ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 34 รอดพ้นความตาย (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

สุยอวิ๋นอาการดีขึ้นเล็กน้อย ซังเฉินก็ลาจากฉางอัน ก่อนจาก ยงอ๋องมอบเงินทองมากมาย แต่ท่านหมอปฏิเสธ เจียงเจ๋อจึงเกลี้ยกล่อมว่าเงินทองของมีค่าเหล่านี้มิใช่ของตอบแทน แต่เป็นเพียงทุนรอนสำหรับเดินทาง อีกทั้งใต้หล้าคนป่วยไข้แต่ยากจนมากมายนัก ท่านหมอจักได้ทำกุศลช่วยเหลือคนเหล่านั้น

…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ

หนีรอดจากความตายรู้สึกเช่นไร เรื่องนี้น่าจะมีเพียงผู้ที่ประสบกับตนเท่านั้นจึงจะเข้าใจ ดังนั้นยามที่ข้าลืมตาขึ้นมา แม้รู้สึกว่าทั้งร่างชาหนึบ หน้าอกยิ่งเจ็บปวดสาหัสยากทานทน แต่ก็อดเผยรอยยิ้มบางไม่ได้ ข้าขยับแขนขาอย่างยากลำบาก ความเจ็บแปลบแล่นริ้วอีกครั้ง แต่นั่นยิ่งยืนยันว่าข้ายังมีชีวิต ไม่ได้เดินทางไปถึงยมโลก

ข้าส่งเสียงคราง เสียงแหบพร่าเพิ่งเล็ดลอดออกจากริมฝีปากก็มีคนเดินเข้ามาเลิกม่านไหมรอบเตียง ข้าเพ่งมองก็เห็นหมอหลวงอายุราวสี่สิบกว่าปีผู้หนึ่ง ข้าเค้นรอยยิ้มจางๆ เขาหันกลับไปตะโกนบอกอย่างตื่นเต้นยินดี ใต้เท้าเจียงฟื้นแล้ว รีบไปแจ้งท่านหมอซัง ต่อจากนั้นหูข้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่น หลังจากนั้นข้าก็เห็นใบหน้าอันคุ้นเคย

แม้ไม่ได้พบหน้านานหลายปี แต่หน้าตาของท่านหมอซังไม่เปลี่ยนไปมากนัก หนวดเคราและเส้นผมสีขาวเทา ใบหน้าซูบผอม แววตามักจะแฝงแววมุ่งมั่นและไร้ความรู้สึก ใช่แล้ว ไร้ความรู้สึก คนทั่วใต้หล้ากล่าวขานว่าท่านหมอซังเป็นหมอเทวดาฝีมือล้ำเลิศผู้รักษาคนยากไร้อย่างไม่หวั่นเกรงต่อความลำบาก แต่หัวใจเขากลับเย็นชาไร้ความรู้สึก สิ่งเหล่านี้ข้าล่วงรู้มาตั้งแต่ยามนั้น

คนป่วยในสายตาเขาก็เป็นเพียงบุรุษสตรีใบหน้าพร่าเลือน แน่นอนว่ายามรักษาคนป่วย เขามุ่งมั่นตั้งใจ การเปลี่ยนแปลงของโรค ห้วงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของคนป่วย เขาล้วนรู้กระจ่างดุจฝ่ามือ แต่หลังจากนั้นหากคนป่วยหายดี สำหรับเขาก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เดินสวนกัน หากคนป่วยโชคร้ายเสียชีวิต เขาก็ไม่โศกเศร้าเสียใจแม้สักเสี้ยวเดียว บางทีในสายตาของท่านหมอซัง มนุษย์คงแบ่งเป็นคนป่วยกับคนแข็งแรงสองประเภทเท่านั้น ในความรู้สึกของเขา คนป่วยคือเครื่องมือเอาไว้ใช้ทดสอบวิชาแพทย์เท่านั้น แต่หากจะบอกว่ามีผู้ใดเป็นข้อยกเว้น นั่นก็คงเป็นข้าเอง

