บทที่ 333 อาจได้เป็นข้าราชการระดับสูงนะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 333 อาจได้เป็นข้าราชการระดับสูงนะ

บทที่ 333 อาจได้เป็นข้าราชการระดับสูงนะ

ไม่รู้ว่าช่วงนี้ยุ่งวุ่นวายอะไรหนักหนา เวลาอ่านหนังสือของเธอเลยน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อวานก็อ่านไม่ถึงสิบชั่วโมง นี่มันส่งผลกระทบต่อรายได้ของเธอได้เลยนะ!

ถึงจะใช้แต้มแลกวัตถุออกมาหาเงินได้เยอะ แต่การอ่านหนังสือทุกวันเป็นการหารายได้ระยะยาวและรับประกันว่าทำเงินได้แน่นอน!

ขณะที่เสี่ยวเถียนกำลังจะหยิบหนังสือออกมา เธอก็ได้ยินตู้ถงเหอเอ่ยขึ้นมา

“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรพูดถึง แต่หลังจากไตร่ตรองเรื่องมาอย่างดีแล้ว ฉันคิดว่าเสี่ยวเถียนควรมาเรียนในเมืองหลวงนะ มันจะได้ไม่ล่าช้าไปกว่านี้”

ทั้งจื่ออันและหม่านซิ่วคิดไม่ถึงเลยว่าตู้ถงเหอจะเอ่ยคำขอแบบนี้ออกมา

เป็นคำขอที่ทำได้ยากจริง ๆ

ถึงเสี่ยวเถียนจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่เธอเป็นหัวใจหลักของคนที่บ้าน นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่คนบ้านหลักตระกูลซูจะปล่อยให้หลานสาวสุดที่รักมาเรียนไกลถึงเมืองหลวงได้อย่างไรกัน? มันจะเป็นไปได้หรือ?

ถึงตอนแรกเสี่ยวเถียนจะรับสามีภรรยาตู้เป็นปู่ย่าบุญธรรม แต่พวกเขาไม่ใช่สายเลือดเดียวกันสักหน่อย!

“ลุงตู้ ฉันว่าไม่น่าได้ผลค่ะ พ่อกับแม่ต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน” หม่านซิ่วกัดฟันพูด

ลูกชายคนเดียวของสามีภรรยาตู้เสียชีวิตในสนามรบ เขาเสียสละเพื่อประเทศชาติและประชาชน

พวกเขาคงอยากจะมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน เดิมทีพวกเราก็อยากจะตอบตกลงนะ แต่ว่า…

เสี่ยวเถียนมองปู่บุญธรรมด้วยความสับสน ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาคิดแบบนั้น

“งั้นพวกเธอฟังฉันก่อนแล้วกันนะ หนึ่งคือพวกเราคิดว่าการเรียนการสอนในเมืองหลวงดีกว่า เสี่ยวเถียนเองก็เป็นเด็กฉลาด เธอควรได้รับการศึกษาที่ดี สองคือฉันให้คนไปถามมาแล้ว เสี่ยวเถียนอยู่มัธยมปลาย แต่อายุไม่ถึงเกณฑ์จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้”

เห็นได้ชัดเจนว่า ใคร ๆ คิดว่าเสี่ยวเถียนจะไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เพราะยังเด็กเกินไป

ปีนี้เสี่ยวเถียนขึ้นมัธยมปลาย อีกสองปีจะเรียนและสอบเข้ามหาวิทยาลัยตอนอายุสิบสี่ปี ซึ่งอายุของเธอนั้นน้อยเกินไป

เฉินจื่ออันเหลือบมองหลานสาว ก่อนจะถามขึ้น “คุณไปถามมาแล้วใช่ไหมครับว่าอายุเท่าไรถึงจะสอบได้น่ะ?”

เพราะที่บ้านยังมีเด็กดื้ออีกสองคนที่อายุมากกว่าเสี่ยวเถียนหนึ่งปีหนึ่งคน และมากกว่าเสี่ยวเถียนสองปีอีกหนึ่งคน

“ต้องมีอายุอย่างน้อยสิบหกปีถึงจะสอบได้” ตู้ถงเหอตอบ

ถ้าไม่ใช่เพราะอวี่รุ่ยหยวนไม่ได้ตั้งใจจะถามตอนคุยกับเสี่ยวเถียน พวกเขาก็คงคิดไม่ได้

เฉินจื่ออันมองหลานสาวอย่างช่วยไม่ได้ และเอ่ยด้วยสีหน้าสนใจ “เอาเถอะ ต่อให้เด็กเก่งก็ช่วยไม่ได้หรอก แถมอายุเด็กอีกสามคนก็ไม่มากพอด้วย เสี่ยวปาก็เหลืออีกตั้งสองเดือนกว่าจะถึงอายุสิบหก”

หม่านซิ่วเข้าใจว่าสามีหมายถึงอะไร และได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น

ใครใช้ให้เด็กบ้านซูฉลาดล่ะ?

