ชักชวนให้ลุ่มหลงสุรานารี เริ่มทำให้หลายคนไม่พอใจ เรื่องเช่นนี้ห้ามปรามไปก็ห้ามมิได้

หลี่อันโบกมือ เอาละ เส้าฟู่จับตาดูจวนยงอ๋องเพิ่มก็พอ ไม่ต้องกังวลเกินไปนัก

หลู่จิ้งจงได้แต่ขานรับคำ

ตอนนี้เอง สีหน้าของหลี่อันก็เปลี่ยนไปทันใด เขาเอ่ยขึ้นว่า แต่มีเรื่องหนึ่งข้าไม่สบายใจยิ่ง ฉีอ๋องไม่ยอมเตือนข้ากับท่านเรื่องเจียงเจ๋อ แล้วยามนี้ยังไปประจบเอาใจ ท่านคิดว่าฉีอ๋องเอาใจออกหากหรือไม่

หลู่จิ้งจงตอบ องค์ชาย ใต้หล้าผู้ใดไม่เห็นแก่ตนบ้าง กระหม่อมคิดว่าฉีอ๋องเพียงชมชอบคนเก่งก็เท่านั้น ความปรารถนาส่วนตัวเช่นนี้ องค์ชายไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

หลี่อันมองหลู่จิ้งจงอย่างไม่พอใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า ในเมื่อท่านเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็จะปล่อยไป แต่ท่านต้องระวังฉีอ๋องไว้ให้ดี ข้ามิอยากถูกคนใกล้ชิดทรยศ

หลู่จิ้งจงเอ่ยด้วยสีหน้าดุจเดิม กระหม่อมจะจับตาการเคลื่อนไหวของฉีอ๋องแน่นอน หากองค์ชายกังวล มิสู้ลองถามชายารองเซียวหลานดู นางกับพระชายาของฉีอ๋องเป็นศิษย์ร่วมสำนัก จะต้องรู้อะไรบ้างเป็นแน่

หลี่อันตอบอย่างเย็นชา ข้าเคยถามชายารองหลานแล้ว นางกล่าวว่าพระชายาของฉีอ๋องบอกนางว่าฉีอ๋องเพียงเห็นแก่ที่เจียงเจ๋อเคยรักษาเขาให้หายจากพิษเท่านั้น เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้วจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่วันนี้ได้ฟังคำพูดของท่าน คำพูดของน้องหกคงจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมดเสียแล้ว ท่านระวังเรื่องนี้แทนข้าด้วย ข้าจะไม่ยอมให้มียงอ๋องอีกคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาเด็ดขาด

หลู่จิ้งจงเอ่ยอย่างนอบน้อม กระหม่อมรับบัญชา

ณ จวนแห่งหนึ่งในเมืองฉางอัน เซี่ยโหวหยวนเฟิงกำลังยืนชื่นชมดอกเหมยแรกผลิอยู่ในสวน ตอนนี้เข้าสู่ปลายเดือนสองแล้ว ดอกตูมของเหมยแรกฤดูเริ่มแย้มกลีบ ยามนี้เอง เด็กรับใช้ชุดเขียวผู้หนึ่งก็รีบร้อนเดินมาจากด้านหลัง เมื่อเห็นนายน้อยผู้หน้าตางามสง่าประหนึ่งดอกเหมยอยู่ใต้แสงตะวันแรกฤดูใบไม้ผลิ เขาก็นิ่งค้างไปชั่วครู่ หลังจากนั้นจึงเอ่ยเสียงดัง คุณชาย แขกผู้นั้นต้องการพบท่านขอรับ

เซี่ยโหวหยวนเฟิงแย้มยิ้มน้อยๆ เข้าใจแล้ว กล่าวจบก็ตัดดอกเหมยกิ่งหนึ่งออกมาปักในแจกัน แล้วจึงถือแจกันเดินไปยังห้องรับแขก เขาเดินเข้าไปในห้องรับแขกแล้ววางแจกันดอกไม้ลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมอ่อนของดอกเหมยอบอวลทั่วห้องในทันใด จากนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างนิ่งสงบกับบุรุษวัยกลางคนบนเตียง เพชฌฆาตใจทมิฬ อาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ?