ข้าจำได้ว่าครั้งแรกที่พบหน้ากัน บิดาขอให้เขารักษาโรคให้ เขาเพียงปรายตามองก็บอกว่าโรคของบิดากัดกินลึกเข้าไปถึงกระดูกแล้ว แม้รักษาก็ต่อชีวิตได้อีกเพียงไม่กี่ปี เดิมทีบิดาผิดหวังจนถึงขั้นไม่คิดรักษาต่อ แต่ข้ากล่าวกับบิดาว่า เวลาไม่กี่ปีแม้สำหรับคนธรรมดาจะแสนสั้น แต่สำหรับพวกเราพ่อลูกกลับมีค่ายิ่งนัก ลูกยังเยาว์วัย หากไร้บิดาดูแลคงเลี่ยงไม่ได้ต้องระหกระเหินเร่ร่อน หากบิดาล้มไปตอนนี้จะวางใจกับชีวิตในอนาคตของลูกได้เช่นไร มิสู้บิดาอยู่เคียงข้างลูกอีกสักสองสามปี หากบิดารู้สึกว่าความเจ็บปวดทรมานรุมเร้า ลูกย่อมมิกล้าฝืนดึงดัน แต่ถ้าลูกใส่ใจดูแล บิดาคงไม่เจ็บปวดมากนัก

เดิมบิดาเพียงท้อใจชั่วขณะ เมื่อเห็นข้าเอ่ยอย่างจริงใจจึงขอร้องท่านหมออีกครั้ง ท่านหมอซังฟังคำพูดของข้าแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ เด็กคนนี้รู้ความทีเดียว กล่าวจบก็อยู่รักษาบิดา แล้วยังอยู่ต่ออีกหลายเดือนเพื่อสั่งสอนวิชาแพทย์ให้ข้าด้วย

ข้าเคยได้ยินเขากล่าวว่าเขามิได้มีปณิธานจะใช้วิชาแพทย์ช่วยคนตกทุกข์ได้ยากแต่อย่างใด การเป็นหมอเป็นเพียงเครื่องมือหาเลี้ยงชีพของเขาเท่านั้น แม้เขากล่าวเช่นนี้อย่างเฉยชาไร้หัวใจ แต่ข้ากลับชมชอบความตรงไปตรงมาเช่นนี้ของเขา โชคยังดีที่แม้ท่านหมอซังจะไม่เห็นคนป่วยอยู่ในสายตา แต่ยามปกติเขาสงวนถ้อยคำ หากปล่อยให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าหมอเทวดาผู้วิชาแพทย์สูงส่งในสายตาคนทั่วหล้าคิดเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาคงตกตะลึงหน้าถอดสี

เมื่อเห็นท่านหมอซัง ข้าก็ห้ามตนเองไม่อยู่ หลั่งน้ำตาออกมา คนผู้นี้คือญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ของข้าแล้ว ท่านหมอซังเข้าใจความรู้สึกของข้าจึงเดินเข้ามาจับชีพจรให้ แล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ สุยอวิ๋น อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่เป็นอันใดมากแล้ว หลายวันนี้เจ้ากินยาบำรุงล้ำค่าไปไม่น้อย แม้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้ แต่ลมปราณก็สะสมมากเกินไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลายวันนี้เจ้าต้องค่อยๆ ปรับสมดุลก่อน หลังจากอาการบาดเจ็บของเจ้าหายดี ข้าจะรักษาและบำรุงร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง

ข้าใช้สายตาถามท่านหมอซัง เขายิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยว่า เจ้าถามถึงยงอ๋องกับเจ้าเด็กที่ใช้ลมปราณต่อชีวิตให้เจ้าอยู่ตลอดคนนั้นกระมัง หลายวันนี้ยงอ๋องเหนื่อยล้าเกินไป ข้าจึงให้เขากลับไปพักผ่อน ได้ยินว่าองค์ชายหลับไป จนตอนนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย ผู้ติดตามคนนั้นของเจ้าจงรักภักดีอย่างแท้จริง ข้าเห็นเขาเสียพลังภายในมากเกินไปแต่ไม่ยอมพัก ข้าจึงใช้ยาตัวหนึ่งทำให้เขาไปพักผ่อนแต่โดยดี หลังเขาตื่นเป็นโอกาสดีที่จะก้าวหน้าเชิงวิชายุทธ์ ข้าจะคอยเฝ้าเขาให้เก็บตัวฝึกฝนวรยุทธ์ดีๆ

เจ้าพรสวรรค์ไม่ดีพอ ฝึกวรยุทธ์ไม่มีทางประสบความสำเร็จมากนัก แต่เขากลับเป็นยอดอัจฉริยะแห่งการฝึกยุทธ์ แม้วิชายุทธ์ที่เขาฝึกยอดเยี่ยมยิ่งนักก็จริง แต่การฝึกสำเร็จมาถึงขั้นนี้ พรสวรรค์ของเขาย่อมเหนือผู้คนเช่นกัน วรยุทธ์สองสามวิชานั้นของข้ายังไร้ผู้สืบทอด มิสู้สั่งสอนให้เขา ในเมื่อเจ้าก็นับเป็นลูกศิษย์ข้าอยู่กึ่งหนึ่ง เขาจงรักภักดีกับเจ้า สั่งสอนให้เขาก็ค่าเท่ากัน