แต่ถ้าสอบไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรได้ล่ะ? เพราะกลับไปเรียนมัธยมซ้ำก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ

เสี่ยวเถียนไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาเหมือนกัน เพราะเธอคิดมาตลอดว่าแค่เรียนจบก็จะสอบเข้าได้

แต่ตอนนี้มันกลายเป็นปัญหาใหญ่จริง ๆ!

เธอต้องเรียนซ้ำอีกสองปีหรือ? เสียเวลามาก!

“จื่ออัน ถ้าฉันไม่รู้เรื่องนี้ก็คงไม่คิดจะขอหรอก และถึงจะหวังให้เสี่ยวเถียนอยู่เป็นเพื่อนคนแก่แบบเราสองคน แต่เราจะเห็นแก่ตัวแบบนั้นไม่ได้!”

ถึงพวกเราจะเป็นปู่ย่า แต่ก็มีคำว่าบุญธรรมต่ออยู่ และก็พิสูจน์ได้ว่ามันแตกต่างไปจากปู่ย่าแท้ ๆ ด้วย

“ลุงตู้ มีวิธีอื่น ๆ อีกไหมครับ?”

จื่ออันคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขออาจจะมีหนทางที่เป็นไปได้

ตู้ถงเหอพยักหน้า “ฉันไปถามมาแน่ชัดแล้ว โรงเรียนมัธยมปลายอันดับเจ็ดของเมืองยังเปิดรับเด็กอยู่ แต่เงื่อนไขเข้มงวดมาก ข้อกำหนดอายุคือระหว่างสิบถึงสิบสี่ปี”

“คุณอยากให้เสี่ยวเถียนไปสอบหรือคะ?” หม่านซิ่วถามขึ้น

“ฉันอยากให้เสี่ยวเถียนไปสอบ แล้วก็อยากให้เสี่ยวปากับเสี่ยวจิ่วไปสอบเหมือนกัน”

ตู้ถงเหอไม่แน่ใจว่าเด็กสองคนนั้นจะผ่านไหม

เพราะการแข่งขันสูง ไม่ว่าเด็กบ้านซูจะเก่งขนาดไหน แต่พวกเขาติดเงื่อนไขเรียนหนังสือช้ากว่าเพื่อน แต่ประโยคนี้ตู้ถงเหอพูดออกไปไม่ได้

เฉินจื่ออันพยักหน้า “ผมจะหารือเรื่องนี้กับพ่อตาแม่ยายก่อนก็แล้วกันครับ”

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตเด็ก ๆ และเขาก็ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้

ชายชราพยักหน้า “ลงทะเบียนอีกสิบวันให้หลัง สอบก่อนเปิดเทอม”

“เข้าใจแล้วครับ” เฉินจื่ออันตกลงทันที และหลังจากคุยกับภรรยา เขาก็ออกจากบ้านตู้เพื่อหาวิธีไปโทรศัพท์

ที่หงซินไม่มีโทรศัพท์ จึงทำได้แค่โทรไปทางชุมชนใหญ่เท่านั้น

เฉินจื่ออันรู้สึกว่าการขอให้ใครสักคนมาช่วยมันยุ่งยากเกินไปเลยโทรหาทีมยานยนต์ของอำเภอโดยตรง

ผลปรากฏว่าเหล่าซานไม่อยู่ และคาดว่าเขาลงรถไปแล้ว คนที่มารับสายบอกว่าต้องรอวันถัดไปแทน

อย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ เขาเลยโทรไปทางโรงงานขนมไข่แทน แต่คนที่นั่นบอกว่าเหลียงซิ่วและฉีเหลียงอิงกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว

สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เฉินจื่ออันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโทรไปที่ชุมชนใหญ่ และขอให้พวกเขาส่งข้อความให้ทางบ้านซูมารับสายวันพรุ่งนี้

โชคดีที่ตอนนี้บ้านซูกลายเป็นคนดังของชุมชน

ไม่มีใครในชุมชนไม่รู้ว่าเด็กบ้านซูเก่งกาจ พวกเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ห้าคนรวดเดียว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศด้วย

พอคนในชุมชนได้ยินว่ากำลังตามหาคนบ้านซู พวกเขาก็ตอบตกลงทันที ก่อนเจ้าหน้าที่กลุ่มเล็ก ๆ นี้ยังเดินทางไปที่หงซินเพื่อส่งจดหมายให้คุณปู่คุณย่าซูเป็นพิเศษ

หลังจากไป ๆ มา ๆ หลายครั้ง กว่าบ้านซูจะรับสายก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว

พอคุณปู่คุณย่าซูได้ยินลูกเขยเล่าถึงสิ่งที่ตู้ถงเหอไปถามมา พวกเขาก็รับไม่ได้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“ตาเฒ่า พูดแบบนี้ได้ยังไง? พวกเขาไม่ได้หลอกกันใช่ไหม?” คุณย่าซูถามด้วยใบหน้าขมขื่น