เพชฌฆาตใจทมิฬมองชายหนุ่มรูปงามที่ช่วยตนเองในวันนั้นอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยด้วยเสียงน่าขนลุก อาการบาดเจ็บของข้าดีขึ้นแล้ว เจ้ามีเงื่อนไขใดก็ว่ามาเถิด

เซี่ยโหวหยวนเฟิงยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า มีเรื่องหนึ่งต้องบอกเจ้าก่อน โชคไม่ดียิ่งนัก เจียงเจ๋อรอดพ้นความตายมาได้

ในใจเพชฌฆาตใจทมิฬเคร่งเครียด แต่เขายังเอ่ยอย่างเย็นชา นกขมิ้นอย่างเจ้าก็ฉวยโอกาสไม่สำเร็จสินะ

เซี่ยโหวหยวนเฟิงเอ่ยต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน ว่าตามหลักแล้วเจ้าเป็นสายลับจากหนานฉู่ ข้าสมควรสังหารเจ้าเสีย แต่ความจริงข้าไม่อยากสังหารเจ้า ถึงอย่างไรเป้าหมายของเจ้ากับข้าก็มิได้ขัดแย้งกัน หากเจ้ายินดี ข้าจะสร้างโอกาสให้เจ้าลอบสังหารอีกครั้ง เจ้าต้องการหรือไม่

เพชฌฆาตใจทมิฬหัวเราะหยัน เจ้าเห็นข้าโง่เง่าหรือไร ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ข้างกายเจียงเจ๋อคงคุ้มกันแน่นหนา ยามนี้ซุ่นกงกงก็คงไม่มีทางออกห่างจากเขา

เซี่ยโหวหยวนเฟิงดวงตาเป็นประกาย เอ่ยขึ้นว่า เจ้าคุ้นเคยกับหลี่ซุ่นหรือ

เพชฌฆาตใจทมิฬมองความคิดของเขาออก จึงเอ่ยอย่างเฉยชา ไม่นับว่าคุ้นเคย แต่ข้าเคยจับตาเจียงเจ๋ออยู่พักหนึ่ง จึงรู้ว่าเขามักจะเข้าออกจวนของเจียงเจ๋อบ่อยครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าวรยุทธ์ของเขาจะสูงส่งเช่นนี้แล้ว ครั้งนี้หากมิใช่เพราะเขาไม่อยู่ เกรงว่าข้าคงส่งตัวเองไปตายเสียแล้ว

เซี่ยโหวหยวนเฟิงจึงเอ่ยเรียบๆ หลายวันนี้การตรวจตราในเมืองหลวงหย่อนหยานลงมาก หากเจ้าต้องการ ข้าส่งเจ้าออกจากเมืองได้

เพชฌฆาตใจทมิฬถามย้อนอย่างเย็นชา เจ้ามีเป้าหมายอันใดกันแน่

เซี่ยโหวหยวนเฟิงยิ้ม เป้าหมายของข้าง่ายดายยิ่งนัก ข้าต้องการให้เจ้าดึงความสนใจไปจากจวนยงอ๋อง ระหว่างที่พวกเขาไล่ล่าเจ้า ข้าต้องการให้เจ้าทำให้พวกเขาเชื่อว่าคนที่สมคบคิดสังหารคนร่วมกับเจ้าคือฉินชิง แน่นอน ข้าจะพยายามช่วยให้เจ้าหนีกลับหนานฉู่อย่างสุดกำลัง หากไม่สำเร็จก็ขอให้เจ้าจัดการตนเองเสีย ฉินชิงเป็นผู้ใดเจ้าคงรู้ดี ข้าคิดว่าหากยงอ๋องกับแม่ทัพใหญ่ฉินขัดแย้งกันย่อมเป็นประโยชน์ต่อหนานฉู่ของพวกเจ้าเช่นกัน