ข้ายินดียิ่งนักอย่างช่วยไม่ได้ แม้ข้าไม่รู้ตื้นลึกวรยุทธ์ของท่านหมอซัง แต่จากถ้อยคำของเขาก็บอกได้ว่าน่าจะไม่ธรรมดา ชั่วขณะที่ขบคิด ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลายวันนี้ยงอ๋องคงจะเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นจะหลับใหลไม่ตื่นได้เช่นไร ข้าอดร้อนใจอยู่บ้างไม่ได้จึบรีบกำมือของท่านหมอซังแล้วเขียนคำว่า อ๋อง บนฝ่ามือของเขา

ท่านหมอซังยิ้มน้อยๆ ตอบว่า มิน่าองค์ชายจึงเมตตาเจ้าปานนั้น ข้าไปตรวจเขาแล้ว เจ้าวางใจเถิด

ยามนี้ข้าจึงโล่งใจ ตอนนี้เอง หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็ยกยาถ้วยหนึ่งเข้ามาป้อนให้ข้าอย่างระมัดระวัง หลังจากดื่มยา ข้าก็รู้สึกง่วงงุนอีกครั้งจึงสะลึมสะลือหลับไป ข้าเป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน ใช้ชีวิตสลับระหว่างหลับใหลกับดื่มยา จนกระทั่งเจ็ดวันให้หลัง ข้าจึงไม่ต้องดื่มยาที่ปรุงพิเศษชนิดนั้น ในที่สุดก็ได้นอนอยู่บนเตียงโดยมีสติแจ่มชัด

ข้าลูบขาที่แข็งทื่อเล็กน้อยทั้งสองข้างแล้วนึกอยากลงจากเตียงไปยืดเส้นยืดสาย แต่ถูกท่านหมอซังห้ามไว้ เสี่ยวซุ่นจื่อเดิมอยากมาปรนนิบัติข้า แต่ใครจะรู้ ท่านหมอซังกล่าวประโยคเดียวว่า ใต้หล้ายอดฝีมือด้านวรยุทธ์มากมายนัก เจ้าอยากให้คุณชายของเจ้าบาดเจ็บเช่นนี้อีกหรือ ก็ห้ามเขาไว้ได้

ตอนนี้เขากำลังเก็บตัวตรากตรำฝึกปรือวิชาอยู่ แม้เคล็ดวิชาพลังภายในของท่านหมอซังจะแตกต่างจากของเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างยิ่ง แต่ในด้านความรู้เกี่ยวกับวิชายุทธ์เสี่ยวซุ่นจื่อมิอาจเทียบท่านหมอซัง ดังนั้นข้างหูข้าจึงเงียบสงบลงไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่มีผู้ใดคร่ำครวญขออภัยกับข้า

ยงอ๋องกับพระชายาพาโหรวหลันมาพบข้าครั้งหนึ่งก็ถูกท่านหมอซังห้ามไม่ให้มาพบข้าอีก บอกว่าข้าต้องพักรักษาตัว ต้องเลี่ยงไม่ให้เรื่องภายนอกมารบกวนจิตใจ หลังจากนั้นนอกจากส่งคนมาถามไถ่อาการทุกวัน ยงอ๋องก็ไม่มาเยี่ยมอีก ท่านหมอซังเล่าให้ฟังว่ายงอ๋องกำลังจัดระเบียบการคุ้มกันจวนอ๋องด้วยตัวเอง เพราะการคุ้มกันก่อนหน้านี้ หากเผชิญกับยอดฝีมือจากยุทธภพจะมีช่องโหว่มากเกินไป

แม้การพักผ่อนอย่างสงบจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของข้า แต่ก็ออกจะน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก แม้แต่หนังสือที่ข้ารักที่สุดก็ไม่ปล่อยให้ข้าแตะ ท่านหมอซังยอมให้ข้าอ่านแต่คัมภีร์เต๋าช่วยชำระล้างจิตใจสองสามเล่มเท่านั้น บอกให้ข้าสงบจิตสงบใจ แต่กลับกลายเป็นว่าได้ผลทีเดียว มิเช่นนั้นจิตใจข้าจะสงบลงมากได้เช่นไร หลังเผชิญความเป็นความตาย ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเรื่องราวทั้งหลายล้วนจืดจาง แม้แต่เงาของเพียวเซียงก็ไม่คอยวนเวียนอยู่ในใจไม่เลิกแล้ว กระทั่งยามนึกถึง มากกว่าครึ่งก็เป็นช่วงเวลาหอมหวานอันเปี่ยมไปด้วยความสุขเหล่านั้น มิใช่ความทุกข์ทรมานใจจะขาด