“ไม่น่าจะใช่แบบนั้นนะ สหายตู้ใช้ชีวิตอยู่หงซินมานาน อีกอย่างเขาก็ไว้ใจได้ ไม่น่าจะทำอะไรไร้จุดหมายนะ อีกอย่างคือยังมีจื่ออันด้วย เขาน่าจะได้ฟังที่สหายตู้พูดแล้วล่ะ น่าจะไปถามมาแล้วแน่นอน”

คุณปู่ซูวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล

ต้องบอกว่าคุณปู่วิเคราะห์ได้ดีจริง ๆ

เพราะหลังจากที่ตู้ถงเหอบอกข่าว จื่ออันก็ไปตรวจสอบอีกครั้งด้วยวิธีการของเขา

ข้อเท็จจริงเป็นจริงอย่างที่ชายชราว่า

และตอนนั้นจื่ออันก็โทรหาคนบ้านซู

“ไม่งั้นให้หลานเรียนช้าไปอีกสักสองปีไหม?” คุณย่าซูคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีสำหรับเธอแล้ว

เด็ก ๆ เพิ่งจะอายุเท่าไร ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแล้วหรือ?

ยิ่งได้ยินพวกหลาน ๆ บอกว่าพอไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะต้องอยู่ด้วยกันหลายคนด้วย แล้วหลานรักเธอตัวเล็กมาก ถ้าโดนรังแกขึ้นมาจะทำอย่างไร?

คุณปู่ซูชำเลืองมองภรรยา ยายเฒ่าคนนี้นับวันยิ่งเลอะเลือนทุกที ทำไมไม่ใช้สมองคิดสักหน่อยว่าเสี่ยวเถียนชอบเรียนหนังสือขนาดไหนน่ะ?

ให้เด็กหยุดเรียนไปสองปี มันจะอึดอัดขนาดไหนกัน?

“แต่ฉันไม่เต็มใจจะให้หลานแยกไปจากฉัน!” คุณย่าซูไม่เข้าใจว่าสามีกำลังคิดอะไรอยู่

ซูเสี่ยวเถียนชอบเรียนหนังสือ ชอบเป็นพิเศษด้วย และเธอไม่อยากให้หลานเรียนไม่เหมือนคนอื่นเพียงเพราะตัวเองไม่เต็มใจไม่ได้

และเธอรับไม่ได้ที่ปล่อยให้หลานแยกไปจากเธอ

“แล้วเราจะทำอะไรได้อีกล่ะ? แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก จื่ออันก็ไม่ได้ว่าตามที่สหายตู้หมายความเสียหน่อย ก็แค่ให้เด็ก ๆ ไปลองสอบแค่นั้นเอง”

ถ้าเด็ก ๆ ไปก็ต้องมีคนคอยดูแล

“แต่ฉัน…” คุณย่าซูกังวลจนแทบจะร้องไห้ออกมา

“ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเราตามไปด้วยดีไหม?” คุณปู่ซูเหลือบมองภรรยาแล้วพูดอย่างหมดหนทาง

แต่คุณย่าซูลังเลอีกครั้ง

ตอนนี้ร้านอาหารเช้าของเธอกำลังไปได้สวย บางวันก็ทำรายได้ถึงสิบกว่าหยวน อย่างมากก็สิบสองหยวน ถ้าต้องไปแล้วก็จะไม่ได้เงินแล้วนะ?

“แกไม่อยากไปหรือ?”

คุณปู่ซูคิดว่าข้อเสนอของเขาเป็นอะไรที่ภรรยาจะต้องตอบตกลงอย่างว่องไวแน่นอน แต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะลังเล

“ร้านอาหารของฉันกำลังเฟื่องฟู และฉันก็ยังไม่อยากจากไป มันทำรายได้ได้เยอะมากนะ จากนี้ไปถ้าหลานแต่งสะใภ้เข้าบ้านก็ต้องพึ่งพาร้านอาหารนะ…”

คุณย่าซูคิดว่าถ้าเธอไปแล้วจะไม่ได้เงินพวกนั้นอีก เลยรู้สึกเจ็บปวด

“งั้นเธอก็ลองคิดสิ หลานหรือร้านอาหารเช้าสำคัญกว่ากัน!” คุณปู่ซูเข้าประเด็นทันที

ยายเฒ่าเลอะเลือนจริง ๆ ไม่คิดสักหน่อยหรือว่าร้านอาหารมันเทียบกับหลานได้ที่ไหน?

“แน่นอนว่าลูกหลานของฉันสำคัญที่สุด” คุณย่าซูพูด “แต่ไม่คิดที่จะเก็บสินสอดเพิ่มให้ลูกหลานเลยหรือ”

“แกก็…มันคือการเสียผลประโยชน์ก้อนใหญ่เพื่อก้อนเล็ก ๆ นะ”

ถึงสินสอดจะสำคัญ แต่อนาคตหลานก็สำคัญไหมล่ะ? ตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หลานสาวก็มีหน้ามีตาได้เหมือนกัน ได้ยินว่าผู้หญิงบางคนก็เป็นข้าราชการระดับสูง ไม่แน่ว่าในอนาคต เสี่ยวเถียนอาจจะได้เป็นก็ได้นะ