เพชฌฆาตใจทมิฬรู้ว่านี่เป็นภารกิจที่แทบไม่มีโอกาสรอด กระนั้นเขาก็ยังเอ่ยอย่างเฉยชา ได้ อย่างมากที่สุดข้าก็ชดใช้ชีวิตคืนให้เจ้าก็เท่านั้น แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะทำเรื่องหนึ่งด้วย เจ้าต้องสังหารเจียงเจ๋อให้ได้ภายในสองปี

เซี่ยโหวหยวนเฟิงยิ้มน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นสาบาน เซี่ยโหวหยวนเฟิงสาบานว่าจักสังหารเจียงเจ๋อให้ตกตายภายในสองปี หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ

เพชฌฆาตใจทมิฬเอ่ยอย่างเฉยชา แม้ข้าไม่เชื่อคำสาบานของเจ้า แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสังหารเจียงเจ๋อแน่ มิเช่นนั้นเจ้าต้องอย่าให้เขารู้ไปชั่วชีวิตว่าผู้ที่ยิงศรดอกนั้นคือผู้ใด หากไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมตายในมือเขาเป็นแน่

เซี่ยโหวหยวนเฟิงแย้มรอยยิ้มเล็กๆ วันนั้นเขาเห็นวิชาตัวเบาอันน่าเหลือเชื่อของเสี่ยวซุ่นจื่อก็รู้แล้วว่ารัชทายาทล่วงเกินศัตรูผู้น่ากลัวอย่างยิ่งคนหนึ่งเข้าแล้ว ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิดขึ้นมากะทันหัน ชิงช่วยมือสังหารที่มาลอบสังหารเจียงเจ๋อออกมาก่อน เพราะหวังว่าเขาจะทำให้เป้าหมายของตนสำเร็จ

ทว่าผู้ที่ยิงศรดอกนั้นหาใช่ตนไม่ แต่หากไม่ปล่อยให้เพชฌฆาตใจทมิฬเชื่อเช่นนี้ เขาจะยอมทำตามแผนของตนง่ายๆ ได้เช่นไร เมื่อคิดถึงมือสังหารที่ลอบตลบหลังผู้นั้น เซี่ยโหวหยวนเฟิงพลันเกิดจิตคิดร้าย ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นรู้หรือไม่ว่ามีคนใช้ธนูเล็งเขาอยู่เช่นกัน เรื่องราวบนโลกใบนี้ช่างเต็มไปด้วยความบังเอิญเสียนี่กระไร ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่ามีมือสังหารถึงสามคนมาเยือนสวนเหมันต์พร้อมกัน

[1]ชวีหยวน กวีชื่อดังและขุนนางผู้รักชาติของแคว้นฉู่ในสมัยจั้นกั๋ว (ประมาณ 476 ปีก่อนคริสตกาล – 221 ปีก่อนคริสตกาล) เขามีปณิธานหมายจะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง แต่ถูกชนชั้นสูงกีดกันกลั่นแกล้งจนถูกเนรเทศ สุดท้ายวันที่แคว้นฉู่ล่มสลาย เขาจึงกระโดดน้ำตาย

[2]เจี่ยอี๋ บัณฑิตผู้เก่งกาจเชิงกวีจนได้เข้าไปเป็นขุนนางในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก หลังจักรพรรดิสิ้นความโปรดปรานถูกส่งไปเมืองห่างไกล เขาจึงเขียนบทกวีเปรียบเทียบตนเองกับชวีหยวน ภายหลังกลับมาเป็นพระอาจารย์ของพระโอรสองค์เล็ก แต่องค์ชายโชคร้ายตกม้าตาย เขารู้สึกผิดมากจนตรอมใจตายตาม

ตอนต่อไป