ผ่านไปอีกห้าหกวัน ในที่สุดท่านหมอซังก็อนุญาตให้ข้าลงจากเตียงมาเดินบริหารร่างกาย เสี่ยวซุ่นจื่อกลับมาอยู่ข้างกายข้าแล้ว เขาประคองข้าขณะที่ย่างเท้าก้าวแรกหลังฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ฝ่าเท้ารู้สึกนุ่มนิ่มเหมือนปุยฝ้าย เดินในห้องได้ไม่ถึงรอบ ข้าก็เริ่มหอบหายใจแล้ว

ตอนนี้เข้าสู่กลางเดือนสาม ต้นท้อหลายต้นในสวนเริ่มผลิดอก แม้สายลมวสันต์จะหนาวเย็นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เสียดแทงกระดูกเช่นนั้นแล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อให้คนผูกผ้าไหมแคว้นสู่ไว้สามด้านของศาลารับลมในสวนเพื่อขวางลมวสันต์ ภายในศาลาปูพรมเปอร์เซียหนา แล้ววางตั่งนุ่มและโต๊ะเก้าอี้ไว้

ข้านั่งอยู่บนตั่งนุ่มอย่างสุขสบาย ขณะที่ห่มเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเงินที่ยงอ๋องประทานให้เมื่อฤดูหนาวปีกลาย ท่านหมอซังนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางหลับตาทั้งคู่ ส่วนเสี่ยวซุ่นจื่อชงชาอยู่ด้านข้าง ไม่นานชาร้อนสองถ้วยก็ถูกยกมา ข้าดื่มคำเดียวจนหมดแล้วรู้สึกว่าสี่แขนขาร้อยกระดูกทั่วร่างเบาสบายอยู่ครู่หนึ่ง

ท่านหมอซังก็ดื่มคำเดียวหมดเช่นเดียวกัน เขายิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า ชาที่องค์ชายมอบให้ไม่เลวจริงๆ สุยอวิ๋น ยงอ๋องดูแลเจ้าดุจเป็นยอดคนแห่งแคว้น ดูท่าเจ้าคงไม่ยอมตามข้าไปอยู่สันโดษด้วยกันแล้ว

ข้าอึ้งไปชั่วครู่ แล้วถามขึ้นว่า เหตุใดท่านอาจารย์จึงเอ่ยเช่นนี้ หรือท่านไม่ชอบที่เจียงเจ๋อรับใช้ยงอ๋อง

ท่านหมอซังยิ้มเฉยเมย เรื่องทางโลกเหล่านี้ ข้าคร้านจะสนใจ ยงอ๋องก็มิใช่พวกเบาปัญญาอันใด เจ้าช่วยงานเขามิมีสิ่งใดไม่ดี แต่เมื่อคำนึงถึงร่างกายของเจ้า ข้ากลับอยากให้เจ้าลาราชการไปใช้ชีวิตอย่างสงบมากกว่า

ข้าเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ นับจากนี้ร่างกายของข้าจะมิอาจเหน็ดเหนื่อยได้แล้วหรือ

ท่านหมอซังส่ายหน้า ไม่ใช่เพียงเท่านั้น สุยอวิ๋น แม้เจ้าจะบาดเจ็บหนัก แต่ขอเพียงใส่ใจบำรุง หลังจากนี้หลายปีก็ยังฟื้นกลับมาเป็นปกติได้ ขอเพียงในช่วงหลายปีนี้ระวังสักหน่อยย่อมไม่มีปัญหาใหญ่โตประการใด แต่โรคใจรักษายาก ชีพจรหัวใจของเจ้าถูกเจ็ดอารมณ์ทำร้าย หากไม่อาจคงจิตใจให้สงบ ค่อยๆ รักษาอาการ เกรงว่าผ่านไปอีกสิบปีคงป่วยเกินเยียวยา

หากข้าคาดเดาไม่ผิด เจ้าคงพานพบเรื่องสะเทือนใจขณะที่ร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้า ดังนั้นเส้นลมปราณหัวใจจึงบาดเจ็บ หลายปีที่ผ่านมาก็เศร้าโศกเสียใจไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจึงเกิดเป็นโรคเรื้อรัง แม้วิชาแพทย์ของเจ้าจะไม่เลว แต่หมอฝีมือดีก็ยังยากรักษาโรคของตน นี่จึงนำมาสู่วันนี้

ตอนต่อไป